บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อให้ นสพ. ASTV ผู้จัดการรายวัน
นำไปเผยแพร่เป็นวิทยาทาน
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนขอสงวนลิขสิทธิ์ของเนื้อหา
หากผู้ใดต้องการนำไปเผยแพร่ ควรบอกกล่าวแก่ผู้เขียน และอ้างอิงมายัง URL นี้
ตำนาน สุริยคราส ในวัฒนธรรมต่างๆ ทั่วโลก
บัญชา ธนบุญสมบัติ
E-mail : [email protected]
Web : http://portal.in.th/buncha
ผู้คนทั่วโลกมักจะมีตำนานเกี่ยวกับการเกิดสุริยคราสกันทั้งนั้น
บ้างก็คล้ายคลึงกัน
แต่ส่วนใหญ่จะแตกต่างกัน
โดยมักจะอิงกับสิ่งที่คนในแต่ละวัฒนธรรมคุ้นเคย
ชาวไวกิ้ง (Viking)
มีตำนานเกี่ยวกับหมาป่า 2 ตัว ตัวหนึ่งไล่ล่าดวงอาทิตย์
อีกตัวหนึ่งไล่ล่าดวงจันทร์
หากหมาป่าตัวแรกไล่ทันดวงอาทิตย์ก็เกิดสุริยคราส
และหากหมาป่าอีกตัวหนึ่งไล่ทันดวงจันทร์ ก็เกิดจันทรคราส
เมื่อเกิดคราสขึ้น ผู้คนสามารถช่วยเหลือดวงอาทิตย์และดวงจันทร์โดยการทำให้เกิดเสียงดัง เพื่อให้หมาป่าตกใจหนีไป
ชาวจีนโบราณ
เชื่อว่าสุริยคราสเกิดจากการที่มังกรกินดวงอาทิตย์
ด้วยเหตุนี้ขณะเกิดคราส คนจีนจะตีกลองให้เกิดเสียงดัง และยิงธนูขึ้นไปบนท้องฟ้า เพื่อขับไล่มังกร
ที่มาของภาพ :
http://www.colorsofindia.com/eclipse/mythchinese.htm
ชาวโพโม (Pomo)
ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองอเมริกันที่อาศัยอยู่ในแถบมลรัฐแคลิฟอร์เนียตอนเหนือ
ก็มีตำนานเกี่ยวกับหมีซึ่งเดินทางไปในท้างช้างเผือก
เมื่อหมีพบกับดวงอาทิตย์ ต่างฝ่ายต่างก็โต้เถียงกันว่าใครควรจะหลีกทางให้
เมื่อเถียงไม่ได้ผลก็ต้องต่อสู้กันจนเกิดเป็นสุริยคราส
แต่ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็แยกจากกันไปทางใครทางมัน (จนกว่าจะพบกันอีก)
ส่วนจันทรคราสก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน คือ
หมีไปพบกับดวงจันทร์บนทางช้างเผือก โต้เถียงและต่อสู้กัน
ชาวอินเดียนเซอร์ราโน (Serrano
Indian)
ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองอเมริกันอีกกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในแถบมลรัฐแคลิฟอร์เนียมีความเชื่อแตกต่างออกไป
พวกเขาเชื่อว่าคราสเกิดจากการที่วิญญาณของคนตายพยายามจะกลืนกินดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์
ดังนั้น ในช่วงระหว่างการเกิดคราส พ่อมดหมอผี (shaman) และบริวารจะร้องรำทำเพลงและเต้นรำ
เพื่อขอให้วิญญาณปลดปล่อยดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์
ในขณะที่คนอื่นๆ จะตะโกนร้องเสียงดังเพื่อให้วิญญาณตกใจหนีไป
ชาวฮินดูโบราณ
ก็มีตำนานราหูอมอาทิตย์และราหูอมจันทร์
ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากการกวนเกษียรสมุทร
กล่าวคือ อสูรตนหนึ่ง ชื่อ ราหู ได้แปลงตัวเป็นเทวดา และได้มีโอกาสดื่มน้ำอมฤตเข้าไปเล็กน้อย
แต่เมื่อเทพพระอาทิตย์และเทพพระจันทร์เห็นเข้าก็ฟ้องนางโมหิณี
นางโมหิณีนี้แท้จริงแล้วก็คือ พระวิษณุซึ่งจำแลงพระองค์มาหลอกเอาน้ำอมฤตจากพวกอสูรกลับไปให้เหล่าเทวดา
นางโมหิณีจึงใช้จักรสุทรรศนะบั่นเศียรของราหู
โมหิณีบั่นเศียรราหูด้วยจักรสุทรรศนะ
ที่มาของภาพ : http://www.virtualtemple.net/kumbhamela/images/mohini.jpg
แต่เนื่องจากราหูดื่มน้ำอมฤตลงไปจนถึงลำคอแล้ว เศียรจึงยังคงเป็นอมตะอยู่
ด้วยเหตุนี้ราหูจึงโกรธแค้นพระอาทิตย์กับพระจันทร์ที่ปากโป้ง
และจะคอยจ้องแก้แค้นโดยงาบพระอาทิตย์กับพระจันทร์เมื่อสบโอกาส
เกิดเป็นสุริยคราส (ราหูอมอาทิตย์) และจันทรคราส (ราหูอมจันทร์) มานับแต่นั้น
ราหูอมพระอาทิตย์
ที่มา (ซ้าย) : http://rahuomchan.blogspot.com/2008/04/eclipse-myths-of-india.html
ที่มา (ขวา) : http://blog.baliwww.com/wp-content/photos/kala_rahu_1.jpg
สำหรับชาวไทใหญ่นั้น ในหนังสือ
ไทบ้านดูดาว
เขียนโดยคุณนิพัทธ์พร เพ็งแก้ว
ระบุว่า
“คนไทใหญ่นั้นเป็นเช่นเดียวกับคนร่วมเชื้อสายวัฒนธรรมภาษาตระกูลไท-ลาว ซึ่งเรียกการเกิดคราสว่า กบกินเดือน และกบกิน (ตะ)วัน”
โดยชาวไทใหญ่จะมีคำทำนายที่พ่วงมากับการเกิดคราส รวมทั้งคำทำนายเกี่ยวกับปรากฏการณ์บนท้องฟ้า
เช่น การดูสีของท้องฟ้า สีของพระจันทร์ทรงกลด และตำแหน่งของกลุ่มดาวสำคัญ (ที่ใช้บอกระยะเวลาตกล้า ทำนาได้อย่างแม่นยำ) อีกด้วย
มีเกร็ดเล็กๆ ที่น่าสนใจไม่น้อยว่า ในสมัยโบราณนั้น
สงครามระหว่างชาวเมเดส
(Medes) และชาวลิเดีย (Lydian)
ซึ่งห้ำหั่นกันมานานถึง 6 ปีได้ยุติลงเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ในปี 585 ก่อนคริสต์ศักราช
เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างเกรงว่า พระเจ้าจะลงโทษ หากไม่เลิกรบราฆ่าฟันกัน
(ชาวเมเดสเป็นคนโบราณที่อาศัยอยู่ในแถบดินแดนอิหร่านในปัจจุบัน
ส่วนชาวลิเดียอาศัยอยู่ในแถบตะวันตกของอะนาโตเลีย หรือประเทศตุรกีในปัจจุบัน)
นี่เป็นเพียงตัวอย่างคติความเชื่อเกี่ยวกับการเกิดคราสในสังคม-วัฒนธรรมต่างๆ
จะเห็นได้ว่ารายละเอียดของความเชื่อมักจะผูกพันกับสิ่งที่คนในสังคม-วัฒนธรรมนั้นๆ คุ้นเคย
เช่น หมาป่าในตำนานของชาวไวกิ้ง มังกรในตำนานของจีน และราหูในตำนานของฮินดู เป็นอาทิ
ขุมทรัพย์ทางปัญญา
สนใจข้อมูลเพิ่มเติม หรือ ต้องการแสดงความคิดเห็น สามารถไปที่ :
http://gotoknow.org/blog/civilization/278371
(ข้อความปิดท้ายสำหรับตีพิมพ์ใน นสพ.
