แกะความรู้จากบล็อก "ความรู้คือพลัง" กับแง่มุมที่ไม่ควรมองข้าม


ความรู้คือพลัง

 ผู้ที่ติดตาม อ่านบันทึกต่างๆใน gotoknow หลายท่านคงจะเคยผ่านสายตากับบันทึกที่มีชื่อ อย่าง "ท่าสักไดอารี่" หรือ "ละอองความรู้" กันมาบ้าง ซึ่งนายบอน! ก็ไม่พลาดที่จะติดตามอ่านบันทึกในบล็อกแห่งนี้เช่นกัน  นอกจากบันทึกที่ได้อ่านแล้ว หลายสิ่งที่แสดงให้เห็นในบล็อกแห่งนี้ก็มีหลายแง่มุมที่ไม่ควรจะมองข้ามเช่น กัน

ไม่ทราบว่า มีใครมองเห็นแง่มุมเหล่านี้บ้างหรือไม่

1) บล็อก "ความรู้คือพลัง"  
ของนายรักษ์สุข หรือ คุณปภังกร วงศ์ชิดวรรณ  ตอนแรกที่ค้นพบบล็อกแห่งนี้ ต้องสะดุดกับชื่อบล็อกที่ว่า "ความรู้คือพลัง" และยิ่งสะดุดใจมากยิ่งขึ้นไปอีก กับสิ่งที่เจ้าของบล็อกได้เขียนไว้ในรายละเอียดของบล็อก

ป้าย " ตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน"
เกี่ยวกับบล็อก - " เศษเสี้ยวหนึ่งของความรู้ในชีวิตที่มี ขอแลกเปลี่ยนให้เกิดสิ่งดีๆเพื่อประเทศไทย และโลกนี้ให้สวยงาม"

เรามักจะพบเห็นอยู่เรื่อยๆ กับการคิดจะทำดีหลายอย่าง แต่การคิดนั้น ง่าย การลงมือทำจริงนี่สิครับ ยากมาก ต้องเอาชนะกิเลสของตนเองให้ได้

คิดโครงการดีๆในหัวออกมาสวยหรู แต่เมื่อจะต้องลงมือทำ หลายคนกลับมีข้อแก้ตัวไว้แล้วว่า ไม่มีเวลา, ยังไม่พร้อม, ไม่ว่าง ฯลฯ

แม้แต่การลงมือเขียนในสิ่งที่ตั้งใจไว้ หลายคนยังไม่สามารถทำได้  
สิ่งที่เขียนออกมานั้น ได้ผ่านการกลั่นกรองจากมันสมองของท่าน เขียน หรือ พิมพ์ ผ่านปลายนิ้วจนออกมาเป็นข้อความให้คนอื่นๆได้เห็นสิ่งที่กลั่นกรองออกมา

นายรักษ์สุข ได้เริ่มต้นทำสิ่งที่คิดไว้ในขั้นตอนได้แล้ว
จะมีใครสักกี่คน ที่จะเขียนข้อความว่า อยากจะแลกเปลี่ยนความรู้ให้เกิดสิ่งดีๆ เหมือนดังคำปฏิญาณที่เปล่งออกมา แล้วก็แสดงให้เห็นจริงๆ

2) การเขียนบันทึกที่สามารถเขียนออกมาได้หลายตอนต่อเนื่องกัน แสดงว่า ผู้เขียนบันทึกนั้น ต้องมีความรอบรู้ในสิ่งที่เขียนออกมานั้น เป็นอย่างดีทีเดียว

การเขียนบันทึกอย่าง "ท่าสักไดอารี่" ที่นำเสนอมุมมองออกมาหลายตอน เมื่อได้ติดตามอ่านแล้ว แทบไม่น่าเชื่อว่า "เศษเสี้ยวหนึ่งของความรู้ที่มี" ของนายรักษ์สุข ได้ทำให้เกิดสิ่งที่ดีๆขึ้นในสังคมของบล็อกแห่งนี้แล้ว

3) "ละอองความรู้" แสดงถึงความลึกซึ้งของการเลือกใช้คำที่เข้ากับ เศษเสี้ยวหนึ่งของความรู้ ของนายรักษ์สุข ช่วงนี้ฝนตกที่กาฬสินธุ์ - มหาสารคามบ่อยๆ แค่เพียงละอองฝน ก็ทำให้หลายคนมีอาการเป็นหวัดน้ำมูกไหลได้แล้ว ถ้าเป็นฝนตกห่าใหญ่จะเป็นอย่างไร

แค่ละอองเล็กๆ ก็สามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาได้ เช่นเดียวกับ "ละอองความรู้" และบันทึกต่างๆของนายรักษ์สุข ทั้งในแนวของเทคโนโลยีสารสนเทศ, ต้นทุนในการเรียนรู้ ฯลฯ ละอองความรู้เล็กๆในบล็อกแห่งนี้ มีบันทึกสะสมในบล็อกกว่า 60 บันทึกเข้าไปแล้ว ภายในช่วงระยะเวลา 2 เดือนที่นายรักษ์สุข เขียนบันทึกใน gotoknow

4) การที่ความรู้จะมีพลังได้ จะต้องมีการสะสมประสบการณ์ ผ่านการเรียนรู้ การถ่ายทอด จนมีความรู้แน่น... เหมือนการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง จนเกิดมัดกล้ามเนื้อ มีพละกำลังแข็งแรง เกิดเป็นพลังขึ้นมา..

นายรักษ์สุข หรือ คุณปภังกร เป็นนักวิชาการอิสระจากอุตรดิตถ์  เป็นผู้สอนรายวิชาวิจัยธุรกิจ, การตลาด, สารสนเทศ, การจัดการคุณภาพ และสิ่งที่ถ่ายทอดผ่านบันทึกในบล็อก ความรู้คือพลังนั้น ได้สะท้อนว่า นายรักษ์สุขได้ผ่านสิ่งต่างๆมามากเพียงใด

จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือน ถึงสามารถเขียนบันทึกได้อย่างต่อเนื่อง มีข้อมูล มีวัตถุดิบในการเขียนบันทึกอย่างไม่ขาดตอน

5) จากข้อ 4 ลองคิดดูสิครับว่า ทำไมหลายคนถึงคิดอะไรไม่เป็น คงจะต้องมองย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาในชีวิตของท่าน .. ท่านมีโอกาสได้เรียนรู้ ผ่านประสบการณ์ต่างๆมากมายเพียงใด มีพฤติกรรมที่ทำให้เกิดการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาหรือไม่

มองนายรักษ์สุขกับมองเยาวชนหลายคนแล้ว เห็นข้อแตกต่างอย่างชัดเจนครับ เด็กและเยาวชนหลายคน ใช้อินเทอร์เนตเพื่อความบันเทิง, ส่งเมล์ , Chat , ดาวน์โหลดโปรแกรม, post รูปภาพ , ดูคลิปวิดีโอฉาว

หรือหลายท่านที่อ่านข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เช่นบันทึกต่างๆใน gotoknow ก็จะอ่านกันจนเพลิน ไม่ค่อยได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้มากนัก....

การได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ จากการแสดงข้อคิดเห็นในบันทึกที่อ่านผ่านไป อย่างน้อยความคิดในสมองได้ถูกกลั่นกรองเป็นข้อความของท่าน แสดงต่อท้ายบันทึกที่พึ่งได้อ่านผ่านพ้นไป

เมื่อได้ฝึกคิด ฝึกเขียน ก็ได้ฝึกทักษะ เหมือนอย่างที่เขียนในข้อ 4 เกิดเป็นพลังขึ้นมา...

และความรู้ก็จะมีพลังอย่างนายรักษ์สุขครับ

6) นายบอน! ได้สัมผัสถึงพลังความรู้ของนายรักษ์สุข จนต้องหยิบมาเขียนเป็นบันทึกในแบบ Keep in Mind by bon จนได้สิครับ ด้วยความประทับใจครับ

เห็นที่อยู่ เบอร์โทรที่อยู่ในบล็อกของท่าน หากนายบอนมีโอกาสได้แวะเวียนไปเยี่ยมน้องสาวที่พิษณุโลกคราใด  หากมีเวลา จะหาโอกาสไปเยี่ยมคารวะนายรักษ์สุขสักครั้งครับ......

 

หมายเลขบันทึก: 36071เขียนเมื่อ 29 มิถุนายน 2006 12:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 15:14 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

สวัสดีครับ คุณบอน

หลังจากที่ผมอ่านบรรทัดแรกแล้ว ผมบรรตรง ๆ เลยครับว่ารู้สึก "อึ้ง" ไปเลยครับ รู้สึกเหมือนว่าหายเหนื่อยกับการทำงานที่ผ่านมาถึงแม้ว่าอาจจะเป็นเพียงเวลาไม่กี่ปี โดยเฉพาะการได้เข้ามาในชุมขน Gotoknow แห่งนี้สองเดือน ผมรู้สึกได้เลยว่าผมมีเพื่อนมากขึ้น เพื่อนจากทุกสารทิศทั่วประเทศไทย และโดยเฉพาะวันนี้ ผมได้พบกัลยาณมิตรอย่างคุณบอน ผมรู้สึกดีใจมากจริง ๆ ครับ กับการทำงานแบบที่นายหลวงทรงตรัสไว้ก็คือ ทำงานแบบปิดทองหลังพระ หลังจากที่ผมตัดสินใจลาออกจากการเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์เพื่อที่จะศึกษาต่อต่างประเทศ แต่แล้วก็กลับไม่ได้ไป ตอนนั้นรู้สึกเคว้งคว้างมาก แต่ผมก็คิดได้ว่า อาจจะเป็นโชคชะตาที่พาให้เราเดินไปเส้นทางนี้ เส้นทางที่จะต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดินบ้าง ตอบแทนโดยที่ไม่ต้องห่วงว่า หัวหน้างานหรือจะสิ่งที่เราทำนั้นจะส่งผลกระทบใด ๆ ต่อองค์กร เพราะเมื่อก่อนบอกตรง ๆ ครับ อยู่ในระบบราชการ จะทำอะไรมาก ทำเกินหน้าเกินตาใครก็ไม่ได้ ต้องทำตามที่เขาสั่ง ถ้าเขาไม่สั่งทำไปมีแต่เสียหรืออย่างมากก็เสมอตัวครับ หลังจากนั้นจำได้เลยที่หน้าสถานฑูตอังกฤษ ผมแทบยืนไม่อยู่ไม่มีแรงจะสู้ต่อไป ไปเรียนก็ไปไม่ได้ ้งานก็ลาออกแล้ว จะทำอย่างไรดี

 จนกระทั่งมาถึงวันนี้ วันที่ได้อ่านสิ่งที่คุณบอนเขียน ทำให้ผมมีแรงที่จะยืดหยันต่อสู้และปิดทองหลังพระต่อไป เพื่อที่จะตอบแทนสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา ตอบแทนแผ่นดิน ในหลวง พ่อแม่ และทุกสิ่งที่อย่างที่ทำให้ผมมีลมหายใจได้อยู่

ในวันนี้  8 เดือนที่ผ่านมากับการไม่มีรายได้ประจำเหมือนอย่างเดิม แต่ผมก็ยังทำงานออกพื้นที่ ลงชุมชน ใครชวนไปไหนผมก็ไป ไปจัดเวที ไปคุยกับพี่น้องพ่อแม่ในชุมชน ไม่มีเบี้ยเลี้ยง ไม่มีค่าตอบแทน แต่สิ่งที่ผมได้มากที่สุดก็คือมิตรภาพครับ เก็บเกี่ยวเอาประสบการณ์ การทำงานที่ไม่ต้องยึดติดกับกรอบของงบประมาณ ไม่มีค่าตัว ไม่มีค่าใช้จ่าย มีความสุขกับการทำงานในชุมชน กลับมาก็นั่งเขียนอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ลงในบล็อค เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดที่ได้จากการทำงานที่ผ่านมาครับ

ขอบคุณอีกครั้งครับคุณบอนสำหรับมิตรภาพและกำลังใจอย่างมหาศาลที่จะทำให้ผมยืนหยัดต่อสู้ทำงานเพื่อตอบแทนบุญคุณแผ่นดินไทยนี้ต่อไป ขอบคุณครับ

ได้อ่านข้อคิดเห็นของ อ.ปภังกรแล้ว เยี่ยมครับ อดใจไม่ไหว เลยจะต้องได้หยิบมาเขียนเป็นบันทึกอีก 1 ตอนแล้วล่ะครับ

บล็อกคือพลังที่ทำให้ครูแก่คนหนึ่งยินดีที่จะนั่งหลังขดหลังแข็ง เพื่อได้เล่าขานความดีงามที่เจอะเจอมา โดยมีเป้าหมายเพื่อผดุงไว้ซึ่งความดีงาม บอกให้สังคมรู้ ให้เกิดแรงกระเพื่อมให้สามารถมีแรงส่งความดีที่มีในตัวตนของคนดีออกมา ด้วยความเชื่อว่าหากสังคมมีคนดี สังคมจะอยู่เย็น เป็นสุข พร้อมกับการเรียนรู้จากผู้คนมากมาย ที่มีความหลายหลาย อันเป็นประโยชน์ต่อการนำไปปรับใช้เพื่อพัฒนาเด็กน้อย มุมมองที่ชาวบล็อกมอบให้จึงมีคุณค่าสำหรับครูต้อยมาก หลายบันทึก กลับเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดความคิดใหม่ และหลายบันทึกนำพาให้พบหนทางแห่งความสงบสุข ครูต้อยเคยใช้เวลาฟุ่มเฟือยไปกับความไร้สาระ เมื่อหลังจากทำงานอย่างทุ่มเทมานาน กลับพบว่ามันสูญเปล่า เพราะการทุ่มแรงกายใจผิดที่ นั่นเอง เมื่อมีโอกาสได้รู้จักบล็อก จึงสัมผัสได้ถึงพลังบวกของผู้คนที่มีแต่การให้ การสานต่อเจตนาของผู้ให้จึงเป็นการประสานใจ เชื่อมต่อให่เกิดความดีงามขึ้นในจิตใจ ของทุกผู้คน ที่มีหัวใจแห่งการให้ ไม่หวังสิ่งใด แต่ทำให้  และรับใช้เพื่อตอบแทนแผ่นดินแม่ แผ่นดินเกิด เท่าที่สังขารนี้จะทำได้

น้องบอนจึงเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่จะนำพาให้เด็กสมัยนี้ได้มองเห็นคุณค่าของตนเอง เกิดความรัก ความภาคภูมิใจในบรรพบุรุษ ท้องถิ่นได้ช่วยให้สังคมน่าอยู่ยิ่งขึ้น

ขอบคุณค่ะ

ฝากภาพน่ารักให้ชมค่ะ

ขอบคุณครับ krutoi

ขอบพระคุณข้อความจากใจ ที่ช่วยเตือนสติ และเป็นพลังสำคัญให้คนอื่นๆ ได้ค้นพบอะไรที่ดีๆจาก blog มากขึ้น...... รวมทั้งข้อความจากใจของ krutoi ที่เขียนออกมา เป็นพลังที่สำคัญในเวลานี้จริงๆครับ

คุณค่าในตัวเอง ความรัก ความภาคภูมิใจในบรรพบุรุษ ท้องถิ่น เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท