โทรทัศน์สีเครื่องแรกของอำเภอหนองบัว ดูเหมือนว่าประมาณปี 2515 หนองบัวก็เริ่มมีโทรทัศน์สีเป็นเครื่องแรก ผู้ที่มีโทรทัศน์สีเป็นเครื่องแรกของหนองบัวก็คือร้านขายยาช้างทองเภสัช ซึ่ง ณ เวลานั้น อยู่ข้างตลาดสดหนองบัว และต่อมาก็ขยับขยายไปที่อื่น และเป็นธรรมดา ในเวลานั้น ชาวบ้านยังไม่ค่อยมีสื่อโทรทัศน์
ดังนั้น ไม่ว่าใครจะมีโทรทัศน์สีหรือขาวดำ ก็จะกลายเป็นสิ่งที่ต้องแบ่งปันให้กับผู้คนรอบข้างไปด้วยกรายๆ เนื่องจากพอตกเย็นผู้คนก็จะไปรวมกลุ่มอยู่หน้าร้าน รุมดูโทรทัศน์ จนในที่สุด ก็ต้องยกออกมาวางที่หน้าร้าน เหมือนกลายเป็นโทรทัศน์สาธารณะไปเลย นึกๆดูก็จะเห็นถึงชีวิตความเป็นชุมชนที่อบอุ่นและเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันของชุมชน
ร้านตาเอี๋ยม ร้านหนังสือ สินค้าความรู้และสินค้าทางปัญญาแห่งแรกของหนองบัว อำเภอหนองบัวเริ่มมีร้านหนังสืออย่างเป็นกิจลักษณะเป็นแห่งแรกคือร้านตาเอี๋ยม อยู่ข้างตลาดสดหนองบัวเช่นกัน ขายหนังสือและจัดระบบการรับเป็นสมาชิกด้วย พ่อผมสมัครเป็นสมาชิกหนังสือให้พวกผมอ่านหลายเล่มก็จากร้านตาเอี๋ยมนี่เอง คือ หนังสือเด็กก้าวหน้า ชัยพฤกษ์ หนูจ๋า อมยิ้ม ซึ่งเมื่อผมไปรับมาแล้ว เพื่อนๆและเด็กๆในหมู่บ้าน ก็จะมาป้วนเปี้ยนรออ่านหนังสือกันอยู่ที่บ้านผมไปด้วย
น้ำบ่อทราย สระหลวงพ่ออ๋อย หนองบัวเป็นอำเภอที่กันดารมาแต่ไหนแต่ไร แหล่งน้ำอุปโภคบริโภคเท่าที่มีอยู่จึงเป็นปัจจัยชีวิตส่วนรวมที่มีบทบาทขับเคลื่อนความเป็นสังคมท้องถิ่น และการจัดการชีวิตและความเป็นอยู่ด้วยกันอย่างมีส่วนร่วมอันแท้จริง น้ำบ่อทรายและสระวัดหนองกลับ ซึ่งคนท้องถิ่นมักเรียกว่า วัดหลวงพ่ออ๋อย เป็นแหล่งน้ำที่คนในตัวอำเภอต่างใช้สอยร่วมกัน ทำให้เกิดรถเข็นน้ำ ซึ่งเรียกว่า 'รถลุน หรือรถสาลี่' และกลุ่มคนรับจ้างเข็นน้ำ แพร่หลายไปทั่วอำเภอหนองบัว
รถเข็นคันหนึ่งก็จะมีปี๊บใส่น้ำ 8-12 ใบ ทำให้ข้างๆ และโดยรอบสระ มีกิจกรรมเศรษฐกิจชุมชนต่อเนื่อง เช่น ร้านปะยางรถ ร้านปะและบัดกรีปี๊บ ซึ่งได้กลายเป็นร้านทำหน่อไม้อัดปี๊บไปด้วย และเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในหนองบัว อยู่ตรงข้ามบ้านอัยการประเวศ รักษพล ข้างเกาะลอยและข้างต้นมะขามโบราณต้นใหญ่ที่สุดของหนองบัว
ความกันดารและการขาดแคลนน้ำ เป็นปัญหาหลักอย่างหนึ่งของอำเภอหนองบัวมากระทั่งปัจจุบัน
