BAR ก่อนล้างพิษด้วย "น้ำมะนาว..."


หลังจากที่ได้รู้และรับสูตรล้างพิษด้วย "น้ำมะนาว" มา สัปดาห์ก่อนก็ศึกษาโน่น ศึกษานี่ เตรียมโน่น เตรียมนี่ แล้วเมื่อวานนี้ "เฮียหมู" ก็ไปซื้อ "มะนาว" มาให้ก็เป็นอันว่าอุปกรณ์ในการล้างพิษนี้พร้อม คืนนี้ก็เลยเริ่มต้นเตรียมตัว เตรียม "ใจ" ที่จะทำการล้างพิษด้วย "น้ำมะนาว" กันเลย...

การล้างพิษด้วยน้ำมะนาว ตามที่ศึกษามาเขาว่ากันว่าเป็นหลักการ "ออโต้ไลซิส (Autolysis)" ซึ่งหลัก ๆ จะทำการปิดระบบของร่างกายในส่วนของกระเพาะอาหารและลำไส้โดยใช้การอดอาหารเป็นเวลา ๑๔ วัน

โดย ๑๔ วันนี้จะไม่ทานอาหารอะไรเลยนอกจาก "น้ำมะนาว" ที่มีส่วนผสมของ "น้ำเชื่อม" และ "พริก" เท่านั้น

ตามที่เราเข้าใจก็ประมาณว่า หลักการนี้จะให้ร่างกายที่ไม่ได้รับอาหารโดยเฉพาะ "โปรตีน" ที่มักจะเข้าไปทำให้เกิดโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะมะเร็ง ทำการ "ย่อยสลายตัวเอง" โดยตัด "ห่วงโซ่วงจรอาหาร (Food chain mangement)" และใช้ "น้ำมะนาว" เป็นตัวทำปฏิกิริยาภายในร่างกาย

เขาว่ากันว่า อาหารที่เรากินเข้าไปส่วนมากในปัจจุบันนี้เมื่อกินเข้าไปแล้วจะเป็น "กรด" ซึ่งกรดจะไปทำให้เกิดโรคต่าง ๆ แต่เจ้า "มะนาว" นี้เมื่อกินเข้าไปแล้วจะกลายเป็น "ด่าง" เมื่อร่างกายไม่ได้รับ "กรด" จากการอดอาหาร และได้รับด่างจากน้ำมะนาวเข้าไป เมื่อร่างกายเป็นด่าง เชื้อโรค และพยาธิต่าง ๆ ก็อยู่ไม่ได้ คือ มันจะ "ตาย" ไปเอง "ตามสูตรเขาว่าไว้อย่างนั้น...?"

แล้วในอีกส่วนหนึ่งคือเรื่องของการอดอาหาร สูตรเขาบอกไว้ว่า เมื่อร่างกายไม่ได้รับอาหารซึ่งจะนำมาใช้เป็นพลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ นั้น ร่างกายก็จะเลือกย่อยสลาย "เซลล์" ต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเลือกเซลล์ที่ไม่จำเป็น หรือว่าใกล้จะตายแล้วก่อน จากนั้นก็จะมาย่อย "ไขมัน" ซึ่งจะทำให้เซลล์ที่เป็นพิษ เซลล์ที่ไร้ประโยชน์ และไขมันถูกกำจัดจากร่างกายไปโดยปริยาย "สูตรเขาว่าไว้อย่างนั้น...?"

โดย ๑๔ วันนี้ ตามสูตรเขาให้เราใช้พลังงานจาก Maple Syrub ซึ่งเป็นน้ำเชื่อมที่ได้จากต้นเมเปิ้ล โดยให้ผสมกับน้ำมะนาว ตามสูตรดังนี้

น้ำมะนาว 200 มิลลิลิตร น้ำเชื่อมเมเปิ้ลไซรัป 200 มิลลิลิตร น้ำสะอาด 1.6 ลิตร และพริกคาเยนเปปเปอร์หรือปาริก้า 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากันแล้วแบ่งออกเป็น 6 ส่วน โดยให้ดื่มหนึ่งส่วนทุก ๆ 2-2.5 ชั่วโมง จนครบ 2 ลิตร

แต่ไอ้เรามันไม่ค่อยชอบทำอะไรตามสูตรเขา ก็จะขอเปลี่ยนแปลงบ้าง

อันแรก ไอ้เจ้า "เมเปิ้ลไซรัป" นี้ แพงน่าดู (ขวละสามร้อยกว่าบาท : 250 ซีซี) ถ้าจะทำ ๑๔ วันก็จะต้องใช้เป็นโหล ค่าใช้จ่ายก็จะตกราว ๆ สี่พันบาท เราคงไม่มีฐานะที่จะไปซื้อไปหาของแพงขนาดนั้น เราจึงเปลี่ยนมาใช้ "น้ำผึ้ง" แทน แต่สูตรเขาบอกไม่ให้ใช้ แต่เราก็จะทำ เพราะว่าด้วยสาเหตุสองประการ คือ

๑. หลักจากที่เราศึกษาโครงสร้างหรือส่วนประกอบของเจ้าไซรัปเมื่อเทียบกับน้ำผึ้งก็ได้ค่าตามตารางนี้

การเปรียบเทียบปริมาณน้ำตาลในสารให้ความหวานที่ต่างกัน

ร้อยละ

น้ำตาลรับประทาน

HFCS-42

HFCS-55

น้ำผึ้ง

ฟรุคโตส

50

42

55

49

กลูโคส

50

53

42

43

อื่น ๆ

0

5

3

5

ความชื้น

5

29

23

18

(From Hein et al 2005) ที่มา http://www.afic.org/FFA%20Issue%2032%20Obesity-Is%20HFCS%20to%20Blame_TH.htm

พอดีหาเจ้า "เมเปิ้ลไซรัป" ไม่เจอ ไปเจอ Corn Syrub ก็เลยใช้อ้างอิง แล้วก็พบว่าอัตราส่วนใกล้เคียงกับน้ำผึ้ง (HFSC-55) ซึ่งจากการที่เคยฟังจากคนบอกสูตรแล้ว เขาให้เหตุผลว่า ที่ให้ใช้ Syrub ก็เพราะว่ามันจะย่อยช้าเพราะมี "ฟลุคโตส" สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งขึ้นเร็วจนเกินไป

๒. ที่ใช้น้ำผึ้งก็เพราะว่า น้ำผึ้งจัดเป็น "เภสัช ๕" ที่พระพุทธเจ้าอนุญาตไว้ให้พระภิกษุฉันหลังจากเที่ยงวันได้ แล้วตอนที่เราทำงาน ตอนบ่าย ๆ เย็น ๆ มืด ๆ ดึก ๆ ก็ได้เจ้า "น้ำผึ้ง" นี่แหละให้พลังงาน คือว่า ทานกันมาเป็นปกติอยู่แล้ว โดยเฉพาะตอนไปเดินธุดงค์ตอนเหนื่อย ๆ ก็ต้องมีน้ำผึ้งนี่แหละที่ "ช่วยชีวิต..."

แล้วเจ้าพริกคาเยนเปปเปอร์นี่อีก เราก็ไม่ค่อยศรัทธาอะไร อะไรที่เป็นของเมืองนอกอยู่แล้ว เราว่าของไทยดีกว่าตั้งเยอะ เจ้าของสูตรก็บอกว่าใช้ได้ แต่ให้ป่นเองโดยให้นำมาตากแล้วเอาเมล็ดออก ให้ใช้เปลือกกับแกนกลาง แต่ไอ้เรามันจะไปทำอะไรวุ่นวายอย่างนั้นก็ใช่นี่ เราก็ใช้นี่เลย "พริกข่า" (พริกลาบของทางเหนือ) คือ พริกข่านี้เป็นอะไรที่ญาติโยมเขาถวายให้พระฉันเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ต้องซื้อต้องหา ที่วัดมีเยอะแยะ

พริกขาที่เราเอามานี้ก็มีส่วนผสมหลัก ๆ ก็คือ พริก ข่า เกลือ และสูตรนี้ใส่ "มะแขว่น" เข้าไปด้วย ถ้าตายเพราะพริกข่าก็ให้มันรู้ไป...(สูตรพริกข่านี้ไม่แนะนำนะสำหรับคนทั่วไป เพราะว่ามัน "เผ็ดมาก" ถ้าไม่ชินละแย่เลย)

เขาบอกว่าพริกนี้จะไปช่วยล้าง "เยื่อเมือก" ที่เกาะอยู่ตามผนัง ตามลำไส้ "สูตรเขาว่าไว้อย่างนั้น"

อะไรอีกล่ะ

อ๋อ พระเอกคือเจ้าน้ำมะนาว

เราคงจะคั้นครั้งต่อครั้ง คือ จะไม่คั้นทีเดียวสองร้อยซีซีแล้วผสมเข้ากับแล้วจึงแยกออกมาเป็นหกส่วน เพราะกลัวว่าเอนไซน์ในน้ำมะนาวจะตายหมด เพราะว่ากว่าจะดื่มส่วนที่หกเสร็จก็ปาเข้าไปเย็นโน่น (เริ่มดื่มขวดแรกตอนแปดโมงเช้า)

เราก็เลยจะคั้นครั้งต่อครั้ง ก็ไม่ต้องวัดต้องตวงอะไรมาก ถ้าคิดครั้งต่อครั้งก็ประมาร 33 ซีซี แล้วก็กะว่าใช้มะนาว 3 ลูก (เฮียหมูซื้อลูกใหญ่มาให้อีกต่างหาก) คือเมื่อวานไปซื้อที่ตลาดไท มีด้วยกัน 3 ราคา คือ

1. 500 ลูก 600 บาท

2. 400 ลูก 600 บาท

3. 300 ลูก 600 บาท

แล้วเฮียหมูก็ใจดีซื้อแบบ 300 ลูก 600 บาทมาให้ เฮียหมูแบ่งไปประมาณ 100 ลูก แล้วให้เราไว้ 200 ลูก เราก็เลยก็ว่าจะใช้วันละ 20 ลูก น่าจะได้สักสิบวัน

ตามสูตรเขาว่าน้ำมะนาวมากไม่เป็นไร ดีด้วยถ้าดื่มเปรี้ยว ๆ ไหว "สูตรเขาว่าไว้อย่างนั้น"

แล้วอีกอย่างหนึ่งที่เราจะเปลี่ยนสูตรเขา (มีอะไรก็เปลี่ยนเขาหมด) คือ เรากะว่าจะไม่ทำถึง 14 วัน ด้วยเหตุผลว่า สูตร 14 วันนี้เขาไว้ใช้สำหรับคน "ปกติ" ไอ้เราไม่ค่อยปกติ ก็คือ เราอยู่แบบนี้มาจะ 3 ปีแล้ว ทานข้าววันละมื้อ ตอนเย็นก็ไม่ทานอาหารอะไร ดื่มแต่น้ำหวาน โดยเฉพาะที่นี่ทานอาหารมังสวิรัติอีกต่างหาก ไม่ได้ทานเนื้อเหมือนคน "ปกติ"

แล้วอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญ เราเห็นพระที่ทำสูตรนี้ก่อนหน้าเรา หน้าตาไม่ค่อยดี คือ ปกติสีหน้าคร่าตาก็ดีกันอยู่แล้ว เพราะสูตรที่พระพุทธเจ้าให้ประพฤติ ปฏิบัติโดยการทานอาหารมื้อเดียวนั้นดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะเภสัชต่าง ๆ ที่ท่านให้ทานได้ รวมถึง "ปรมัตถ์" เช่น หอม กระเทียม พริก เกลือ ที่ท่านอนุญาตให้ทานได้ก็เป็นการล้างพิษไปในตัวอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่เราปฏิบัติมา 3 ปี สูตรนี้คนคิดสูตรเขาไม่รู้ เขาคิดมาสำหรับคนปกติ ดังนั้นเรามันคนไม่ปกติก็เลยขอใช้พลิกแพลงนิดหน่อย...

อ้อ เกือบลืมไปอีกอย่างหนึ่ง 4 วันแรก เขาให้ดื่มยาระบายตอนเช้า (ประมาณ ๗ โมงเช้า) และอีกแก้วหนึ่งหลังจากดื่มน้ำมะนาวขวดสุดท้ายประมาณ ๑ ชั่วโมง โดยเขาให้เหตุผลว่า ตอนที่ร่างกายขับพิษออกมานั้น พิษจะไปรวมอยู่ในกระแสเลือด ถ้าไม่ดื่มยาระบายจะทำให้พิษค้างอยู่ในร่างกายแล้วก็จะทำให้มึนหัว เขาเลยให้ดื่มชาฟิตเน่วันละสองครั้ง

แต่ทว่า พอดีมี "กัลยาณมิตร" ให้ยาชงมะขามแขก กับยาชงส้มแขกมามากโขอยู่ เราอ่านส่วนประกอบในฟิตเน่ดูแล้วก็มีส้มแขกกับมะขามแขกเนี่ยแหละ ก็เป็นอันว่าไม่ต้องซื้อ ต้องหา ได้มาพอดี