ASTV ผู้จัดการรายวัน)
สุดยอดเลยอาจารย์ครับ เป็นการรวบรวมความารู้ด้านนี้ไว้มากทีเดียว จะเอาไปฝากเด็กๆในชุมชนครับ ขอบคุณครับ
ดีมากเลยค่ะ หนูได้ความรู้เยอะและได้ความรู้เพิ่มเรื่องตำนานที่น่าอัศจรรย์อย่างนี้ หนุจะเอาไปบอกเพื่อนๆ และน้องในโรงเรียนนะคะ ขอบคุณค่ะ
สวัสดีครับ พี่บางทราย
ถ้าในชุมชนมีตำนานของตนเองก็ยิ่งดีนะครับ เด็กๆ จะได้เห็นมุมมองที่หลากหลาย
อยากรู้เหมือนกับครับว่า คนไทยในภาคต่างๆ เข้าใจเรื่องนี้ว่าอย่างไร ผมทราบแต่เรื่อง กบกินเดือน กับ กบกินตาเว็น (ตะวัน) ครับ
สวัสดีครับ น้อง 'เด็กชอบตำนานไทย'
เรื่องตำนานต่างๆ นี่จะสนุกขึ้นถ้าหาก...
- มีการตีความ เช่น ในเชิงจิตวิตวิทยา เชิงสังคม
- มีตำนานของวัฒนธรรมอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันให้เปรียบเทียย เรียกว่า เทพปกรณัมเชิงเปรียบเทียบ (comparative mythology)
แต่แม้จะไม่มีการตีความ หรือตำนานอื่นๆ ให้เทียบเคียง เรื่องเล่าเหล่านี้ก็สนุกโดยตัวมันเองอยู่แล้ว
ขอให้สนุกกับการเรียนรู้ครับ ^__^
ชาวโพโม (Pomo) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองอเมริกันที่อาศัยอยู่ในแถบมลรัฐแคลิฟอร์เนียตอนเหนือ ก็มีตำนานเกี่ยวกับหมีซึ่งเดินทางไปในท้างช้างเผือก
เมื่อหมีพบกับดวงอาทิตย์ ต่างฝ่ายต่างก็โต้เถียงกันว่าใครควรจะหลีกทางให้
เมื่อเถียงไม่ได้ผลก็ต้องต่อสู้กันจนเกิดเป็นสุริยคราส
แต่ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็แยกจากกันไปทางใครทางมัน (จนกว่าจะพบกันอีก)
ส่วนจันทรคราสก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน คือ หมีไปพบกับดวงจันทร์บนทางช้างเผือก โต้เถียงและต่อสู้กัน
------------ชอบชาวโพโมนะคะ เถียงกัน สู้กัน แล้วเดี๋ยวก็แยกย้ายกันไป (จนกว่าจะพบกันอีก)เรียบๆ ง่ายๆ สบายๆ
สวัสดีค่ะ
มาขอความรู้ค่ะ
สวัสดีครับ คุณธนิตา
คุณหมีของชาวโพโมนี่นักเลงโตน่าดูเลยนะครับ ประจันหน้าดะทั้งดวงตะวันและดวงจันทรา ;-)
สวัสดีครับ คุณณัฐรดา
ด้วยความยินดีครับ
มาหากับแกล้มสมองเพื่อเติมแต่งส่วนที่พร่องจากบันทึกอาจารย์ขอรับ..
ความเชื่อนี้จะจริงเท็จเพียงไหนก็ตามแต่ก็ยังทรงพลังทุกยุคสมัยนะขอรับอาจารย์
ขอบคุณครับขอความรู้อีกนะครับอาจารย์
กราบนมัสการพระคุณเจ้าครับ
จริงด้วยครับ ความเชื่อของคนเรานี่ทรงพลังจริงๆ ถึงขนาดย้ายภูเขา หรือเปลี่ยนทิศทางของอารยธรรมได้ทีเดียวครับ
คุณคนไม่แสดงตนครับ
ด้วยความยินดีครับ