เมื่อประมาณเกือบ 4 ปีก่อนเกิดเหนื่อยหน่ายต่อทุกข์จากการทุ่มเทให้กับการทำงานมากจนเกินไป จึงร่วมเดินทางไปกาญจนบุรีกับรุ่นพี่อีก 3 คน ณ สำนักสงฆ์ที่มีพระรูปหนึ่งอยู่ประจำ ท่านชื่อพระปราโมทย์ ซึ่งตอนนั้นได้ไป ใส่บาตร กราบท่านและได้ฟังท่านบรรยายพร้อมกับการตามรู้ดูจิตผู้ที่เข้าพบ และมีการตอบคำถาม ตามที่มีผู้ถาม ซึ่งตอนนั้นมีศรัทธาในตัวท่าน ซักถามท่านในข้อสงสัยที่สงสัยโดยเฉพาะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองเรียกว่าปฏิบัติธรรมอยู่นั้นถูกหรือไม่ เพราะเท่าที่สังเกต เรามักไม่รู้ตนเอง และยังมีโทสะง่ายอยู่ คราวนั้นท่านบอกว่าเรามีความตั้งใจอยากปฏิบัติ ซึ่งจะให้เปรียบก็เหมือนกล่องของขวัญ ที่ผูกโบว์ไว้อย่างเรียบร้อยสวยงาม ซึ่งตอนนั้นก็คงหมายถึง เรายังไม่สามารถตามรู้ดู กาย จิต ได้อย่างผู้รู้ที่เป็นกลาง มีความตั้งใจ ซึ่งก็คล้ายกับเพ่ง จ้อง เพราะฝึกมาแบบนั้น ณ วันนั้น ได้หนังสือของท่านมาอ่าน ชื่อ “วิมุตติปฏิปทา” ซึ่งรวบรวมโดย คุณปราโมทย์ (สมัยที่ท่านยังไม่ได้บวช ) และได้เรียนรู้ด้านธรรมะกับพระป่าหลายรูป รวมถึงการตอบคำถามกับผู้ใคร่รู้ในการปฏิบัติธรรมทาง Internet จากวันนั้นที่ได้อ่านหนังสือท่าน มีความเข้าใจระดับหนึ่ง แล้วก็ง่วนอยู่กับการทำงานราชการใน รพ.เหมือนเดิม จน3 ปีต่อมา มีการปฏิบัติธรรม ตามสำนักอื่นๆ บ้าง ได้ความรู้จากหนังสือต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับทางธรรมะอยู่ก็หลายด้าน ซึ่งบางครั้งอยากกลับไปพบท่านที่กาญจนบุรีอีก และอยากรู้จากท่านว่า “กล่องของขวัญที่ผูกโบว์เรียบร้อยนั้นได้เปิดออกหรือยัง” (จิตสงสัย) แต่จนแล้วจนรอดก็มิได้มีโอกาสไปสักที
จนเมื่อเดือนเมษายนนี้ ที่ได้เข้ามาอ่านบันทึกของ อาจารย์ ดร. ประพนธ์ และได้รับความเมตตาจากท่านส่ง CD ของพระปราโมทย์มาให้ เมื่อได้ฟัง CD ของท่านแล้วก็ให้สงสัยว่าเสียงของท่าน ลักษณะการทักผู้เข้าพบในเรื่องของการเผลอ การหลง เหมือนกับพระที่กาญจนบุรี ฟังไปฟังมาด้านประวัติ แล้วกลับไปเอาหนังสือเล่มเดิมมาอ่าน จึงรู้ว่าท่านคือพระองค์เดียวกัน โดยไม่รู้ว่าท่านมาอยู่ที่ชลบุรีแล้ว
ดีใจว่า เราคงไปพบท่านได้ง่ายกว่ากาญจนบุรี โชคดี ที่มิได้ไปที่เก่า คงเก้อ... ที่สำคัญก็คือ จากการกลับไปอ่านหนังสือเล่มเดิม กับการฟัง CD ก็เหมือนกัน แต่สมัยนั้นเราไม่ยักจะเข้าใจเหมือนตอนนี้ ทำให้เรารู้ชัดขึ้นไปอีกว่า สิ่งต่างๆ หลายๆอย่าง โดยเฉพาะองค์ความรู้นั้น แม้เป็นองค์ความรู้เดียวกัน แต่ผู้รับรู้จะรับและเข้าใจได้มากแค่ไหนนั้นต้องขึ้นอยู่กับความพร้อม ในหลายๆด้านของผู้รับ โดยเฉพาะ องค์ความรู้อื่นๆ ที่จะมาเป็นองค์ประกอบเกื้อหนุน โดยมีใจที่ถึงพร้อมเป็นตัวขับเคลื่อน เมื่อประจักษ์แจ้งในเรื่องนี้ก็จะลดความคาดหวังในการที่จะให้ลูกหลาน หรือเด็กๆ ให้เป็นผู้ถึงพร้อมแบบง่ายดาย เพราะพวกเขายังต้องการเวลา สิ่งแวดล้อม สถานการณ์ ที่จะบ่มเพาะ สิ่งเหล่านั้น
และที่จะลืมขอบพระคุณเสียมิได้ก็คือ พระปราโมทย์ และอาจารย์ ดร.ประพนธ์ บรมครู ผู้นำมรรคาสู่หนทางสว่างมาให้ ตั้งเป้าหมายว่า ถ้าไม่มีอุปสรรคใดๆ ปลายปีนี้ จะสมัครไปปฏิบัติธรรม ที่สวนสันติธรรม ....(จิตอยากปฏิบัติธรรม) ส่วนตอนนี้ก็ปฏิบัติในที่ทำงาน ที่บ้าน และในชีวิตประจำวันไปก่อน เจ้าข้า......
ขออนุโมทนาด้วยครับ