แล้ววันนี้เมื่อสักครู่ (ก่อนเที่ยงคืน) เราก็เริ่มเตรียมตัวโดยการดื่มยาชงมะขามแขกไปหนึ่งซอง (สูตรเขาไม่มีหรอก คิดเอง) จะได้ล้าง "อาหารเก่า" ออกไปซะหนึ่งรอบก่อนเลย

อ้อ แล้วในสูตรเขาบอกว่า ก่อนเริ่มดื่มน้ำมะนาว ควรจะทานอาหารมังสวิรัตก่อนอย่างน้อยสองวัน แต่เรามันทานมาแล้วเกือบสามปี ก็เลยไม่มีปัญหา

แล้วเขาก็บอกว่าให้งดชา กาแฟ และ "เหล้า" ก่อนด้วย อันนี้ก็งดเฉพาะกาแฟ โดยเฉพาะเหล้านี้ไม่ต้องงด เพราะไม่ได้ดื่มอยู่แล้ว

ก็เป็นอันว่าการวิเคราะห์ BAR (Befor action review) ก่อนที่จะทำการล้างพิษด้วยสูตรน้ำมะนาวตาม "คำสั่ง" ของท่าน Ka-poom ก็เป็นอย่างนี้นะ

หลังจากวันพรุ่งนี้ที่จะต้องเริ่มต้นดื่มมะนาวเป็นวันแรกก็จะมาถอดบทเรียนการทดลองด้วยชีวิตครั้งนี้ไปเรื่อย ๆ

แต่ตอนนี้เจ้ายาชง "มะขามแขก" เริ่มทำท้องไส้ปั่นป่วน สงสัยจะต้องไปพักผ่อนซะแล้ว พรุ่งนี้จะได้มาพบกับความรู้ใหม่ ๆ กับการล้างพิษด้วย "น้ำมะนาว..."

คำสำคัญ (Tags): #bar#detox#น้ำมะนาว
หมายเลขบันทึก: 304664เขียนเมื่อ 10 ตุลาคม 2009 01:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:41 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

ผมเคยล้างพิษด้วย น้ำมะนาวเหมือนกัน แต่สูตรที่ผมกิน เป็นเป็นทำน้ำมะนาว + น้ำเชื่อมน้ำตาลทรายแดง ทำแค่ 7 วันครับ ใครสนใจก็ลองดูได้นะครับ

ชักชวนสมาชิกใหม่...มาสมทบ

http://gotoknow.org/profile/blue_star

ขัดข้องประการใดในเรื่องสุขภาพแบบโลกๆ นี้หมอดาวน่าจะตอบท่านได้นะ...เจ้าคะ

แต่เหนือสิ่งอื่นใด...หมอปรารถนาสู่เส้นทางอันมนุษย์พึงก้าวเดินมากกว่าการติดกับดักเพียงแค่ว่า "หมอ" นำหน้า... วันก่อนนักปั่นน้อยๆ พร้อมกรรมกรน้อยกะปุ๋ม ได้ร่วมการปั่นเกลียวความรู้ที่โรงพยาบาลคำเขื่อนแก้ว...

โดยมีท่านต้อนำพา และกะปุ๋มเป็น 5 ช. ต่อการหมุนเกลียวสภาวะแห่งภายในจิตในใจของคนหน้างานให้อนุภาคแห่งความเห็นแก่ตัวน้อยลง ทำการประโยชน์เพื่อสรรพสิ่งต่างๆ มากขึ้น

เอาล่ะ...กองทัพน้อย...

ที่มุ่งมั่นฝึกฝนการละความเห็นแก่ตัว...พร้อมก้าวเดิน

แม้เป็นกองทัพน้อยๆ แต่เราก็พร้อมพกหัวใจอันยิ่งใหญ่ก้าวเดินน่ะนะ

 

นมัสการค่ะ

อ่านสูตร ที่ท่านดัดแปลงแล้วน่าสนใจค่ะ

ขออนุญาตตามอ่านผลจากการทดลองค่ะ

สาธุ

OK OK หมอดาวนะ

คงต้องเรียนรู้จากหมอดาวนะ เพราะหมอดาวเขาอ่านพระไตรปิฎกมาก รู้ภาษาบาลีมาก มากกว่าเรา เพราะเราได้แต่เฝ้าอ่านจากผลการทดลองของตนเองกับ "ตนเอง..."

คนเป็นหมอเขาก็ต้องเรียนรู้อย่างนี้แหละ ถ้าหมอไม่เรียนรู้ให้มาก หมอนั้นก็คงจะต้องไปเรียนรู้กับ "คนขายยา..."

ส่วนเรื่องการปรับสูตรไป ปรับสูตรมานั้น ก็ทดลองโน่น ทดลองนี่ เมื่อวันนี้ผ่านไปวันแรก ก็มีทั้งปัญหาและ "ไม่มีปัญหา..."

สำหรับผลการทดลองวันแรกนั้น เรื่องน้ำมะนาวนี่ "เจ๋ง" มาก

เพราะหลังจากดื่มน้ำมะนาวไปขวดแรก โดยมีส่วนผสม มะนาว ๓ ลูก น้ำสะอาด 300 มิลลิลิตร น้ำผึ้งประมาณ 30 มิลลิลิตร แล้วก็พริกข่านิดหน่อย (ปลายช้อนชา) ปรากฎว่า "สบายมาก" คือ สบายท้องอย่างไม่เคยสบายมาก่อน

สงสัยตามสูตรที่เขาว่าไว้จะจริง ก็คือ น้ำมะนาวมีฤทธิ์เป็นกรด พอเข้าไปในร่างกายแล้วจะกลายเป็น "ด่าง"

อาหารส่วนใหญ่ที่เราทานกันโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นข้าว ไข่ โดยเฉพาะเนื้อสัตว์นั้นเมื่ออยู่ในท้องจะมีสภาวะเป็น "กรด" เมื่อดื่มน้ำมะนาวเข้าไปก็จะปรับสภาวะภายในท้องให้เป็น "กลาง"

อันนี้ท่าจะจริง ก็เพราะว่าเมื่อก่อนหลังทานข้าวเสร็จจะแน่นท้อง อึดอัด มีแก๊สในกระเพาะอาหาร แต่เมื่อวัน พอดีแล้ว "สบาย" รู้สึกโล่งแบบบ "สบาย ๆ"

ดื่มขวดแรกประมาณ 8.30 น. ขวดที่สองประมาณ 10.30 น.

ปัญหาก็มีหลังจากถ่ายท้องครั้งที่หนึ่ง (เวลาประมาณ 12.20 น.)

นอกจากกลิ่นอาหารเก่าที่มีกลิ่นรุนแรงผิดปกติแล้ว แล้วจึงเริ่มดื่มขวดที่ 3 เวลาประมาณ 13.00 น. จากนั้นจึงออกมาทำงานต่อ

ปัญหามันเกิดก็เพราะว่าตอนออกมาทำงานนี้เริ่มหวิว ๆ เพราะเนื่องจากเมื่อวานแดดแรงมาก เราต้องทำงานกลางแดด ถึงแม้นว่าจะมีร่มคันเล็ก ๆ บังให้อยู่แต่สภาพแวดล้อมที่ต้องเดินไป เดินมาก็ต้องตากแดดอยู่ดี

โดยเฉพาะเมื่อต้องถ่ายท้องรอบที่สองนั้นสงสัยว่า "โลกจะหมุน" เพราะเราเริ่มเดินตุ้มปั้ด ตุ้มเป๋ เดินโซซัด โซเซ จนขาขวิดกัน

ตอนบ่ายสามจึงต้องกลับไปพักที่ห้อง พักได้หนึ่งชั่วโมงแล้วจึงมาดื่มขวดที่ 4 เวลาประมาณ 16.00 น. หลังจากนั้นก็เดินออกไปบอกช่างว่า วันนี้ไม่ไหว ฝากเก็บของด้วย แล้วก็กลับมาพัก "ยาว" เลย...

สูตรน้ำมะนาวนั้น สองขวดแรกเราใช้มะนาวสามลูก แต่ทว่า มะนาวสามลูกนี้ใหญ่มาก ใหญ่เกินจนร่างกายบอกได้ว่า "มากเกิน"

สองขวดหลังจึงลดเหลือสองลูกจนเรารู้สึกว่า "พอดี" (สำหรับมะนาวลูกใหญ่นะ)

ส่วนปัญหาอีกเรื่องหนึ่งก็คือเจ้า "พริกข่า"

พริกข่าที่เรานำมานี้ รู้สึกว่าจะเก่าไปหน่อย ทานแล้วรู้สึกผะอืด ผะอม คลื่นไส้

วันนี้ก็เลยฝากช่างหา "พริกป่น" มาให้แทน

ส่วนเรื่องน้ำสะอาดนั้น ถ้าผสมเข้าไปกับน้ำมะนาวแล้วก็น้ำผึ้งถึง 300 มิลลิลิตร ดื่มแล้วก็คลื่นไส้เหมือนกัน

สู้ผสมน้อย ๆ ให้พอเข้ากับน้ำผึ้งได้จะดื่มง่ายกว่า หลังจากน้ำค่อยดื่มสะอาดตามเข้าไปให้ครบตามจำนวนแทน อันนี้จะรู้สึกคลื่นไส้น้อยกว่า

เมื่อวานหลังสังเกตุตัวเองตลอดทั้งวันก็พบว่า วันแรกนี้ 4 ครั้งก็ "พอดี" สำหรับร่างกายตัวเองแล้ว

สำหรับการปรับตัวในวันแรก ถ้าให้ดีก็น่าจะเป็นสักครึ่งหนึ่ง คือ 3 ครั้งจาก 6 ครั้ง

วันแรกน่าจะเป็นการ "อุ่นเครื่อง" ปรับตัวสำหรับการทำอะไรที่ร่างกายเราไม่เคยทำ

เมื่อวานจึงหยุดการดื่มน้ำมะนาวที่เวลา 16.00 น. หลังจากนั้นก็ทาน "น้ำตาลอ้อย" เข้าไปนิดหน่อย เพราะร่างกายรู้สึกโหย ๆ

หลังจากนั้นก็ต้องพักกันยาวเลย พักแต่หัววัน

เช้านี้ก็มาเริ่มกันใหม่ ตอนนี้กำลังชงยา "ส้มแขก" ดื่มเพื่อให้ระบายท้อง

ส่วนตอน 8.00 น. ก็จะเริ่มดื่มน้ำมะนาวแก้วแรก ก็จะใช้น้ำมะนาวสองลูก ผสมกับน้ำผึ้งแล้วก็จะใส่ "เกลือ" เล็กน้อย (อันนี้เพิ่มเอง) ส่วนพริกนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นพริกป่น (ถ้าช่างหามาให้ได้)

สำหรับวันนี้ได้ผลเป็นประการใด ก็จะวิเคราะห์ วิจัยมาให้ทราบเป็นระยะ ระยะ

โอ้... งานเข้าซะแล้วเรา ดันเข้าใจผิดว่า "หมอดาว" เป็นอีกคนหนึ่ง

ขออภัยกับความผิดพลาดครั้งนี้เป็นอย่างสูง

แต่นั่นก็เถอะ "คน"ง่" ก็มักจะทำอะไร "โง่ ๆ" แบบนี้แหละ 555

ไม่เข้าท่าเลยเรา ดันไปเข้าใจผิด ผิดคน ผิดสถานที่ ผิดเวลา...

แหม เข้าใจถูกมาซะนาน วันนี้รู้ความจริง ความเข้าใจถูกก็กลายเป็นผิดไปเสียนี่

คนเรามันก็อย่างนี้แหละ อะไรที่ว่าแน่ ๆ มันก็ไม่แน่เสมอไป

คนเรามักคิดเข้าข้างตัวเองอย่างนี้แหละ คิดว่าตัวเองถูกเสมอ เจ๋งเสมอ แต่มันไม่เจ๋งจริง ไม่เก่งจริง แต่ "ความโง่" นั้นเป็นเรื่องจริงสำหรับ "ชีวิตเรา..."

เริ่ม Detox แล้วเหรอเจ้าค่ะ

หนูหายไปปฏิบัติภารกิจ สองสามวัน เข้ามารายงานตัว

และขอโอกาสมาเรียนรู้การ Detox มะนาวจากท่านสูญญตา

ที่เสียสละตนเอง ในการทดลองสูตรปรับปรุงเจ้าค่ะ

 

ชีวิตมันก็ต้องอย่างเนี๊ยะแหละ ไม่ลองไม่รู้

จะไป "ฉลาด" ปฏิเสธเขา แล้วไม่ทำอะไรเลย เพราะความถือตัว ถือตน มีทิฏฐิมานะ ว่าฉันเก่ง เขาโง่อยู่ก็ไม่ได้...

หรือว่าจะเป็น "โง่" เชื่อเขา เขาบอกอะไรมาก็ "โง่" เขื่อเขาหมด เขาบอกให้ไปตายก็ไป เขาบอกให้โลภก็ไป เขาโฆษณาอะไรนิด อะไรหน่อยก็ "อยาก" ได้ อยากมี อยากสวย อยากหล่อเหมือนกับเขา...

อะไรดีก็ลองดู ก็ทำไป ทำไปเพื่อรักษาร่างกายนี้ อัตภาพนี้ ให้คงอยู่เพื่อเสียสละและ "ทำความดี..."

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท