เริ่มรู้จักบล็อกที่ GotoKnow.org ก็เพราะเป็นสมาชิกชาวห้องแล็บพยา-ธินี่เองค่ะ เป็นสมาชิกที่หายไปเรียนต่อต่างบ้านต่างเมืองมาถึง 6 ปีกว่า กลับมากำลังร้อนวิชามีเรื่องอยากถ่ายทอดมากมาย เปิดเว็บไซต์ของภาควิชา พบว่ามีพื้นที่พิเศษที่เชื่อมโยงไปถึง GotoKnow.org เป็นเวทีซึ่งไม่เป็นทางการนักให้เราได้เขียนโดยที่เราได้รับผิดชอบสิ่งที่เราเขียน เพราะเราสามารถเปิดเป็นเว็บเพจของตัวเองได้เลย เรียนรู้การใช้งานจากการอ่านคู่มือการใช้ในเว็บนั่นเอง จำได้ว่ารู้สึกสับสนกับศัพท์แสงที่มีใช้อยู่ แต่ก็ใช้ไปเรียนไปแก้ไขไป บล็อกแรกที่เปิดก็เป็นเรื่องที่อยากเล่าถึงการใช้ภาษาอังกฤษจริงๆให้ได้ผล มีบล็อกเกอร์ท่านหนึ่งจากคณะทันตะฯเข้ามาต้อนรับและแสดงความสนใจ ทำให้ได้รับรู้ว่าเขียนแล้วมีคนอ่าน รวมทั้งได้รับการต้อนรับจากคุณเอื้อ-อ.หมอปารมีตั้งแต่บันทึกแรกที่เขียนเช่นกัน
หลังจากเริ่มเขียนและเริ่มสำรวจเว็บไซต์นี้ก็พบว่า ชุมชน Smart Path ที่เราเข้าไปขออยู่ด้วยนั้นมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ซึ่งถือเป็นกลยุทธที่ยอดเยี่ยมของคุณเอื้อ ในฐานะผู้นำชุมชน เพราะตัวเราเองก็ได้แนวทางว่า ชุมชนแห่งนี้มีไว้เพื่ออะไร เราในฐานะสมาชิกควรทำอะไร ทำให้เกิดบล็อก”เรื่องเล่าและเรื่องคุยจาก Lab Chem” ซึ่งเป็นจุดเกิดของโอ๋-อโณ บนคลังความรู้แห่งนี้ รู้สึกว่าคุณศิริแห่ง GotoKnow ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกห้องแล็บเคมีเหมือนกัน ก็เริ่มเขียนบล็อกในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่”นายดำ”เขียนมาก่อนหน้าเราสักพักใหญ่ๆ เรียกว่าในบรรดาชาวห้องแล็บ Chem ของเรา มีบล็อกเกอร์ที่เขียนประจำกันอยู่ถึง 3 คน เราต่างก็ช่วยกันสนับสนุนให้พี่ๆน้องๆที่เหลือในหน่วย มาเขียนบล็อก แต่เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง เราก็ต้องยอมรับว่า มีเหตุปัจจัยมากมายที่ทำให้รู้ว่า การเป็นคุณลิขิตไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ทุกคน หลังจากที่เขียนบันทึกเล่ามาแทบจะทุกจุดที่ตัวเองได้ประจำการ รวมทั้งเล่างานของเพื่อนๆร่วมงาน ตามที่เรามองเห็นมาจนเกือบจะครบปีในอีกไม่กี่เดือนนี้แล้ว พบว่า นอกจากจะทำให้เราได้คิดว่า เราคิดอะไร ได้ไล่เรียงความเป็นไปในแต่ละวันแล้ว เมื่อกลับไปดู เราจะพบว่า การทำอะไรสม่ำเสมอ ทำให้เราทำอะไรได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ นึกไม่ถึงว่าเราจะทำได้ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ทำให้ผู้อื่นทั้งที่เกี่ยวข้องโดยตรงและโดยอ้อม เช่นคนทำงานสาขาอื่นๆ สายงานอื่นๆ เข้าใจว่าเราทำอะไร รายละเอียดที่เป็นเรื่องเล่าแบบนี้ เรามักจะไม่สามารถหาอ่านได้ที่ไหนเลย และมุมมองของแต่ละคน แม้ในที่ทำงานเดียวกันก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้น สิ่งที่ทุกคนถ่ายทอดออกมาก็จะมีประโยชน์ต่างๆกันไป ตัวเราเองกลับไปอ่าน ก็ยังได้ความคิดอะไรเพิ่มเติม เป็นสิ่งที่มีคุณค่าของเราที่ไม่เหมือนใคร ไม่มีทางที่ใครจะเหมือนด้วย วันนี้ได้อ่านบันทึกขอคิดด้วยคน เรื่อง "การเขียนblog"ที่ตรงใจเป็นอย่างมาก ถึงเหตุผลที่ทำให้ตัวเองเห็นว่าบล็อก GotoKnow มีประโยชน์ คุณบำราศ เขียนได้ครบถ้วนจนต้องขอยืมมาบอกต่อกันอีกที นั่นคือ อยากขอให้คนที่เข้ามาใหม่ๆ อย่าเพิ่งท้อถอย แม้ยังไม่เจอคนคอเดียวกัน เขียนสิ่งที่อยากเขียน สิ่งที่ตัวเองพบเจอจากการทำงานในแต่ละวัน เขียนไปเรื่อยๆ อ่านไปเรื่อยๆ รับรองว่าได้ประโยชน์ทั้งต่อตัวเอง แล้วยังอาจจะก่อประโยชน์ได้ต่อไปในอนาคตด้วย ในเบื้องต้น ในท่ามกลาง ในเบื้องปลาย ในเบื้องท้าย (แต่ไม่ท้ายสุด)
มากกว่าคาด
สุดท้ายผู้เขียนประทับใจกับคำพูดของ ดร.ปรอง ในหนังสือมหกรรม KM ครั้งที่ 2 (เล่มแดง) ที่ว่า " Blog เป็นพื้นที่สุดท้ายในจักรวาลที่เราอยากจะแสดงอะไรก็ได้ ทุกทีคือคุณไปพูดแล้วอยากให้คนฟัง แต่ Blog ผมอยากจะเล่าให้โลกนี้รู้ ใครฟังไม่รู้แต่ผมอยากจะเล่า"
สำหรับผมแล้ว gotoknow ถือเป็น "ชุมชนต้นแบบ" ของการจัดการความรู้ในสังคมไทย ...เป็นพื้นที่ที่ทำให้เราได้มีโอกาสเห็น "ศักยภาพ" ของหลายๆ ท่าน ...ทำให้เราได้มารู้จักกัน ได้เห็นสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ในแต่ละท่าน ....ได้เห็น "เมล็ดพันธุ์แห่งปัญญา" ที่ทุกท่านมีอยู่ในตัว ....และยังได้เห็นอีกด้วยว่าถ้าเราจัดให้มี "เวที" เพื่อให้สิ่งดีๆ เหล่านี้ได้เชื่อมโยงกัน ก็จะเกิดการผสานพลัง (synergy) อันยิ่งใหญ่อย่างที่เราสัมผัสได้ใน gotoknow นี้
ตลอดเวลาปีกว่าๆ ที่ผ่านมา ดิฉันอาศัยการอ่านบันทึกใน GotoKnow เพื่อทำความเข้าใจว่า KM คืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นบันทึกของ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช และ ดร.ประพนธ์ ผาสุขยืด ความเข้าใจค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ดิฉันได้เรียนรู้การใช้เครื่องมือ KM ต่างๆ การจัด KM Workshop หลากหลายลักษณะจากบันทึกของอาจารย์วิจารณ์และน้องๆ ชาว สคส. ตลอดจนภาคีหลากหลายสาขาวิชาชีพ ความรู้เหล่านี้หาไม่ได้ในตำรา เอาไปใช้งานได้จริง มีมิติของจิต-อารมณ์-สังคม เป็นความรู้ที่มีชีวิตชีวา อ่านแล้วเกิด inspiration ในการทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ดิฉันนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จาก GotoKnow ไปปรับใช้ในการทำงานแล้วนำกลับมาเล่าไว้ใน GotoKnow อีก หากใครได้อ่านและติดตามบันทึกของบล็อกเกอร์ทั้งหลายอย่างต่อเนื่อง จะเห็นวงจรของการจัดการความรู้ปฏิบัติที่หมุนแบบไม่รู้จบ
สิ่งที่เกิดตามมา
ทำไมพวกเราหลายๆคนจึงมีอาการติดบล็อก เพราะเราได้แลกเปลี่ยนสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรากันนั่นเอง เป็นสิ่งที่การรู้จักเพียงผิวเผินเวลาเผชิญหน้ากันจะไม่สามารถทำได้ เราต้องใช้เวลาปฏิสัมพันธ์กันยาวนาน กว่าจะเรียนรู้ตัวตนของกันและกัน แต่ใน GotoKnow เรารู้จักกัน เราแลกเปลี่ยนความเป็นไปในชีวิตของกันและกัน ไม่เพียงแต่เรื่องงาน จะเห็นได้ว่าคนที่"ติดบล็อก" ส่วนใหญ่ก็คือคนที่ "ค้นพบ" คนคอเดียวกันนั่นเอง มีอะไรๆในชีวิตที่แลกเปลี่ยนกันได้ หรือไม่ก็เป็นคนที่เราเคารพศรัทธาการดำรงตน การใช้ชีวิต วิธีการมอง วิธีการคิดสิ่งต่างๆ สิ่งเหล่านี้เป็น TK ที่เรียนรู้กันได้ ผ่านการเล่าเรื่อง เล่าชีวิต เล่าวิธีคิด วิธีมองสิ่งต่างๆนั่นเอง
อ่านแล้วคิดถึงว่า บล็อกนี่ก็แสดงบุคลิกของเจ้าของได้ชัดเจนเหมือนกันนะคะ (หลายๆคน) ทำให้เรารู้ว่า ทำไมเวลาเราอ่านบล็อกของใครไปนานๆ เราถึงเรียนรู้และเดาได้ว่าบุคลิกของเจ้าของจริงๆจะเป็นยังไง แม้จะไม่เคยพบตัวจริงกันมาก่อน (แต่ขอให้มีรูปให้เห็นสักนิด แบบที่เป็นอยู่นี่แหละนะคะ)
อย่างเช่นอ.ปลื้มจิต เจ้าของบล็อก"ร่วมแรง ร่วมใจ ISO" ที่เข้าเป็นสมาชิก Smart Path ล่าสุดนี่แหละ ท่านเป็นคนสวยที่พูดคุยได้ลูกเล่น สนุกสนาน แทรกสาระได้ตลอด อ่านบันทึกเรื่องที่น่าจะดูหนักหนา น่าเบื่อที่ท่านเขียนแล้ว โอ๊ย...สนุกค่ะ ตัวจริงท่านก็เหมือนเปี๊ยบเลย แบบนี้แหละ ส่วนคุณ ringo หลังจากที่ตัวเองไปพูดกับคนอื่นๆว่า เขียนไม่เห็นเหมือนตัวจริงเลย มีแต่คนแย้งว่า นี่แหละเขาหละ ทำไมเราไม่รู้เหรอ....เล่นเอา...งง....จริงเหรอ...แสดงว่านี่ขนาดคนที่เราคิดว่ารู้จักนะ เรายังมองไม่ตรงเลย ว่าแล้วก็คิดถึงบล็อกเกอร์ขาประจำที่เราอ่านๆ เขียนๆ คุยๆกันอยู่ คิดไปคิดมา มีหลายๆคนที่เราได้พบตัวแล้ว ตรงกับที่คิด แต่ก็มีบ้างที่ได้พบแล้ว....ไม่เหมือน ไว้มีเวลาจะมาขยายต่อค่ะ นึกได้ว่าตัวเราเองนี่แหละ มีคนคิดว่าเราน่าจะสงบเรียบร้อย รักษากฎ (อะไรประมาณนั้น) แต่ตัวจริง....ไม่ใช่เลยค่ะ บุคลิกไม่ให้ในการเป็นคนคงแก่เรียนอะไรเลย...จริงไหมคะ (ถามใครดีเนี่ย...) แล้วก็ทำให้คิดด้วยว่า เวลาเราเขียน เราคิดถึงใครไหมนะ เราคิดจะบอกอะไรใครเป็นพิเศษหรือเปล่า อยากรู้ความคิดท่านอื่นๆเช่นกันนะคะ ว่าคิดเห็นยังไงกับการอ่าน....เขียน....ใน GotoKnow แต่เชื่อว่า ที่เราคงเห็นเหมือนกันแน่ๆคือ...อิ่มค่ะ แล้วแต่ใครจะอิ่มอะไร...เท่านั้นแหละ จากประสบการณ์ส่วนนี้ ทำให้ได้ข้อสรุปว่า ระบบ Blog สามารถ ย่นระยะเวลาในการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ได้อย่างเหลือเชื่อ จากเดิมที่อาจใช้เวลาเป็นปีๆในการศึกษาคนสัก 1 คน เพราะต้องอยู่ในภาวะ "รู้หน้า ไม่รู้ใจ" อยู่นาน กว่าจะเกิดความคุ้นเคย ความมั่นใจ และความไว้วางใจให้กัน แต่ระบบ Blog ที่ GotoKnow ทำให้เกิดการ "รู้ใจโดยไม่พบหน้า" ด้วยการสื่อสาร ความรู้ ความคิด และประสบการณ์ ของแต่ละคน ผ่านบันทึก โดยมีการเปิดเผยตัวตนเป็นหลักประกันว่าข้อมูลที่นำเสนอส่วนมากเชื่อถือได้ จิตวิญญาณ หรือ สำนึกร่วม ของผู้คนก็ค่อยๆเชื่อมโยง สอดประสานได้อย่างลงตัว เครือข่ายของกัลยาณมิตรที่แท้จึงก่อเกิด และเมื่อได้มีโอกาสพบหน้าและพูดคุยกัน แม้เพียงเวลาสั้นๆ ความใกล้ชิด สนิทสนมจึงเกิดขึ้นได้เร็วอย่างเหลือเชื่อ คำว่า "พี่" และ "น้อง" ได้ถูกนำมาใช้แทนคำหน้านามเดิมๆโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นการลดช่องว่างที่เคยมี ก่อให้เกิดการสื่อสาร แลกเปลี่ยนเรียนรู้ กันได้มากและ เนียน ยิ่งขึ้นกว่าเดิม คำว่า "พี่" และ "น้อง" มี พลังอำนาจ ที่นุ่มนวล เกินกว่าจะใช้คำพูดใดๆมาบรรยาย ผมรู้สึกเช่นนั้นจริงๆครับ . ต้องเข้าใจค่ะ คนเรารู้มากกว่าพูดและคนเราก็พูดมากกว่าเขียน ค่ะ ทำระบบให้น่าใช้ให้ผนวกเนียนเข้ากับการทำงานในชีวิตประจำวัน ให้คนได้มีสถานที่ได้เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ใช้ง่าย รวดเร็ว และสะดวก ให้มีการ personalization สามารถตกแต่งสีสรรระบบได้เอง ได้สังสรรค์งานศิลป์ของตนทั้งรูปแบบเว็บและความรู้ที่เขียน และผู้นำองค์กรต้องมาเขียนเป็นตัวอย่าง ตามต่อด้วยหัวหน้างาน และ คุณกิจคนเก่ง และให้รางวัลกระตุ้น และ ให้การยกย่องชื่นชมค่ะ ปล่อยให้เรื่องระบบเป็นหน้าที่ของดิฉันและอ.ธวัชชัยในช่วงนี้ ส่วนเรื่องอื่นๆ องค์กรคงต้องกระตุ้นกันเองนะค่ะ สคส. ได้หว่านต้นกล้าไว้มากมายและเริ่มเห็นผลขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ ดิฉันว่า บางทีแล้ว เรามาลืมคำว่า การจัดการความรู้ เสียดีกว่า แล้วหันมาใช้คำว่า แลกเปลี่ยนเรียนรู้ น่าจะช่วยลดความกลัวของคนในองค์กรได้เยอะนะค่ะ ความคิดที่ได้จากบันทึกต่อเนื่อง 2 ชิ้นหลังนี้ก็คือ จะต้องเขียนอีกบันทึก ให้ออกมาเป็นขั้นตอนที่ทำงานจริงๆ และมีภาพประกอบ ซึ่งก็จะเป็นบันทึกที่สื่อสารอะไรอีกแบบ ในขณะที่ทั้ง 2 ชิ้นแรกนั้น เขียนเพื่อปลดปล่อยความเหน็ดเหนื่อยของตัวเอง ต้องขอบคุณ GotoKnow ที่ทำให้เรามีที่เก็บขุมทรัพย์ทางความคิดของเรา และยังเผยแพร่ให้เราได้พบกัลยาณมิตรที่ไม่ได้คาดหมาย ได้พบทางแก้ไขปัญหา ได้ต่อยอดความคิด ได้ฯลฯ ความรู้สึกดีๆที่ได้รับกลับมานั้น เกินกว่าจะบรรยาย ขอบอกว่าท่านที่ยังเป็นเพียงคนอ่าน ลองลงมือเขียนดูสิคะ เขียนติดต่อกัน เล่าความคิดตัวเองจากการทำงานแต่ละวัน เล่าเรื่องงานที่ตัวเองท
แล้วต่อด้วยสิ่งที่อ่านจากท่านอื่นๆแล้วประทับใจ แต่ไปๆมาก็หลงไปหลงมา จนหาที่เริ่มไม่เจอค่ะ แต่อ่านซ้ำอีกรอบก็จำได้ว่า มีของอ. Beeman, คุณศิริ, คุณเมตตา, คุณ Handy และอ.จันทวรรณ
อ่านอีกทีเหมือนเรื่องเดียวกันเลยนะคะ ไปๆมาๆพวกเราสำนวนเข้าพวกเดียวกันไปหมดได้เสียด้วย
ได้ทดสอบด้วยว่าใน 1 บันทึกจะใส่ข้อความได้ยาวที่สุดสักเท่าไหร่ ที่เกินมานี่ใส่ไปในบันทึกไม่ได้ค่ะ
สงสัยจังว่ามีใครอ่านไม่จบ ยอมแพ้ไปก่อนหรือเปล่าหนอ ยาวมากทีเดียว ขอบคุณเจ้าของข้อความทุกท่านนะคะ ประทับใจมาก (รวมทั้งของตัวเองด้วย ให้เขียนใหม่ก็คงได้อีกแบบ ไม่เหมือนเดิมแล้ว)
สวัสดีค่ะคุณโอ๋..
ขอบคุณค่ะ
เห็นด้วยครับ...
มันเป็นความผูกพันที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว วันไหนถ้าไม่ได้เข้ามาเหมือนมันขาดอะไรไปสักอย่างครับ...
ที่นี่...ทำให้ผมกลับบ้านไวขึ้นด้วยครับ...
ขอบคุณครับ...
เห็นด้วยครับ ความรู้ในที่นี้ มีมากมาย ไม่ต้องซื้อหา เสียเงินเสียทอง
คุณโอ๋ ครับ
คุณ เม้งคะ ทำไมจำนวนมันไม่เน็ตๆเลยนะคะทั้งจำนวนคำและบันทึก เลยเดายากว่า maximum limit มันอยู่ตรงไหน คุณเม้งเขียนเก่งๆลองสักบันทึกสิคะว่ายาวที่สุดได้เท่าไหร่ ขอบคุณมากๆค่ะที่อุตส่าห์เอาไปนับให้ ที่จริงเขียนข้อความก่อนที่จะเอามาแปะ แล้วใส่ได้ไม่หมด เลยเอาข้อความมาต่อท้าย สุดท้ายโดนตัดไป โดยไม่ได้ copy เอาไว้ ความจริง version แรกที่เขียน สื่อสารได้ดีกว่าในส่วนที่เอามาใส่ในความเห็นมากเลยค่ะ แต่อย่างที่บอกว่า ส่วนมากอะไรที่ดีๆก็เขียนได้ครั้งเดียว พอให้เริ่มใหม่ก็แค่คล้ายแต่ไม่ดีเท่าครั้งแรกค่ะ
สำหรับฐานข้อมูล ทราบจากอ.ธวัชชัยว่าไม่ต้องกลัวค่ะ ระบบแบ็คอัพดีมากๆถึง 2-3 ชั้น ท่านเปรียบเทียบว่าแม้ระเบิดลงข้อมูลก็น่าจะยังอยู่เลยค่ะ (นี่เป็นข้อมูลที่เราเพิ่งคุยกันในสัมมนาภาครังสีฯ มาน่ะค่ะ เพราะเป็นคำถามที่อ.หมอสมชายถามเหมือนกันค่ะ คงมีคนสงสัยหลายๆคน)
ตอบได้คนเดียวก็จะต้องจรลีไปทำอย่างอื่นแล้ว ค่อยเข้ามาคุยกับท่านอื่นๆต่อใหม่นะคะ ขอบคุณทุกๆท่านที่อ่านมาจนถึงลงความเห็นได้นี่แหละนะคะ เยี่ยมจริงๆ ยกนิ้มให้ตัวเองด้วยนะคะ
โอ๋จ๊ะ
หมอจำได้ว่า เราคุยกันว่าจะมีเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ blog ของโอ๋ ในหนังสือด้วยไช่เปล่า (มาทวงการบ้านนะ)
เห็นด้วยทุกข้อเลยค่ะ..และที่สำคัญ สำหรับตนเองแล้วเห็นว่า
การเขียนบล็อค..เป็นการถ่ายทอดความรู้สึกภายในที่ยากที่จะสื่อสารกับใครได้(เนื่องจากเราไม่รู้ว่า..เค้าจะเข้าใจ หรือคอเดียวกับเราหรือเปล่านั่นเอง) เป็นเหมือนการเล่าความรู้สึก นึกคิดของเรา..อย่างมีสติ เพราะต้องกลั่นกรอง คิดในทุกๆด้าน เผื่อกระทบกับคนอื่น..ซึ่งในชีวิตจริงเป็นการยากมากที่เราจะมีโอกาสได้แสดงความรู้สึกนึกคิด..ให้กับใครต่อใครได้รับรู้...และที่ดีมากๆก็คือ..การได้เพื่อนที่คอเดียวกัน รู้สึกนึกคิดคล้ายๆกัน..ซึ่งหาได้ค่อนข้างยากในชีวิตจริง..เนื่องจากคงต้องใช้เวลาในการคุ้นเคยก่อนนั่นเอง..
อ่านแล้วได้กลับมาคิด..ได้รู้ในมุมมองอื่นๆ..
ขอบคุณมากค่ะ
น้องโอ๋คะ
เข้ามาเยี่ยมค่ะ ต้องขอชมว่าสรุปได้ดีมากและคงมีอีกหลายข้อที่หมอกำลังจะเล่าบ้างค่ะ
มาอ่านค่ะ งง ตัวเองว่าหลุดบันทึกบล็อกเกอร์ในใจไปหนึ่งบันทึกได้ไง