สมัยที่ผู้เขียนเรียนชั้นประถมศึกษาถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ผู้เขียนไม่มีความรู้สึกภาคภูมิใจในการเรียนภาษาไทยเลย เมื่อใดก็ตามที่ครูให้เขียนจดหมาย หรือเรียงความ หลังจากครูอ่านจบ (หรือไม่) ครูก็เขียนคำว่าพอใช้ให้ทุกครั้ง โดยไม่ทราบเลยว่าตัวเองนั้นบกพร่อง อย่างไร ตรงไหน ปรับปรุงอะไร และเพื่อนที่ได้ดีมาก หรือดีเพราะอะไร (เพราะลายมือสวยอ่านง่ายใช่หรือไม่) แต่เมื่อเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ ได้พบกับคุณครูคนใหม่ เป็นครูผู้หญิงเพิ่งจะบรรจุ แต่ความสามารถของคุณครูนั้นถือได้ว่าชั้นครู ครูสอนโดยไม่ต้องถือหนังสือ ครูมีวิธีสอนหลากหลายวิธี สามารถพูดได้ว่า คุณครูท่านนี้สอนโดยเน้นนักเรียนเป็นสำคัญตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ก็ว่าได้ ครูสอนคำราชาศัพท์โดยให้นักเรียนออกแบบกิจกรรมเอง ผู้เขียนเองทำเป็นรูปแบบละคร มีพระราชา โอรสธิดา ข้าราชบริพาร ซึ่งเป็นลักษณะของบทบาทสมมุตินั่นเอง ทำให้มีความรู้สึกที่ดีต่อการเรียนและอยากจะเรียนวิชานี้ เมื่อถึงการเขียนเรียงความ ผู้เขียนมีจินตนาการและนำเสนอรูปแบบกับครูว่า จะเขียนคำนำในรูปแบบของกลอน และเนื้อหาแทรกพรรณนาโวหารได้หรือไม่ ครูก็แนะนำเพิ่มเติมให้ ผู้เขียนจึงเขียนเรียงความมีความยาว เกิน ๑ หน้ากระดาษเป็นครั้งแรก และได้ผลประเมิน ดีมาก เป็นครั้งแรก เป็นก้าวกระโดด ยังจำความรู้สึกครั้งนั้นได้ดี ตัวพอง เลือดสูบฉีด และดีมากจากครั้งนั้นส่งผลให้พบกับสิ่งดี ๆ ทั้งหลายในการสอนภาษาไทย
ขณะเดียวกัน ในชีวิตการเป็นครูผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา พบว่า เมื่อไรก็ตามที่ได้รับคำชมจากการปฏิบัติ ผู้เขียนก็ยิ่งบ้าทุ่มเทการทำงานยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก และเช่นกันเมื่อไรที่ทำทุ่มเทแล้วผู้บังคับบัญชาไม่ไยดี ผู้เขียนก็จะฝ่อ และเฉยเมยต่อการทุ่มเทไปในที่สุด ไม่นานมานี้โรงเรียนจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ ซึ่งมีบุคลากรจากหน่วยงานอื่นมาร่วมอยู่ด้วย ครูกลุ่มหนึ่งรวมทั้งผู้เขียน มาลงชื่อตั้งแต่เช้า และเลือกที่นั่งที่ใกล้จุดของการฟัง มองเห็นจอภาพได้ชัดเจน ไม่โดนแอร์จนเกินไปแต่ไม่ใช่ด้านหน้าตรงกลาง เมื่อคนอื่นที่มาทีหลังเขาก็เลือกตามสะดวก ตรงกลาง แต่หลังสุด ด้านหน้าตรงกลางจึงว่าง ผู้บริหารก็สั่งทางไมโครโฟน ขอให้ครูกลุ่มดิฉันที่มาแต่เช้าและจองที่นั่งที่เหมาะแก่การนั่งฟังและมองจอภาพ ให้มานั่งหน้าแถวกลาง ไม่มีใครเคลื่อนไหว ท่านก็เลยประกาศชื่อสั่งเป็นรายชื่อทีละคน และสั่งให้ผู้บริหารท่านอื่นเก็บเก้าอี้ ก็ไม่มีใครเคลื่อนไหวอีก
ครูกลุ่มนี้ผิดอะไร ขณะที่กลุ่มอื่นมาช้ากว่าเป็นชั่วโมงเลือกนั่งด้านหลังได้อย่างสบาย ไม่มีใครสบายใจ อีกฝ่ายหนึ่งโกรธ เสียหน้า อีกฝ่ายหนึ่งคับข้องใจ เมื่อว่างพวกเราก็คิดสะท้อนจากห้องประชุมไปสู่ห้องเรียนว่า นี่ล่ะ ถ้าเป็นในห้องเรียน ครูเข้ามาถึงแล้วก็ด่า ๆ ๆเด็กก่อนสอน อารมณ์ของเด็กก็จะเหมือนเราขณะนี้ เมื่อเพื่อนพูดเช่นนั้น ก็นึกย้อนไปถึงพฤติกรรมการสอนของผู้เขียนเองว่า มีพฤติกรรมเหมือนผู้บริหารท่านนี้หรือไม่ พบว่ามี มีทุกภาคเรียน เพราะผู้เขียนคาดหวังล่วงหน้า ว่าทุกคนทำการบ้านมา ทุกคนเตรียมความพร้อม
ทำให้นึกเห็นใจนักเรียนว่า เวลานั้นนักเรียนคงมีความคับข้องใจไม่แตกต่างจากครูในวันนี้ จึงคิดจะนำประสบการณ์ความประทับใจสมัยเรียน กับพฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงที่ได้เห็นในวันนี้มาเป็นตัวพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนโดย
๑. บรรยากาศต้องอบอุ่น
ยิ้มแย้มให้แก่กัน ถอดหน้ากากยักษ์ทิ้งไป
มีแต่ถ้อยคำไพเราะ
๒. นำเกือบดี ดี
และดีมากมาใช้กับการทำกิจกรรมแม้ว่าเป็นการบันทึกเล็ก ๆ น้อย ๆ
ก็ตาม แต่หากว่าเขาเหล่านั้นทำสำเร็จตามเป้าหมาย
สมุดเขาควรจะมีคำเหล่านี้
๓. ไม่ยัดเยียดความรู้ ให้ทีละน้อย ทีละขั้น
แต่ให้เขาเข้าใจและกระจ่าง
เป็นความโชคดีบนวิกฤต ผู้เขียนได้สอนนักเรียนที่เรียนอ่อนถึงปานกลาง แต่ไม่เกเร จำนวน ๒ ห้อง ๑๐๐ คน เด็กเหล่านี้หลาย ๆ คน ตั้งแต่เรียนมาไม่เคยรู้จักคำว่าดีมาก ไม่เคยได้รับคำชมเชยเลย หากว่าเขาได้ขึ้นมาเขาจะมีอาการอย่างไร
ชั่วโมงแรกที่เข้า โปรยยิ้มเต็มที่ ทักทายลูกทุกคน ทุกคำ สนทนาซักถามความคิด ระดับผลการเรียน ถามชื่อ แปลชื่อแต่ละคนให้ฟัง หยอกเย้าบ้าง ทุกสายตาเป็นประกาย มีรอยยิ้มแต้ม แล้วทบทวนความรู้ตรวจสอบลายมือด้วยเรื่องสมัยอนุบาล นักเรียน ทบทวนท่อง ก. ไก่ หลายคนหัวเราะ หลายคนอาย ที่บางตัวลืมไปแล้ว เมื่อท่องเสร็จ ขอตรวจสอบลายมือหน่อย ให้นักเรียนคัด ก- ฮ. ตัวบรรจง เต็มบรรทัด นักเรียนยิ้มขำ ๆ แต่ตั้งใจ ด้วยเวลาที่เหลืออยู่ไม่มากนัก นักเรียนบางคนจึงยังทำไม่เสร็จ ผู้เขียนบอกว่าไม่เป็นไรค่อยมาตรวจชั่วโมงหน้า เมื่อถึงชั่วโมงต่อมา นักเรียนทั้ง ๒ ห้อง ทำงานเสร็จพร้อมส่งหมดทุกคน ผู้เขียนตรวจดูแล้ว ไม่พบว่ามีนักเรียนคนไหน ทำงานสักแต่พอว่าได้ทำ ทุกลายมือบรรจง แม้ว่าจะสวยน้อย สวยมาก แตกต่างกัน แต่ทุกคนบรรจง
การให้ผลป้อนกลับ ของใครที่สะอาด ช่องไฟเหมาะสมได้ดีมากทุกคน ของใครลบมีรอยเปื้อนของน้ำยาลบคำผิดมาก ผู้เขียนจะบอกว่า "เสียดายจังเลย เลอะมากไปหน่อยนะ คราวนี้ครูให้ดีก่อนนะคะ" เธอและเขาก็ยิ้มแบบเสียดาย ส่วนคนที่ในชีวิตไม่เคยได้รับคำชมเชยเลย จะตื่นเต้นตัวพองเปิดสมุดไว้ไม่ยอมปิด และไปเปิดสมุดของเพื่อน ๆ ด้วย ซึ่งปกติเด็กกลุ่มนี้อาจจะไม่มีสมุดมาส่งครู หรือส่งครูเสร็จก็ปิดสมุดวางไว้เฉย ๆ แล้วชวนเพื่อนสนทนาเรื่องอื่น ๆ
นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการลองดู (ลองแล) เท่านั้น ยังจะต้องมีอะไรที่มาช่วยจัดบรรยากาศและให้กำลังใจอีกมาก
เรียน คุณครูที่รักยิ่ง
ชื่นชมยินดีมากค่ะ กับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบนี้ ครูแป๋วเองก็ทำอย่างนี้มาตลอดค่ะ ยิ่งปีนี้มีโอกาสให้ คุณครูยาย ( ได้เป็นยาย ) ลงมาสอนเด็กตัวเล็ก ๆ ม. ๑ ด้วยแล้ว ยิ่งมีความสุขกับการสอนภาษาไทย แบบ โลกสวย ภาษาสวย เด็กสวย
( เด็กมีความสุขสนุกกับการเรียน)
ด้วยมือครูค่ะ
รักคุณครู ชื่นชมศรัทธาคุณครูมาตลอดค่ะ
ครูแป๋ว...รพีพรรณ สกลนคร
การจัดกิจกรรมแบบครูน่ารักมากเลยนับว่าเป็นส่งท่ดีมากเลยค่ะ
ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ หากมีอะไรดี ๆ เชิญมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้นะคะ
สวัสดีครับคุณครู
ผมแอบเรียนภาษาไทยจากห้องเรียนสีชมพูของคุณครูมาร่วมสองปีแล้วครับ ไม่นึกไม่ฝันว่าผมเองจะได้มาเป็นครูสอนภาษาไทยเข้าวันหนึ่ง
ขอมอบตัวเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการนะครับ
จะเริ่มสอนเปิดเทอมนี้แล้ว
มือใหม่แล้วก็เป็นกังวลอยู่เหมือนกัน ยังไงจะขออีเมลไปของคำปรึกษาเป็นกรณีๆ ไปนะครับ
ขอแสดงความยินดีกับประเทศชาติที่มีครูใฝ่รู้ใฝ่เรียนค่ะ และขอแสดงความยินดีกับครูนกที่ได้เป็นคุณครูค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณครูภาทิพ
เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ อยากให้บรรยากาศในห้องอบอุ่นแบบนี้จัง...
ถ้าวันไหนครูอารมณ์ดี นักเรียนก็จะมีความสุข มีส่วนร่วมดี
แต่ถ้าวันไหนครูอารมณ์ไม่ปกติ อย่าหวังเลยว่า..
วันนั้นทั้งวันจะจัดการเรียนการสอนอย่างมีความสุขเลยเจ้าค่ะ
สวัสดีค่ะคุณครูพี่ทิพ
อ่านแล้วรู้สึกชื่นชมนะคะ หนูเองสอนภาษาไทย ได้ทดลองทำแบบพี่แล้วประสบความสำเร็จค่ะเพราะเด็กที่ไม่เคยส่งงานเลย ตอนนี้ทำเกินคำสั่งมาล่วงหน้าเลยด้วยซ้ำ เขาไม่เข้าใจต้องอธิบายด้วยคำพูดที่นุ่มนวล อดทนถามทีละข้อ จนเขาพอเข้าใจ ลองให้ทำ เขาทำได้ พอเราชมเขาดีใจมากเลยค่ะ ตอนนี้สามารถแก้ไข ปัญหาเรื่องเด็กไม่ส่งงานในห้องตนเองได้แล้ว พอดีสอนนักเรียน 3 ห้องห้องละ 50 คน ต้องอดทน เก็บข้อมูลเด็กที่มีปัญหา ขอบคุณนะคะมาอ่านแล้วได้ข้อคิดดี ๆ มากเลยค่ะ