เรือเครื่องโดยสาร หนองบัว-ชุมแสง ในปัจจุบัน หากมีผู้กล่าวว่า หนองบัวในอดีต มีเรือโดยสารแล่นระหว่างหนองบัว-ชุมแสง ผู้คนต้องไม่เชื่อและยากที่จะจินตนาการได้ว่าเป็นไปได้อย่างไร แต่มีจริงๆ โดยก่อนยุคที่จะมีรถเมล์ เมื่อถึงหน้าน้ำหลาก หนองบัวก็จะมีน้ำบ่าท่วม เจิ่งนองและไหลล่องลงไปทางใต้ ยิ่งใกล้ถึงอำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งอยู่ไกลออกไปอีกประมาณ 30 กิโลเมตร ก็จะยิ่งกลายเป็นที่ลุ่มและน้ำท่วมสูง ผู้คนท้องถิ่นจึงสามารถแล่นเรือโดยสารได้จากหนองบัว-ชุมแสง เป็นการสัญจรที่สะดวกและมีประสิทธิภาพที่สุด กระทั่งมีรถประจำทางในช่วงทศวรรษ 2510
ห้วยน้อยและห้วยปลาเน่า ในช่วงประมาณทศวรษ 2510 นั้น ตัวอำเภอหนองบัวยังแคบมาก บริเวณที่เป็นหัวถนนและศูนย์การค้าธารบัวสวรรค์ในปัจุบันนั้น ยังคงเป็นย่านหมู่บ้านและคอกวัวของชาวบ้าน พ้นทางที่ซึ่งเป็นไปรษณีย์ในปัจจุบัน ก็จะกลายเป็นท้องนา และเชื่อมต่อกับที่ราบลุ่มซึ่งเรียกว่าห้วยน้อยและห้วยปลาเน่า ซึ่งบ่งบอกถึงความเป็นแหล่งอาหารและความอุดมสมบูรณ์ของท้องถิ่นในอดีต
ห้วยน้อยและห้วยปลาเน่า เป็นแหล่งอาหาร มีแมกไม้ และผักปลาที่มากับน้ำ เช่น เทา ไข่ผำ ผักแว่น มากมาย ปลาและสัตว์น้ำชุกชุมเป็นที่สุด ชาวบ้านจากทุกสารทิศของชุมชนโดยรอบ มักพากันไปตั้งเพิงจับปลา ใช้เวลาเพียงจ้าวละวัน-สองวัน ก็กลับไปเป็นพะเรอเกวียน ทั้งปลาย่าง ปลาเป็นๆ ปลาหมักที่เตรียมนำกลับไปทำปลาร้าปลาจ่อม
ปัจจุบัน มีการศึกษาวิจัยและพบว่า เทาและไข่ผำ เป็นอาหารที่ให้โปรตีนสูง และเป็นแหล่งอาหารในธรรมชาติ ที่เป็นตัวบ่งชี้ความสมดุลของระบบนิเวศน์ในท้องถิ่นนั้นๆด้วย ที่ซึ่งมีเทาและไข่ผำให้หากินได้อยู่ จะสะท้อนให้รู้ว่า ชาวบ้านและชุมชนยังสามารถดูแลรักษาให้สภาพแวดล้อมมีความสมดุลเพียงพอ ไม่มีสารเคมีและสิ่งปนเปื้อนในระบบนิเวศน์ในระดับที่เป็นอันตราย
นอกจากนี้ ห้วยน้อยและห้วยปลาเน่ามีความเป็นแอ่งและที่ราบลุ่มน้ำขังยาวนาน ทำให้มีต้นกกมากมาย จึงเป็นแหล่งเก็บเกี่ยวต้นกกแบบได้เปล่าในแหล่งธรรมชาติ ก่อเกิดวัฒนธรรมการทอเสื่อและต่ำสาด ควบคู่ไปกับการทอผ้าใช้เองของชาวบ้าน ซึ่งเพิ่งจะซาและหายไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อสิบกว่าปีมานี้ หลังจากสภาพความเป็นแอ่งน้ำของห้วยน้อยและห้วยปลาเน่าหายไป
ป่าช้าวัดหนองกลับ ปัจจุบัน ด้านหน้า ตรงข้ามซุ้มประตูวัดหนองกลับหรือวัดหลวงพ่ออ๋อย ซึ่งยังคงเป็นศูนย์กลางของความเป็นชุมชน อำเภอหนองบัวอยู่นั้น ผู้คนอาจจะเห็นว่ามีธนาคารกสิกร ย่านอาคารพาณิชย์ ร้านอาหาร ปั๊มน้ำมัน ห้องแสดงสินค้า และที่อยู่อาศัยหนาแน่น เหมือนกับเป็นใจกลางของตัวอำเภอแห่งหนึ่งเลยทีเดียว
ทว่า หากมองย้อนกลับไปเมื่อ 30-40 ปีที่ผ่านมาแล้ว บริเวณดังกล่าวนั้น เป็นป่าช้าฝังศพทั้งของชาวไทยและชาวไทยจีน ป่าละเมาะ ดงต้นพุดทรา และทุ่งหญ้าเลี้ยงวัวควายของชาวบ้าน บรรยากาศเปลี่ยวและน่ากลัวทั้งกลางวันกลางคืน เมื่อถึงหน้างานประจำปีของวัดหนองกลับ ก็จะถูกปรับสถานที่ให้เป็นที่ฉายหนังกลางแปลง โรงลิเก ร้านหมอลำ และกิจกรรมบันเทิงต่างๆ ณ เวลานั้น ไม่มีทางที่จะจินตนาการออกได้เลยว่าจะมีสภาพความเป็นชุมชนเมืองอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ต่อมา ประมาณในช่วงย่างเข้าสู่ทศวรรษ 2520 จึงมีงานรื้อป่าช้า โดยทำพิธีแบบชาวจีนผสมผสานไปทั้งพราหมณ์ พุทธ และไสยศาสตร์ มีซินแสและคนเข้าทรง คอยวิ่งชี้แหล่งที่มีกระดูกและศพฝังอยู่ แล้วชาวบ้านก็จะช่วยกันขุดขึ้นมาทำพิธีขอขมาและทำบุญให้ ซึ่งพบกระดูกมากมาย หลังจากนั้นจึงเริ่มพัฒนาการเป็นย่านชุมชนเมืองดังที่เห็นในปัจจุบัน
สามล้อถีบหนองบัว ชุมชนอำเภอหนองบัวในอดีต อยู่กันอย่างกระจัดกระจาย การสัญจรในท้องถิ่นที่มีบทบาทก่อนที่จะมีมอเตอร์ไซค์คิวและรถสองแถวก็คือ สามล้อถีบ ซึ่งวิ่งรับส่งผู้โดยสารไปทั่วตัวอำเภอ และเส้นทางที่มีบทบาทสำคัญต่อการบริการสาธารณะก็คือการวิ่งรับ-ส่งผู้ป่วยและญาติ ตลอดจนผู้ที่ไปโรงพยาบาลกับคิวรถต่างๆในตัวตลาด ซึ่งจะใช้การถีบเป็นระยะทาง 1-2 กิโลเมตร
ครอบครัวเพื่อนผม ก็มีสามล้อถีบด้วย คือ ครอบครัวพ่อโน้ม-แม่มาลัย ซึ่งเป็นคุณพ่อคุณแม่ของอรุณ โลหเวช ซึ่งในขณะเรียนหนังสือกันที่หนองคอกนั้น อรุณ หรือชื่อเล่นว่าน้อย เมื่อเลิกเรียนและวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ก็ช่วยพ่อแม่หารายได้ด้วยการถีบสามล้อ ซึ่งผมและเพื่อนๆเคยขอทดลองถีบ ก็รู้สึกหนักและถีบยากเป็นที่สุด ดูเหมือนว่าน่าจะง่ายกว่าถีบจักรยาน ทว่า หากถีบไม่เป็นแล้ว กลับหงายท้องและคว่ำเทกระจาดอย่างง่ายดาย คนถีบสามล้อจึงใช้ทักษะสูงและร่างกายต้องแกร่งอย่างยิ่ง
ครอบครัวของอรุณเป็นคริสเตียนและนับพวกเราเป็นลูกๆไปด้วยทั้งหมด อรุณนั้น เป็นเพื่อนสนิทที่รักใคร่กับผมและครอบครัวของผมมากที่สุดคนหนึ่ง ต่อมาก็ศึกษาต่อจนจบมหาวิทยาลัย สาขาภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ ประสานมิตร และหลังจากนั้นก็ได้ทุนการศึกษา และปัจจุบัน ท่านเป็นบาดหลวง ดูเหมือนว่าอยู่แถวภาคเหนือ และไม่เคยได้เจอกันเลยนับแต่แยกย้ายจากกันเมื่อจบหนองคอก.