การที่เราไม่เป็นตัวของตัวเอง... ทำให้เราไม่กล้าแม้แต่จะฝัน ตรรกะ (logic) และความคิด (ที่ติดอดีต) ทำให้จินตนาการของเราถูก "จำกัด" เราถูกปลูกฝังให้คิดเฉพาะสิ่งที่ "เห็น" ว่าเป็นไปได้... เรามักไม่กล้าก้าวล่วงเข้าไปในดินแดนที่ไม่คุ้นชิน หากนักวิทยาศาสตร์และนักประดิษฐ์ทั้งหลายเป็นอย่างเรา โลกแห่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คงจะไม่ก้าวหน้าเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้
นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำไม การบริหารงานในปัจจุบัน จึงให้ความสำคัญกับ "วิสัยทัศน์" ค่อนข้างมาก ใครก็ตามที่จะขึ้นเป็นผู้บริหารหน่วยงาน ในขั้นตอนการคัดสรรมักจะให้แต่ละท่านแถลงเกี่ยวกับ "วิสัยทัศน์" ของท่านเหล่านั้นเสมอ วิสัยทัศน์สื่อให้เห็นถึง "ภาพที่พึงปรารถนา" เรียกได้ว่าเป็น "ภาพแห่งอนาคต" เป็นฝันที่เป็นจริงได้ (Possible Dream) เป็นจินตนาการที่ก้าวข้ามกรอบความคิดเดิมๆ ก้าวข้ามความรู้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ค่อนข้างมาก ดังคำกล่าวของท่านที่ว่า "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ หรือ Imagination is more important than knowledge" นั่นเอง
....แน่นอนครับ ผมไม่ได้เจตนาที่จะยุให้ท่านจินตนาการหรือ "ฝันเฟื่อง"ในเรื่องที่ต่างๆ ที่ไร้สาระ หรือไปเพิ่มราคะ ปลุกต่อมกิเลสตัณหาแต่อย่างใด เพราะในเรื่องเหล่านั้น จริงๆ แล้วเราไม่ต้องไปยั่วยุมันหรอกครับ มันเป็นไปตามธรรมชาติ เป็นไปตามสัญชาตญาณอยู่แล้ว แต่ความฝันหรือจินตนาการที่ผมพูดถึงนี้ เป็นกระบวนการสร้างความท้าทาย เป็นการยุให้คิดให้ฝันในเรื่องที่ดีๆ เป็นเรื่องที่ทำให้เราได้ใช้ศักยภาพในตัวเราอย่างเต็มที่ ตัวอย่างเช่น ฝันที่จะสร้างองค์กรดีๆ ขึ้นมาทำสิ่งดีๆ ให้กับสังคม ฝันเรื่องการบริหารงานที่มีพลัง ที่ทำให้ทั้งงานได้ผลและคนที่ร่วมงานมีความสุข ฝันเรื่องการสร้างสังคมดีๆ เป็นสังคมที่สงบร่มเย็น คนในสังคมเปิดใจ รู้จักให้อภัย มีจิตใจที่มุ่งไปสู่ "ภาพใหญ่" ที่วางไว้ร่วมกัน (Shared Vision)
ความฝันที่ว่านี้ จะเป็นจริงได้ต้องอาศัย "การกระทำ (Action)" ครับ หลักธรรมสอนเราว่า ทุกอย่างล้วนมาจากเหตุปัจจัย เราต้องช่วยกันสร้างเหตุปัจจัยที่เหมาะสม ฝันที่วางไว้จึงจะเป็นจริง การที่เราเอาแต่ฝัน แต่ไม่ได้ "ลงไม้ลงมือ" สร้างเหตุปัจจัยอะไรเลยนั้น หากบังเอิญสำเร็จขึ้นมาได้ ก็ต้องถือว่า "ฟลุ้ก" หรือว่า "โชคช่วย" มากกว่า ยิ่งฝันของท่านยิ่งใหญ่เพียงใด ความท้าทายก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว ผู้ที่กลัวปัญหาจึงไม่กล้าแม้แต่จะฝัน ความฝันกับเรื่องความมุ่งมั่นจึงเป็นสิ่งที่คู่กันครับ ยิ่งฝันของท่านใหญ่เพียงใด และท่านต้องการจะไปให้ถึง ท่านก็ยิ่งต้องมีความมุ่งมั่นครับ
แต่ข้อดีของสิ่งเหล่านี้ก็คือว่า มันมักจะมาด้วยกันเป็นชุดครับ คือ ความฝัน หรือ Vision มักจะไปกระตุกต่อม แรงปรารถนา หรือ Passion ซึ่งจะไปกระตุ้นให้เกิดการกระทำ หรือ Action ตามมา เกิดเป็นสูตรว่า "จาก Vision ไปสู่ Passion ไปสู่ Action" บางคนอาจจะพูดสลับกันว่า "จาก Passion ไปสู่ Vision ไปสู่ Action" ก็ได้ ไม่น่าจะผิดอะไร เพราะหลายครั้งก็เป็นเพราะ "ไฟในหัวใจ (Passion)" นี้ ต่างหาก ที่ทำให้เราสามารถสร้างภาพที่พึงปรารถนา (Vision) ขึ้นมาได้ แต่ในสุดท้ายแล้วสิ่งที่เป็นหัวใจก็คือ Action ครับ... ถ้าไม่มี Action ที่ฝันไว้ก็ไร้ประโยชน์ครับ
เรียน อาจารย์ ดร.ประพนธ์ ครับ
ผมติดตามอ่านบันทึกของ อาจารย์หมอนนทลี ที่ได้สรุปเรื่องเล่าของ ครูนงเมืองคอน บันทึก สอดคล้องกับที่อาจารย์ได้เขียนบันทึกแลกเปลี่ยนเรียนรู้กรมอนามัย
ว่าด้วยความรู้ ที่เป็นความจริงอย่างเดียว ก็เป็นของดีอยู่แล้ว แต่หากนำมาใช้ประโยชน์ ก็เติม "จินตนาการ" เข้าไป
จินตนาการทำให้ความรู้มีชีวิต และความรู้ที่มีชีวิตตอบสนองการพัฒนาได้เป็นอย่างด
ขอแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับอาจารย์ครับ
ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ประพนธ์...
หรือเป็นกระสวยที่มี passion & vision หมุนรอบตัวเองเป็นเกลียวคล้ายสว่าน (spiral) ไปรอบๆ สายนำ (vision) ไปสู่ฝันที่เป็นจริงได้
วันก่อน ดิฉันเข้าประชุม KM ของมหาวิทยาลัย อาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่า มหาวิทยาลัยทำกระบวนการหลายอย่างแล้วเพื่อการกระตุ้นให้เกิดการทำพัฒนางาน ไม่ว่าจะเป็น peer assist, site visit, workshop เพื่อแสดงให้เห็น best practices จะได้เรียนลัดนำไปปฏิบัติได้เลย
เวลาผ่านไป ก็ไม่เห็นว่าจะมีหน่วยงานใดลงมือเขียน action plan และลงมือปฏิบัติ
ดิฉันถามกลับไปว่า ทำไมเขาถึงไม่ทำค่ะ คำตอบนั้นมีหลายอย่างค่ะ เช่น
- กลัว commitment
- ไม่ใช่บุคคลที่มีอำนาจหน้าที่
- กลัวทำแล้วผิด
- กลัวเพื่อนหมั่นไส้
เป็นต้นค่ะ
อาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่า ต้องเน้นเพื่อการพัฒนางาน ไม่ใช่เน้นเพื่อ KM แต่อีกท่านก็บอกว่า จะคำไหนก็คงได้ผลเหมือนกันกระมั่ง และอีกหลายๆ บทสนทนา...
ขอบคุณคะอาจารย์ ในฐานะผู้ปฎิบัติ เราเห็นหลายคนมาก ๆ ที่มีแต่ภาพฝัน แต่ไม่มี passion , action เลย หากเขาเหล่านั้นมีเพียงนิดเดียว งาน/องค์กรจะรุ่งเรืองกว่านี้แน่นอน จะทำอย่างไรดีหนา??
ฝันแล้วทำแล้วค่ะ รู้สึกว่าตัวเองใช้หน้าที่และเป้าหมายมาเป็นแรงผลัก สิ่งที่ใช้บ่อยๆคือความอดทนและไม่ท้อแท้ท้อถอยเมื่อเกิดอุปสรรค หลวงพ่อจรัญสอนดิฉันว่าถ้าทนไม่ได้ก็ปรับ ปรับไม่ได้ก็เปลี่ยน เปลี่ยนไม่ได้ก็ปลด ถ้าปลดไม่ได้ก็ปลงเถอะโยม
ขอบคุณอาจารย์ที่ให้ข้อคิดทีดีๆเสมอมาค่ะ