นิยายวุ่นวาย สะท้อนสังคมสะเทือนต่อมอารมณ์


ไม่มีคำบรรยายครับ

          บุรุษในชุดสูทสีดำวิ่งเข้ามาในโกดังอย่างรีบเร่งในมือของเขามีอาวุธที่เรียกว่าปืน..( เออใช่ น่าจะเป็นปืนจริง ๆ ) ท่าทางสันทัด แกร่ง เข้ม เรียวแมนแอนแฮนซั่มของเขาทำให้เด็กอายุสามเดือนมองดูยังรู้ได้ว่าเป็นพระเอกแน่นอน

          หลังจากที่พระเอกของเราวิ่งหายเข้าไปในโกดังเก็บของก็มีกลุ่มชายฉะกัน...ไม่ใช่ ๆ กลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่ประมาณหนึ่งร้อยสามสิบสองคนวิ่งตามเข้าไปในโกดัง  (เออนะ แล้วจะประมาณทำไมเนี่ย บอกว่ามาทั้งหมดหนึ่งร้อยสามสิบสองคนก็หมดเรื่อง )

          ชายฉกรรจ์ทั้งหมดซึ่งเด็กน้อยคนเดิมอายุสามเดือนมานั่งดูก็รู้ว่าเป็นผู้ร้ายแน่นอน   ทั้งหมดหายเข้าไปในโกดัง ..(.อีกล่ะ ทำไมต้องวิ่งเข้าไปในโกดังด้วยวะ โรงแรม สนามฟุตบอล ห้างสรรพสินค้ามีทำไมไม่วิ่งเข้าไปบ้างเนี่ย )  ทั้งหมดหายเข้าไปในโกดัง นั่นสิ หายเข้าไปทำไม

          และแล้วสงครามกระสุนก็เปิดฉากขึ้น หลังจากที่กลุ่มผู้ร้ายทั้งหมดวิ่งเข้ามาในโกดังก็ไม่ได้พูดพล่ามทำเพลงหมอลำ ร็อคหรือแรพโย่วอะไรเลย ต่างคนต่างก็ทั้งควัก ทั้งเขี่ย ทั้งดึง อาวุธประจำกายของแต่ละคนออกมา ทั้งปืนสั้น ปืนยาว ปืนกึ่งสั้นกึ่งยาว บ้างก็กำลังประกอบปืนครก บ้างก็กำลังช่วยกันประกอบรถถังอย่างขมักเขม้น ทั้งลูกปืน ไม้ ก้อนหิน ดินสอ ไม้บรรทัด ยางลม รองเท้า ต่างก็มุ่งตรงไปยังพระเอกของเราซึ่งหลบอยู่หลังเสาปูนแท่งใหญ่ (..เออนะ แล้วเสาปูนมาอยู่ในโกดังได้ยังไงว่ะเนี่ย..) หลังจากสิ้นเสียงคำรามของอาวุธทั้งหมด..ความเงียบก็ได้ย่างกรายเข้ามาอีกครั้ง...ผู้ร้ายบางคนยังประกอบอาวุธของตนที่นำมายังไม่เสร็จก็ต้องหยุดกึกด้วยเพราะความเงียบที่ผ่านเข้ามานั่นเอง สักพักพระเอกของเราก็เปล่งเสียงขึ้นทำลายความเงียบนั้น.." เฮ้ย..จะตามมาจับกระผมทำไมไม่ทราบครับ วิ่งตามอยู่ได้เหนื่อยนะโว้ยครับเนี่ย " พระเอกตะโกนทะลุความเงียบซึ่งเป็นฉากบางเฉียบกั้นระหว่างเขากับกลุ่มคนอีกกลุ่มใหญ่ที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม

" ยอมให้จับซะดีดีนะครับ ไอ้คุณจอมโจรที่อยู่ในคราบพระเอก คิดหรือว่าจะใส่สูทราคาเป็นแสน พวกกูอย่างข้าพเจ้าจะจำคุณมึงท่านไม่ได้ " คนที่พูดนี้รู้สึกว่าจะเป็นหัวหน้า  ใช่แล้วที่แท้พระเอกของเราก็เป็นโจร เป็นคนไม่ดี เป็นคนเลวที่แอบปลอมตัวเป็นพระเอกแต่ไม่ได้เป็นเกย์ รึอาจจะใช่นะอันนี้ยังไม่รู้ได้

คำพูดนี้ทำให้ไอ้โจรในคราบพระเอกของเรารู้สึกมึนงงเหมือนถูกหมัดของไอ้เพชรฆาตหน้าหวานของน้องตุ้มทุ่มเข้าเต็มใบหน้า จุกเหมือนโดนเมียด่าเวลาไม่กลับบ้านมาสามวัน อ่อนเพลี่ยเหมือนคนที่ไม่ได้กินเอ็มร้อยห้าสิบขึ้นมาทันที

" เฮ้ย ไอ้คุณตำรวจในคราบโจร พวกคุณมึงกูท่านเนี่ย จะมาล้อมกูข้าพเจ้าไปทำไปเนี่ย พวกคุณมึงกูทั้งหมดเนี่ยไม่รู้หรือว่า..กูเป็นใคร.." น้าน..ว่าแล้ว..ว่ามันต้องพูดประโยคทองสนองตัณหาอารมณ์ของตัวเองแน่ ๆ เลย

" อ้าว ขนาดท่านเอ็งแก ยังไม่รู้เลยว่าเป็นใคร แล้วพวกกูอย่างข้าพเจ้าจะรู้ได้ไงเนี่ย " เสียงเล็ก ๆ ดังมาจากข้างหลังของกลุ่มตำรวจในคราบโจร สงสัยว่าน่ะจะเป็นจ่าแก่ ๆ คนที่วิ่งตามหลังมาเป็นคนสุดท้ายแน่นอน

นั่นสินะ ชายหนุ่มผู้โดดเดี่ยวในโกดังแห่งนี้คิด " ไม่ได้ ๆ ต้องเปลี่ยนคำถามใหม่เผื่อพวกมันอาจจะกลัว " เขาคิดในใจแต่ก็เสียงดังกระทบกับหลังคาที่อยู่สูงประมาณยี่สิบเมตร " เฮ้ย..พวกมึงเอ็งแกนั่นแหละไม่รู้เหรอว่ากรูนะลูกใคร "  มันต้องกลัวแน่ ๆ เลย ดูสิ อึงกันเป็นแถว 555 เสร็จข้าแน่พวกแกมึงกรู

" จะเป็นลูกใครพวกกูอย่างข้าพเจ้าไม่อาจจะรู้ได้ เรื่องนี้ต้องขอให้ท่านกลับไปถามคุณแม่ของท่านดูก่อน เพราะไม่แน่คุณแม่ของท่านอาจจะจำได้บ้างนะ " จ่าวิชัย นายทะเบียนของกลุ่มตำรวจในเครื่องแบบโจรพึมพำ ๆ อยู่ในลำคอ แต่ทุกคนก็ได้ยินกันหมด ( แล้วจะพึมพำทำไมเนี่ย )

" ยอมให้เสียค่าปรับซะดีดี ท่าน เรื่องเล็กเท่าแมวจะได้เป็นเรื่องเล็กเท่ามด แต่ถ้าไม่ยอม เรื่องเล็กเท่ามดพวกเราก็สามารถทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่เท่าช้างได้ " เสียงอันดังกังวานของผู้กองยอดรักซึ่งหน้าคล้าย ๆ กับหนุ่มศรรามแต่..น่าจะคล้ายตุ้ยเอเอฟสามมากกว่าตะโกนขึ้นเพื่อเป็นการยื่นข้อเสนอครั้งสุดท้าย

" โดนปรับข้อหาอะไรรึท่าน " ชายหนุ่มผู้น่าสงสารถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
" ก็ท่านจอดรถดูไฟเขียวนานเกินไป ซึ่งมันผิดกฎจราจรทางอากาศ เพราะมันจะทำให้อุณหภุมิของโลกเปลี่ยนแปลง " โอ้...ความผิดนี้ช่างใหญ่หลวงนัก ซึ่งข้าน้อยไม่อาจสมควรตายได้ตอนนี้
" ค่าปรับเท่าไหร่กันรึ " ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย แต่เอ๊ะเค้ายังหนุ่มจริง ๆ หรือเปล่า หรือว่าอายุเข้าวัยกลางคนแล้ว งงงง
" คดีนี้ค่าปรับประมาณยี่สิบล้านบาท แต่ถ้าจ่ายที่นี่จะเหลือแค่สองร้อยแล้วคุณพี่ท่านก็ไปได้สบาย ๆ เลยเด้อ "
" ได้ ๆ จ่ายที่นี่ก็ได้ สองร้อยใช่ป่ะ " ชายหนุ่มคลำ ควัก ล้วงดูเงินในกระเป๋าทำยังไงก็หาไม่เจอเลยนึกขึ้นได้ เอาสร้อยที่แม่ข้าให้มานี่แหละจ่ายไปก่อนแล้วค่อยออกไปตามหาว่าใครฆ่าท่านพ่อต่อ

          คนกลุ่มใหญ่รับสร้อยคอแทนเงินสองร้อยบาทจากพระเอกใสสูทซึ่งที่จริงอาจเป็นผู้ร้ายก็ได้ไป ด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง

ภายหลังจากแยกย้ายกันแล้ว จ่าวิชัยจึงเอ่ยกับเพื่อน ๆ ว่า
" ได้ค่ากับข้าวแล้วพวกเรา "

หมายเลขบันทึก: 97674เขียนเมื่อ 21 พฤษภาคม 2007 22:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2012 15:49 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

แปลกดีค่ะ อ่านไปก็จินตนาการณ์ตาม สนุกดีแบบแปลก ๆ เว่อร์ ๆ

แต่ก็สะท้อนสังคมแห่งการอวดอ้าง ความยุติธรรมกึ่งรีดไถ ความถูกต้องที่สามารถซื้อได้ด้วยเงินตรา และสิ่งที่เห็นอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น

แปลก สนุกค่ะ และได้มุมสะท้อนสังคม
อยากอ่านอีกค่ะเขียนแบบนี้อีกนะคะ.....

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท