มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ
เงิน ๑๒,๐๐๐ ล้านบาทใน ๓ ปี ไม่ใช่เงินน้อยๆ สำหรับเอามาขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่งให้เป็นมหาวิทยาลัยวิจัยจริงๆ และไม่ใช่แค่ผลสำเร็จของมหาวิทยาลัยเหล่านั้น แต่เพื่อให้มหาวิทยาลัยเหล่านั้นเป็นหัวขบวนใช้การทำงานวิจัยเพื่อยกระดับความเข้มแข็งของอุดมศึกษา เพื่อเป้าหมายหลักจริงๆ คือการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาวของประเทศ
ย้ำว่าเป้าหมายสุดท้ายคือการทำประโยชน์ให้แก่ประเทศ ต้องวัดผลกระทบที่ประโยชน์ที่จะเกิดต่อประเทศในระยะยาว โดยมีผลที่เป็น “เป้าหมายรายทาง” ในช่วง ๓ ปี เป็นหลักฐาน โดยในระหว่าง ๓ ปีนี้ต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นการทำงานเพื่อประเทศไทย ไม่ใช่เพื่อรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง ต้องวางรากฐานให้กิจกรรมเหล่านี้บูรณาการเข้าไปในงานประจำของอุดมศึกษา ให้แม้ว่าโครงการมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติจะจบไปหลัง ๓ ปี ก็ยังมีกิจกรรมแฝงฝังอยู่ในงานปกติของอุดมศึกษา
ผมรู้สึกอย่างนี้ หลังจากการประชุมคณะกรรมการอำนวยการโครงการพัฒนามหาวิทยาลัยแห่งชาติ ของกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ ๑๕ มิ.ย. ๕๒
ผมกลัวจริงๆ ว่าโครงการนี้จะเป็นแค่ไฟไหม้ฟาง ผมกลัวสียชื่อในฐานะจำเลยสังคมในการผลาญเงินภาษีอากรของชาวบ้าน ผมจึงย้ำกับ ผอ. สุจิตร รัตนมุง ผอ. สำนักส่งเสริมและพัฒนาสมรรถนะบุคลากร สกอ. และย้ำกับ รศ. ดร. วันชัย ดีเอกนามกูล ประธานคณะกรรมการดำเนินงานโครงการนี้ ว่าเราจะต้องจัดระบบการจัดการให้มั่นใจว่า
1. เงินเหล่านี้ก่อผลกระทบต่อ real sector จริงๆ มีหลักฐานยืนยัน มีระบบเก็บข้อมูลที่แม่นยำ สำหรับเป็นหลักฐานยืนยันผลต่อ real sector เราจะถือว่าโครงการนี้ล้มเหลว หากผลวัดได้แค่มหาวิทยาลัยเหล่านี้มีงานวิจัย/ผลงานวิจัย เพิ่มขึ้น
2. เงิน ๑๒,๐๐๐ ล้าน ไปดึงเงินจาก real sector อีก ๑๓,๐๐๐ ล้านเข้าสู่การวิจัย หรือนวัตกรรม หรือไปดึงเงินจาก mega-project ทั้งหลายโครงการละ ๑ – ๒% เอามาทำวิจัยพัฒนาโครงการ mega-project นั้น แล้วมีหลักฐานว่าเงินเหล่านี้เป็นเงินลงทุนที่ได้กำไรต่อโครงการ คือประหยัดได้มากกว่าเงินวิจัยที่ลงทุน หรือได้ผลเพิ่มประสิทธิภาพ/คุณภาพของผลงาน ซึ่งจะมีผลเปลี่ยน mindset ของสังคมไทย จากคิดว่าเงินวิจัยเป็น cost เปลี่ยนเป็นคิดว่าเงินวิจัยเป็น investment
3. มหาวิทยาลัยอื่นๆ ของไทย ที่ไม่ใช่มหาวิทยาลัยในโครงการ ได้รับประโยชน์ด้วย เพราะมหาวิทยาลัยวิจัยในโครงการต้องทำงานวิจัยเชื่อมโยงกับ real sector การเชื่อมโยงกับ real sector นอกจากเชื่อมโดยตรงแล้ว มหาวิทยาลัยวิจัยต้องเชื่อมผ่านมหาวิทยาลัยในท้องถิ่นด้วย
4. มหาวิทยาลัยที่ไม่ใช่มหาวิทยาลัยในโครงการ ได้รับประโยชน์ในการยกระดับความสามารถของอาจารย์ของตน ทั้งการยกระดับวิทยะฐานะ (เรียนปริญญาเอก) และยกระดับ research competency โดยเฉพาะงานวิจัยที่เชื่อมโยงกับ real sector
5. การมองและวัดผลกระทบต่อสังคม ต้องมอง/วัด ในมิติที่กว้างและลึกกว่าที่พูดกันโดยทั่วไป โดยต้องคิดตัวชี้วัดตามหลักการที่ UNESCO แนะนำดังนี้
วิจารณ์ พานิช
๑๖ มิ.ย. ๕๒
เป็นเรื่องใหม่ที่น่ายินดีมากๆค่ะท่านอาจารย์ ดิฉันขอขออนุญาตเป็นลุกศษย์ปลายแถวท่านอาจารย์นะค่ะ ท่านอาจารย์เป็นบุคคลที่มีความคิดก้าวหน้าและมีคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง อยากให้บ้านเมืองมีผู้ใหญ่อย่างท่านอาจารย์เยอะๆ ในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่งที่ทำงานกับผู้คนในระดับรากหญ้าของสังคม อยู่กับความทุกข์ความสุขของชาวบ้าน เป็นหมออนามัยค่ะอาจารย์ อยากให้มียุทธศาสตร์ของการพัฒนานักวิจัย คือ ยุทธศาสตร์การพัฒนานักวิจัยที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ ให้มองเห็นคุณค่าและความงดงามในงานที่ศึกษา ให้มองเห็นผู้คนมากกว่าที่จะเห็นเพียงแค่สถิติหรือตัวเลข กราบขออภัยท่านอาจารย์นะค่ะที่บังอาจเสนอความคิด แต่รู้สึกอย่างนั้นจริงๆค่ะ อยากให้พัฒนานักวิจัยที่สามารถเอางานชิ้นนั้นๆตอบโจทย์จริงๆในพื้นที่ได้ ไม่ใช่แค่....เอามาขึ้นหิ้งไว้แล้วอ้างกับใครต่อใครว่านี่คืองานวิจัยยอดเยี่ยมหรือดีเด่น...เป็นทุกขลาภค่ะอาจารย์แต่ดิฉันก็พลาดไปแล้วค่ะ...ส่งประกวด R2R ผลปรากฎว่าได้รางวัลยอดเยี่ยมประเภทปฐมภูมิ(เติมหัวใจให้เบาหวาน;หนองกินเพล อุบลฯค่ะ) ในตอนแรกก็ดีใจเป็นธรรมดาที่มีโอกาสได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ...และเป็นโอกาสที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้ใครๆอีกหลายคนที่อยากทำงานวิจัย ได้มีกำลังใจว่าคนโนเนมก็มีโอกาสได้เรียนรู้...ถ้าอยากเรียนรู้ แต่ ณ วันนี้ชักเริ่มไม่แน่ใจว่ามาถูกทาง..ต่อไปหลายคนก็จะมาจับจ้องที่งานของเรา..ยอดเยี่ยมตรงไหน..อะไรทำนองนี้ค่ะ...ตอนนี้เหมือนมีอะไรค้ำคอเราอยู่ จริงๆแล้วเราอยากทำไปเรื่อยเงียบๆ.....แต่อยากให้สังคมสาธารณสุขของเรา มองเห็นและมีการวิจัยเป็นวิถีหนึ่งในการทำงาน ไม่ใช่มุ่งแค่ว่ามีตัวเลขเป็นตัวชี้วัด จึงได้เปิดตัวสู่สังเวียน...ซึ่งคนนอกก็มักจะมองทีมเราว่าปฏิเสธนโยบาย แต่ดิฉันกลับแย้งในใจว่า...เราไม่ได้ปฏิเสธนโยบาย แต่เรากำลังแปลงนโยบายให้เป็นปฏิบัติการต่างหากหล่ะ...ดิฉันจึงใช้เวที R2R เพื่อร่วมประกาศนโยบายของตนเอง ท้ายที่สุดนี้ดิฉันใคร่ขออนุญาตท่านอาจารย์เป็นลูกศิษย์ปลายแถวอีกครั้งหนึ่ง เพื่อรับพลังแห่งความดีงามในการร่วมสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ให้บ้านเรา
ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจาร์เป็นอย่างสูง....
เชาวนี คำโฮม สอ.หนองกินเพล
หากสนใจสามารถเข้าไปตรวจสอบดูเงื่อนไขและสมัครเข้าร่วมโครงการมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติได้ที่ http://www.nru.mua.go.th ครับ
ตอนนี้เป็นหน้าที่ของมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับอยู่ใน 9 แห่ง ต้องทำงานอย่างเข้มข้น
ต้องดูฝีมือของผู้บริหารแต่ละที่แล้วล่ะครับ ว่าจะกระตุ้นให้ลูกน้องทำงานให้มากน้อยแค่ไหน
ถ้าทำไม่ได้อนาคตโดนปลด คงเป็นเรื่องที่ไม่น่ายินดีนัก แต่ถ้าสำเร็จมีแต่รุ่งกับรุ่ง
เอ้าเราชาว KKU ช่วยๆกันครับ