สวทน. เป็นผู้ริเริ่มการประชุมบูรณาการระบบวิจัยของประเทศ โดยเชิญประชุมกันครั้งแรกที่โรงแรมสยาม ซิตี เมื่อ ๒ เดือนที่แล้ว เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยมาคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลและความเห็นกัน คนที่มาร่วมบอกว่าดี และนัดกันว่าประชุมครั้งที่ ๒ ที่ สวทช. วันที่ ๕ ก.พ. ๕๓ ทำให้เห็นความหวังในการเชื่อมโยงหน่วยงานด้านการวิจัยเข้าด้วยกัน ผมมองเป้าหมายที่ผลกระทบต่อบ้านเมือง ว่าหากเงินลงทุนภาครัฐด้านวิจัยปีละ ๑.๒ หมื่นล้าน ได้ผล x การมีเครือข่ายนี้จะทำให้ได้ผลเพิ่มเป็น ๑.๒ x ภายในเวลา ๒ – ๓ ปี
เริ่มด้วย สวทช. ฉายวิดีโอแนะนำองค์กร และนำชมกิจการและผลงานอย่างย่อๆ เพราะถ้าจะชมละเอียดก็จะต้องใช้เวลาหลายวัน ได้เห็นผลงานที่น่าชื่นใจ แล้วนั่งรถทัวร์บริเวณ พบว่าพื้นที่ ๒๐๐ ไร่เต็มแล้ว เราพูดกันว่าน่าจะซื้อที่ขยายออกไปอีกสัก ๒๐๐ ไร่ หรือมิฉนั้นก็ไปเซ้ง เอไอที เอามาเป็นของไทยเสียเลย
สวทช. มี ๔ ศูนย์ และหน่วยถ่ายทอดเทคโนโลยี หน่วยบ่มเพาะเทคโนร่วมกับเอกชน (เวลานี้มี ๖๕ บริษัท และจะเพิ่มเป็น ๒๐๐) และบ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร บ่มเพาะคน เห็นเด็กนักเรียนมาทำกิจกรรม มีที่นอน ๒๐๐ คน และมีโครงสร้างการจัดการแนวนอนเพื่อพุ่งเป้าสู่การใช้ประโยชน์ เรียกว่า cluster
ในการเยี่ยมชมสถานทึ่และฟังการบรรยายสรุปของผลงานคัดสรร ผมมองว่า การประชุมแบบนี้ทำให้คนในหน้าที่บริหารจาก วช. สกอ. และอื่นๆ ที่ไม่คุ้นกับงานวิจัยทาง ว&ท ได้เห็นสภาพการทำงานวิจัยในสภาพจริง มีคนพูดว่า ยังกับมาเดินอยู่ในหน่วยวิจัยในต่างประเทศ
เราได้ฟัง ศ. ดร. มรกต ตันตเจริญ เล่าเรื่อง คลัสเตอร์อาหารและการเกษตร
ผมชื่นใจ ว่าทักษะในการจัดการงานวิจัยของประเทศไทย ก้าวหน้าไปไกล จนผมตามไม่ทันเสียแล้ว แต่ระดับความซับซ้อน (sophistication) ของการจัดการงานวิจัยแตกต่างกันในแต่ละองค์กร
ดร. นภาวรรณ นพรัตนราภรณ์ ผอ. สวก. ช่วยให้ผมรู้จัก สกว ว่าเน้นสนับสนุนการวิจัยการเกษตรเชิงพาณิชย์ สร้างคน และพัฒนาระบบข้อมูล
ผลงานเด่นคือการผลิตผงไหมเชิงอุตสาหกรรม ซึ่งบริษัทแก้วหลวงจำกัดนำไปผลิตจำหน่ายในและต่างประเทศ
รวมเวลา ๗ ปี ใช้เงินไปแล้ว พันล้านบาทเศษ เป็นงบวิจัยกับเงินพัฒนานักวิจัยครึ่งต่อครึ่ง
สกว. นำเสนอโครงการ คปก. โดย ศ. ดร. นักสิทธ์ คูวัฒนาชัย
สวทน. เสนอเรื่องการบูรณาการงานวิจัย ต่อจากที่ประชุมเมื่อครั้งแรก โดย ดร. พิเชฐ ได้รวบรวมข้อมูลงานวิจัยในช่วงปี ๕๒ - ๕๓ ที่ได้จาก สวทช. และ สกว. เฉพาะด้านอาหารและเกษตร mapping ตามผลิตภัณฑ์ ผู้รับทุน สาขาวิจัยและผลิตภัณฑ์ พื้นที่วิจัย ม. ที่รับทุน และได้เสนอแนวทางบูรณาการงานวิจัย ๓ แนวทาง คือ (๑) การจัดลำดับความสำคัญ (๒) เป้าหมาย (๓) บูรณาการตลอดห่วงโซ่มูลค่า
วช. เสนอยุทธศาสตร์ปฏิรูประบบวิจัย และการพัฒาระบบฐานข้อมูลการจัดการงานวิจัย
คุณค่าเพิ่มของวงนี่ คือเชื่อมไซโล ให้เป็น value chain เกิด synergy ช่วยการ do the things right ของแต่ละหน่วยงาน
ผมได้ให้ความเห็น ๒ ข้อ
๑. คุณค่าของการรวมตัวกันเป็นเครือข่ายหลวมๆ พบกันเป็นช่วงๆ เพื่อประโยชน์
- การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เน้น ลปรร. จาก SS – Success Story
- รู้เขา รู้เรา
- หาทางร่วมมือกัน เพื่อเชื่อม silo สร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศ
- ช่วยให้แต่ละหน่วยงาน โฟกัสกิจกรรมของตนได้อย่างมียุทธศาสตร์มากขึ้น
๒. แนวทางดำเนินการของเครือข่าย
- สวทน. วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้เห็นภาพรวมของระบบวิจัยของประเทศ สำหรับนำมาใช้ขับเคลื่อนความร่วมมือ และการทำงานของแต่ละองค์กร
- ต่อยอดความสำเร็จ ขยายผล
- ใช้หลักการเครือข่าย คือความสัมพันธ์แนวราบ เป็นอิสระต่อกัน ในลักษณะ independent but interdependent เพื่อทำงานให้แก่ประเทศ
- ความร่วมมืออาจเป็น bilateral หรือ multilateral ก็ได้ แล้วแต่ความเหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องเอาโครงการความร่วมมือมาขอความเห็นชอบจากที่ประชุมเครือข่ายก่อน ยุทธศาสตร์ความร่วมมือที่สำคัญคือ ร่วมที่ความสำเร็จของบางองค์กร ร่วมมือกันเพื่อขยายความสำเร็จนั้นให้เกิดคุณประโยชน์แก่ประเทศยิ่งขึ้น
ผมไม่ได้สรุปแบบยึดความครบถ้วน แต่เขียนบันทึกไว้ใช้เตือนความจำของตนเอง
วิจารณ์ พานิช
๙ ก.พ. ๕๓
ไม่มีความเห็น