โค้ชส้ม Citrus
Miss. ปรีดิ์ฤทัย โค้ชส้ม ตั้งจิตญาณพัฒน์

ได้รับคำสั่งให้ไป ลำปลายมาศพัฒนา -เรียนรู้โรงเรียนนอกกะลา


ตั้งแต่ 1 ต.ค.ได้รับมอบงานใหม่ เป็นเหมือน ครูใหญ่โรงเรียนฝึกผู้บริหาร

แค่วันแรกที่ได้รับตำแหน่ง งานก็เข้ามา จนตั้งตัวไม่ติด และนั่งไม่ติดโต๊ะอีกต่างหาก

งานหนึ่งที่ได้รับมอบหมายจาก ผู้บริหารสูงสุดของกลุ่มธุรกิจ ก็คือ "รีบไปดูโรงเรียนที่มีวิธีการเรียน การสอนแนวแปลกใหม่ นอกกรอบ ให้เยอะๆ หาเวลาไปดูที่ รร.ลำปลายมาศด้วย"

  ชื่อคุ้นๆ นะ อยู่แถวอีสานแน่เลย ถามกลับไปแบบไม่แน่ใจ จึงทราบคำตอบว่า "บุรีรัมย์" ทำให้นึกถึง พ่อครูบาสุทธินันท์ คนเก่งของพวกเรา Inno Fa ทันที

  กว่าจะนัดหมายวันว่างตรงกันได้ เล่นเอาเหนื่อย ใช้เวลาหลายวัน ในที่สุดก็ลงตัวที่ 26-27 พ.ย.

  ออกเดินทางจาก สำนักงาน กทม.ประมาณ บ่ายโมงเศษ ไปถึงเขตบุรีรัมย์ประมาณห้าโมงเย็น กว่าจะหาโรงเรียนเจอ ก็หกโมงเย็นแล้ว ไปแบบดุ่ยๆ แล้วค่อยโทรถามทางเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์พัฒนาลำปลายมาศ ซึ่งอยู่ติดกัน

 เข้าพักที่ศูนย์พัฒนาชนบทผสมผสานของคุณมีชัย วีระไวทยะ และนัดหมายรับประทานอาหารเย็นกับคุณครูใหญ่ (อ.วิเชียร ไชยบัง) และคุณครูต๋อยที่ช่วยประสานงานมาโดยตลอด แรกเห็นตัวจริง งง เหมือนกัน ไม่เหมือนที่วาดภาพไว้

 

  สำหรับ อ.วิเชียร นั้น ได้ยินชื่อท่านจากหนังสือ โรงเรียนนอกกะลา ที่คุณคนดอย เคยให้มา ตอนอ่านหนังสือแรกๆ เมื่อยังไม่รู้จักโรงเรียน ก็อ่านแบบไม่ได้มีอารมณ์ร่วมมากนัก รู้แต่ว่า ไม่เลว เพราะแนวคิด หรือหลักการที่นำมาใช้ เหมือนกับที่เราเรียนรู้ในหลักสูตรของการพัฒนา inno facilitator

  แหละเพราะเรื่องนี้ ทำให้เรารู้สึกว่า connect กับคุณครูใหญ่ได้ง่ายขึ้น ยิ่งได้พูดคุยกันเพียงไม่กี่ชั่วโมง ในช่วงอาหารเย็น ก็ทำให้คณะเราประทับใจในคำคม อุดมการณ์ของท่านมากๆ ถึงขนาดเลื่อมใสในศรัทธา ความมุ่งมั่นของท่านมาก

 พวกเราที่เดินทางไปด้วยกัน 5 คน กลับมานั่งคุยกันต่อพร้อม reflection แล้วสรุปว่าพรุ่งนี้เราจะแบ่งกันดูงานอย่างไรบ้าง (เอาเข้าจริง ก็ผิดแผน ผิดโพย)

  เช้าตรู่ วันรุ่งขึ้น เราออกจากที่พักประมาณ 7 โมงเช้า เพื่อไปดูบรรยากาศ อาหารเช้า ที่โรงเรียนคุณครูทานข้าวกันอย่างไร ช่วงนี้ภาพก็ไม่เหมือนกับที่คิดไว้อีกแล้ว

  หลังอาหาร เริ่มเดินไปที่อาคารเรียน เด็กทุกคนจะมีผู้ปกครองมาส่ง พร้อมลงชื่อในสมุดหน้าตึก ภาพหนึ่งที่ชอบคือ เด็กอนุบาลเล่น ฮูลาฮูป เก่งมาก เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมา

 เด็กที่มาถึงแล้ว ก็จะเข้ามาเล่นกันในบริเวณที่มีของเล่นเตรียมไว้ให้ บางคนก็วิ่งเล่นที่สนาม อ้อ ที่นี่มีแค่อนุบาล 1 กับ 2 แล้วก็ขึ้น ประถม 1 ในแต่ละห้องมีเด็ก 25-30 คน แต่ละชั้นมีคุณครูประจำ 1 คน ยกเว้น อนุบาล 1 ที่มีครูประจำ 2 คน

  สักพักเกือบ 8 โมง เด็กแต่ละชั้นทยอยกันเดินไปเข้าแถว ร้องเพลงเคารพธงชาติ สวดมนต์ และร้องเพลงมอบความรักให้ทุกสรรพสิ่ง ซึ่งเคยได้ยินที่เสถียรธรรมสถาน

 หลังเสร็จพิธีหน้าเสาธง ครูต๋อย ชวนให้พวกเราไปดูชั่วโมงจิตศึกษาของเด็กอนุบาล ซึ่งศุกร์นี้ตรงกับวันที่ผู้ปกครองมาเล่นละครให้เด็กๆ ได้ดูกัน ทำให้เห็นเลยว่า โรงเรียนแนวนี้ ผู้ปกครองต้องมีส่วนร่วมอย่างมาก นอกจากนั้นทราบว่ายังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกที่ผู้ปกครองต้องมาคุย คิดร่วมกัน ช่วยพัฒนาโรงเรียน และสอนหนังสือให้เด็กๆ ตามความรู้ ความสามารถพิเศษของแต่ละคน

สิ่งที่ประทับใจในช่วงจิตศึกษา (Emotion and Spiritual Quotient) ก็คือตอนที่เห็นคุณครูมีวิธีการ Body Scan ให้เด็กเพื่อลดความถี่คลื่นสมองก่อนเรียนรู้ และทำให้เด็กอยู่กับปัจจุบัน ไม่ดุเด็ก ใช้น้ำเสียงนุ่มนวล อ่อนโยน เมื่อเด็กคนใดไม่ทำตาม คุณครูจะเข้าไปแตะเบาๆ ที่ไหล่ และชมคนที่ทำตาม

 อีกห้องที่เป็นอนุบาล 2 เด็กๆ รับพลังจากครูด้วยการเข้าไปไหว้ และกอด citrus พลอยได้อานิสงฆ์ จากพลังการกอดของเด็กๆ ที่เผื่อแผ่มาถึงแขกที่นั่งดูอยู่หน้าห้อง ความรู้สึกตอนนั้นมันอุ่นขึ้นมาทันที ที่ได้สัมผัสกับพลังอันบริสุทธ์ของเด็กๆ

 ช่วงสายเริ่มออกเดินดูเด็กประถมที่มีการเรียนวิธีตัดเย็บเสื้อผ้า ได้ดูผลงาน project ที่แสดงอยู่กลางลาน และอื่นๆ อีกมากมายที่ได้เรียนรู้ และสัมผัสได้ถึงความทุ่มเทจากทีมคุณครูทุกคน

ที่หน้าห้องเรียนทุกชั้นเรียน จะมีวิชาที่เด็กสนใจเรียนร่วมกัน เช่น สนใจเรื่องไผ่ ก็จะเรียนเกี่ยวกับไผ่ในทุกๆ มิติ การออกแบบหลักสูตร จะครอบคลุมฝึกเด็กให้คิดได้หลายวิธี เช่น คิดวิเคราะห์ คิดเชื่อมโยง คิดสังเคราะห์ คิดบูรณาการ คิดสร้างสรรค์

 นอกจากนั้น โรงเรียนนี้ยังจัดอบรมให้กับครูจากหลายพื้นที่ ที่สนใจ แนวคิดการทำโรงเรียนนอกกะลา และมีหลักสูตรแบบ Transformative Learning ที่ทำให้กับผู้ใหญ่ด้วย

สิ่งที่เรียนรู้และจะนำกลับไปประยุกต์ใช้

  • การนำวิธี soft side มาใช้ก่อนเริ่มเข้าสู่การเรียนรู้

  • ศึกษา Transformative Learning Process

  • การออกแบบหลักสูตรที่ส่งเสริมการคิดหลายแบบ

  • การเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนให้เข้ากับหลักการบริหารงานอื่นๆ ของบริษัท

  • การให้ความสำคัญ ส่งเสริมพฤติกรรมที่พึงประสงค์ ด้วยการชื่นชม มากกว่าตำหนิ ลงโทษคนวิ่งออกนอกลู่

  • สิ่งสำคัญที่ได้จากครูใหญ่ คือ พลังแห่งความมุ่งมั่น ไม่ว่าจะพบอุปสรรคใดๆ ในที่ทำงาน จะต้องไม่หยุด ไม่ท้อ เปรียบเสมือนสถานีส่งคลื่น ถ้าส่ง ส่ง หยุดๆ คลื่นจะไม่แรงพอที่จะสั่นสะเทือนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง (อันนี้ต้องนำไปบอกผู้นำทั้งหลาย)

  • เมื่อเกิดปัญหา จงเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน เน้นการใช้ sensing ร่วมด้วย

  • ครูใหญ่เป็นตัวอย่างของผู้นำที่ให้ทิศทางแก่ลูกน้อง คอยให้กำลังใจทีม และมอบความไว้วางใจ เชื่อใจ (เหมือนชิฟู ในกังฟูแพนด้า) หากเชื่ออย่างไร ก็จะเกิดอย่างนั้น

หมายเลขบันทึก: 318153เขียนเมื่อ 4 ธันวาคม 2009 19:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:00 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

สวัสดีค่ะคุณ Citrus

  • มาเรียนรู้รูปแบบและการศึกษา Transformative Learning Process
  • ชื่นชมหลักการบริหารของคุณครูใหญ่ค่ะ
  • คงนำไปปรับใช้กับงานที่เกี่ยวข้องได้
  • จิตตศึกษาเพื่อสร้างจิตสำนึกในการสร้างสุขภาพแบบยั่งยืน เป็นแนวคิดที่หวังไว้
  • โดยการให้ความสำคัญ ส่งเสริมพฤติกรรมที่พึงประสงค์ ด้วยการชื่นชม
  • ขอบคุณที่นำเสนอเรื่องราวดี ๆ ให้ได้เรียนรู้ค่ะ

 

 

 สวัสดีค่ะ คุณสีตะวันP

ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน และช่วยต่อเติมความคิดเห็นค่ะ

คิดว่า หลายท่านที่เป็นครูบาอาจารย์ คงจะทำเรื่องพัฒนาการเรียน การสอน กันอย่างแข็งขัน ซึ่งเป็นการช่วยระบบการศึกษา จากที่ citrus ได้ไปดูโรงเรียน หลายโรงเรียน เช่น รุ่งอรุณ เพลินพัฒนา แสนสนุกไตรทักษะ เริ่มเห็นว่า การพัฒนาคนต้องเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก ที่จะทำให้เป็นพลเมือง หรืออนาคตของชาติ และเราอยากได้คนที่มีจิตใจดีงาม ไม่ใช่แค่เก่งแต่อย่างเดียว

ตามมาอ่านจ้า

จำได้ว่าเคยดูเรื่องราวของโรงเรียนนี้ในรายการ "แผ่นดินไท" เมื่อปลายปีก่อน

อ่านที่ citrus เขียนเล่าแล้วนึกถึงภาพเด็กๆ ชั้นอนุบาลประคองแก้วที่มีน้ำอยู่เต็มส่งต่อให้เพื่อนด้วยความระมัดระวังขณะฟังคุณครูเล่านิทาน ที่เคยดูในรายการ แล้วคุณครูมาอธิบายว่า นี่คือวิธีการหนึ่งที่ใช้ในการฝึกสติเด็ก ... อีกเรื่องที่จำได้คือ คำให้สัมภาษณ์ของคุณครูวิเชียรที่บอกว่า

"ทักษะกระบวนการแสวงหาความรู้ และ ทักษะการคิด คือ เครื่องมือที่จำเป็นที่สุดในอนาคต

วิศวกรรมพันธุศาสตร์ นาโนเทคโนโลยี โปรตีนศาสตร์ และ ภาษาดิจิตอล สิ่งเหล่านี้ กำลังเปลี่ยนโลก

ไม่มีทางที่เราจะบรรจุความรู้ทั้งหมดไว้ในสมองเด็กได้

แต่ถ้าให้เครื่องมือที่จำเป็นให้กับแด็กซึ่งได้แก่ทักษะกระบวนการแสวงหาความรู้ และ ทักษะการคิด

เด็กจะสามารถแสวงหาความรู้ในสิ่งที่เขาต้องการหรือสิ่งที่จำเป็นต่อเขาได้"

นี่ถ้าวันหลังจะไปไหนอีก ขอติดรถไปด้วยคนสิจ๊ะ ^^

วันก่อนอ่านเจอในหนังสือพิมพ์ เลยมาหาข้อมูล แค่ชื่อคนตั้งก็รู้แล้วว่าของดี อยู่ไกลไปนิด แต่จะหาทางไปเยี่ยมเยียนดูบ้างครับ

ที่โรงเรียนนี้จับฉลากเข้าเรียนครับ

หาเราทุกคนช่วยกันไม่ว่าจะอยุ่ที่ไหนหรือทำอะไร เราก็สามารถที่จะส่งต่อความปรารถนาดีให้กันและกันได้  ถ้าท่านต้องการเห้นอนาคตของชาติ ท่านลองไปถามครูทั่วประเทศดูแล้วท่านจะรู้คำตอบ เพราะครูคือผู้ที่ได้สัมผัสกับอนาคต

เคยไปดูมาแล้วค่ะ น่าสนใจมาก

เขาเป็นโรงเรียนที่ไม่มีการสอบ (ครูบอกว่าใช้วิธีประเมินตามสภาพจริงด้วยเครื่องมือที่หลากหลายและประเมินอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ)เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ เพราะคนเราจะมาใช้ข้อสอบเพียงไม่กี่ข้อประเมินแล้วตัดสินว่าเราเก่ง ไม่เก่ง รู้สึกไม่ค่อยยุติธรรมสำหรับคนถูกประเมินเลย

เป็นโรงเรียนที่เข้าไปแล้วสบายใจไม่มีเสียงออดเสียงระฆังเตือนให้รำคาญ ครูบอกอีกว่าถ้าต้องการให้เด็กมีวินัยต้องทำให้เป็นวิถีชีวิต สม่ำเสมอ ระฆังจึงไม่จำเป็นสำหรรับที่นี้

แล้วเวลาคุณครุตรวจการบ้านหรือตรวจงานเด็ก(อนุบาล)ไม่มีการให้หนึ่งดาว สองดาว หรือสามดาว ไม่ใช่ครูไม่สนใจนะคะ ครุบอกว่าครูไม่มีหน่้าที่ไปตัดสินหรือตีตราว่าใครแย่ แต่ครูมีหน้าที่รู้ว่าเด็กคนไหนต้องพัฒนาด้านใด เพราะเวลาเด็กทำงานเขาทำอย่างตั้งใจไม่เสแสร้ง แต่ครูมีหน้าที่รู้ให้ได้ว่าที่ผลงานเด็กออกมาลักษณะนั้นเพราะเด็กยังไม่พร้อมต้องช่วยยังไงมากกว่า

อีกอย่างเด็กที่นี้เขาไม่มีแบบเรียนสำเร็จรูปเรียนเหมือนทั่วไป

ครูบอกว่าเพราะไม่รู้ว่าเด็กแต่ละห้องอยากเรียนอะไร หนังสือแบบเรียนสำเร็จรูปที่มีไม่ได่้ตอบสนองความต้องการที่จะอยากเรียนรุ้ของเด็ก และอีกอย่างหนังสือแบบเรียนเป็นความรู้ที่เก่าและบางที่ไม่เกี่ยวข้องหรือไม่จำเป็นกับเด็กเลย พอเด็กเรียนจบในหนังสือทักษะที่ได้คือทักษะการจำ ใครจำได้มากกว่าคนนั้นชนะหรือเปล่า

อันนี้ชอบมาก เวลาเด็กทำกิจกรรมหน้าเสาธงเสร็จแล้ว(ร้องเพลงชาติ สวดมนต์แปล ร้องเพลงแผ่เมตตา)จะไม่มีครุมายืนอบรมหน้าเสาธง ครุบอกว่าเป็นเวลาที่ไม่เหมาะสมกับการที่จะปลูกฝังวินัยหรือการปรับพฤติกรรมเด็ก เพราะเด็กไม่พร้อมที่จะฟังทำให้ครุเสียเวลาเปล่า

อีกอย่างผู้ปกครองที่ส่งลุกมาเรียนที่นี้จะไม่รุ้ว่าลูกของตัวเองสอบได้ที่ 1 2 3.... เพราะครุบอกว่าเด็กทุกคนเก่งหมด และแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันด้วยจะเอาข้อสอบเพียงไม่กี่ข้อมาตัดสินว่าใครเก่งกว่าไม่ได้ และที่สำคัญไม่มีใคร(เด็กหรือผู้ใหญ๋)ขอบถูกเปลี่ยบเทียบว่าด้อยค่า แต่ครูบอกว่าเขาจะเปลี่ยบเที่ยบกับตัวเด็กเองว่ามาโรงเรียนวันแรกเป็นอย่างไร แล้วพอมาถึงวันสุดท้ายงอกงามแค่ไหน จะเปลี่ยบเทียบให้เห็นความงอกงามของเด็กแต่ละคนหรือเปลี่ยบเทียบกับตัวเด็กเอง

ถ้าใครได้มาจะเห็นว่าครุที่นี้เวลาพูดกับเด็กหรือสอนเด็กเขาจะพูดกับเบา ๆ ไม่มีตะโกนหรือไช้ไมค์โคโฟนช่วยเลย ครูบอกว่าไม่เจ็บคอ และที่สำคัญโรงเรียนนี้บอกว่าการทำงานของสมองเกี่ยวข้องกับ 2 อย่างคือสารเคมีและคลื่นไฟฟ้า ดังดันเสียงที่ครูพูดกับเด็กหรือคนเราพูดกันธรรมดาในชีวิตประจำวันครุบอกว่ามันเป็นเสียงโมโนโทน เป็นโทนเสียงที่เข้าลึกลงไปยังจิตใต้สำนึกเลยแล้วมันจะอยู่นาน ครุบอกว่าไม่เหมือนกับเสียงที่ตะโกนหรือพูดดัง ๆ เสียงเหล่านี้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ประมาณว่าได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง (คุณครูเล่าให้ฟัง)

และที่โรงเรียนนี้ครุบอกว่าพ่อแม่หรือผู้ปกครองต้องมาสอนลูกสอนเพื่อนของลูก มาดูว่าลูกเรียนเป็นยังไงเพื่อนของลูกเป็นยังไง มาเล่านิทาน ตักอาหาร พูดคุยกับคุณครู ครูบอกว่าต้องการให้ผู้ปกครองได้มาเห็นว่าโรงเรียนทำอะไรแล้วลูก ๆ อยุ่กันยังไง

สุดยอดมากเลย แค่ได้อ่านจากที่เล่าคงยังไม่พอหรอกค่ะ ท่านต้องลอกมาสัมผัสด้วยตัวเองความรู้สึกหลายอย่างมันบรยายออกมาเป็นข้อความไม่ได้ รุ้แต่ว่าพอก้าวเข้ามาในโรงเรียนรุ้สึกมีความสุข รุ้สึกถึงบรรยากาศแห่งความอบอุ่น บรรยากาศแห่งความเป็นกัลยาณมิตร ท่านที่อ่านกรุณาอย่าพึ่งเชื่อจนกว่าท่านจะได้มาสัมผัสด้วยหัวใจของท่านเอง

ต้องมาให้ได้แล้วท่านจะพบกับสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ

บล๊อกโรงเรียนนอกกะลา โดย ครูวิเชียร ไชยบัง เชิญทุกคนร่วมแลกเปลียนเรียนรู้

http://lamplaimatpattanaschool.blogspot.com

สวัสดีค่ะ

พี่ดา ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม และท่านที่ไม่แสดงตนทั้ง 3 ท่าน

สำหรับพี่ดา ขอชื่นชมว่า ความจำดีมากเลยค่ะ ขนาดดูทีวีตั้งนาน แต่จำรายละเอียดได้เยอะ

แนวคิดการเรียน การสอนไม่ว่าระดับใด อยากให้ learn how to learn ให้เครื่องมือจับปลา และหาปลากินเอง อยากกินอะไร ก็มีแรงบันดาลใจดั้นด้นไปเสาะหา น่าจะยั่งยืนกว่ายัดเยียดให้รับ เพราะไม่ได้อยากกินแบบนั้น

ได้ประโยชน์จากข้อความที่แต่ละท่านมาเพิ่มรายละเอียด เพราะ citrus นำไปเขียนบทความลงวารสารพนักงานด้วยค่ะ

ขอบคุณผู้เกี่ยวข้องที่ link ไปหา blogspot ทำให้ได้เห็นว่า บันทึกนี้ได้นำไปใส่ใน blog ของโรงเรียนลำปลายมาศแล้ว

ปิ่นมณี สิทธิหาโคตร

คุณนาย-14 สิทธิ

ขอบอกว่าอึ้ง อึ้ง แล้ว อึ้ง ในความคิด

คิดได้อย่างไร

ประทับใจสุด สุด

เป็นโรงเรียนที่น่าสนใจมากอยากให้ลูกไปเรียนมากเลยค่ะ แต่คงไม่มีโอกาส  ทำไมเขาไม่สร้างโรงเรียนแบบนี้มากกว่านี้

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท