เรามีกรรมเป็นของตน


เรามีกรรมเป็นของตน

 

เรามีกรรมเป็นของตนนั้น  หมายความว่า  เมื่อเราทำกรรมอันใดไว้  เราก็จะได้วิบากของกรรมอันนั้นเป็นสมบัติของตนแน่นอน  

คำว่า  วิบาก  แปลว่า  ผลของกรรมก็จริง  แต่หมายเฉพาะผลที่เกิดในสันดานเท่านั้นจึงจะเรียกว่า วิบาก  ส่วนผลของกรรมที่เป็นภายนอก  เช่นเมื่อทำดีก็ย่อมจะได้ลาภสักการะ  ชื่อเสียง  อะไรทำนองนี้  ผลอย่างนี้เรียกว่า  อานิสงส์  หรือบางทีก็เรียกว่า  ผล  เฉยๆ เพราะคำว่า  ผล  อาจจะหมายถึงผลที่เกิดขึ้นในสันดาน  หรือหมายถึงผลภายนอกก็ได้  

แต่ถ้าพูดถึง  วิบาก  แล้วหมายเฉพาะ  ผลของกรรมที่เกิดขึ้นในสันดานอย่างเดียว  ขอให้สังเกตว่าขนาดความหมายพื้นๆ ขั้นต้นเช่นนี้  คนส่วนมากก็เข้าใจไม่ค่อยจะถูกต้องแล้ว  เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงความหมายที่ลึกซึ้งกว่านี้  ซึ่งยังมีอีกมากกว่าคนทั้งหลายจะเข้าใจอย่างถูกต้อง  และลึกซึ้งพอนี่แหละที่เป็นเหตุให้คนทั้งหลายไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องนี้

*******************************************************

ที่มาของข้อมูลจากหนังสือ  อภิณหปัจจเวกขณ์  :  พร  รัตนสุวรรณ

 

 

-------->>>>  เรามีกรรมเป็นที่เกิด    <<<<-------

เรามีกรรมเป็นที่เกิด  หมายความว่า  พ่อแม่ไม่ใช่ผู้ให้กำเนิดที่แท้จริง  เพราะจากความสามารถที่พระพุทธเจ้าทรงระลึกชาติได้  และทรงมีตาทิพย์มองเห็นชีวิตในโลกของวิญญาณหรือในโลกขงโอปปาติกะนั้น  ทำให้พระองค์ทรงทราบอย่างแจ่มแจ้งว่า  คนเราเคยเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน  ก่อนที่จะมาเกิดในท้องแม้  และเมื่อตายก็ทรงเห็นอีกว่า  อันคนที่ยังมีกิเลสอยู่ในสันดานนั้น  ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะไม่เกิดอีก  


ตัวการที่ทำให้ชีวิตเกิดขึ้นก็คือวิญญาณ  ซึ่งวิญญาณที่ว่านี้หมายถึงวิญญาณในส่วนลึก  คือจิตไร้สำนึกหรือภวังคจิต  วิญญาณสืบต่อได้เรื่อยๆ  ก็เพราะในวิญญาณยังมีวิบาก  วิบากเกิดขึ้นก็เพราะกิเลส  ซึ่งหมายความว่าคนใดถ้ายังมีกิเลสอยู่ในสันดาน  ไม่ว่าจะพูดอะไร  หรือทำอะไร  หรือคิดอะไร  ทุกอย่างเป็นกรรมทั้งสิ้น  เมื่อเป็นกรรมก็หมายความว่าจะต้องมีวิบากเกิดขึ้นในสันดาน  

ส่วนการกระทำของผู้ที่หมดกิเลสแล้วเรียกว่า  กิริยา  ไม่เรียกว่า  กรรม  เพราะกิริยาไม่มีวิบาก  ผู้ที่ไม่มีวิบากอยู่ในสันดานเช่นพระอรหันต์  ความกดดันจากภายในจะไม่มีเลย  วิบากในความหมายอันหนึ่งก็คือความกดดันภายในนี่เอง  ผู้ที่ไม่มีความกดดันอยู่ภายในจะสามารถทำใจให้ว่างได้ทันทีทุกโอกาส  และทุกขณะจิต  ซึ่งเป็นการว่างอย่างสมบูรณ์  คนที่เข้าสมาธิได้ลึกมากถึงขั้นไม่รู้สึกตัว  แต่ถ้ากิเลสในสันดานยังมี  ก็แปลว่า  วิบากยังมี  เมื่อยังมีวิบาก  ความกดดันก็ยังมี  ถ้าความกดดันยังมี  ต่อให้เข้าสมาธิลึกขนาดไหนแรงดันจากภายในยังต้องมีอยู่เสมอ  เมื่อแรงดันยังมีอยู่  ใจจะว่างร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ด้

เมล็ดผลไม้ที่ไม่เน่าไม่เสียวันหนึ่งจะต้องงอก  ซึ่งการงอกของต้นไม้นั้น  แม้จะต้องอาศัยดินฟ้าอากาศที่เหมาะสมก็จริง  แต่ก็อย่าลืมว่า  ต้นไม้งอกขึ้นมาจากแรงดันภายในเมล็ดเจริญเติบโตขึ้นมาตามพืชพันธุ์ของมัน  ข้อนี้ฉันใด  คนเราก็เหมือนกัน  คือย่อมเกิดขึ้นมาจากวิบากของตน  ซึ่งหมายความว่า  โดยธรรมดาคนที่ยังมีวิบากคือ  จิตใจส่วนลึกยังมีแรงดันต่างๆ อยู่นั้น  จะมีลักษณะเหมือนปุถุชนนอนหลับ  ซึ่งทุกครั้งที่หลับจะต้องฝัน  การฝันก็คือการมีตัวเราเกิดใหม่ในโลกแห่งความฝัน  อันนี้ก็คือกฏตายตัวสำหรับคนที่ยังมีกิเลส

เพราะพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า  คนที่หลับไม่ฝันเลยมีอยู่ประเภทเดียวคือพระอรหันต์เท่านั้น  ในทำนองเดียวกัน  คนที่ยังมีวิบากอยู่  ในขณะที่จวนจะตายคือเข้าขั้นตรีทูตหรือโคม่าแล้วนั้น  ในขณะนี้จิตใจส่วนลึกจะสร้างร่างกายขึ้นมาใหม่เหมือนร่างกายในความฝัน  แต่ก็ต่างกันตรงที่ร่างกายซึ่งเกิดในตอนนี้มีชีวิตจริงๆ พวกเทวดา  พวกพรหม  ตลอดทั้งพวกเปรต  นรก  อสุรกาย  และสัตว์เดรัจฉานในโลกของวิญญาณนี้  ก็เกิดแบบเดียวกันนี้ทั้งสิ้น  คือเกิดจากวิญญาณของตน  ซึ่งวิญญาณส่วนนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  วิปากวิญญาณ  แปลว่า  วิญญาณที่เป็นวิบาก  ขอได้โปรดสังเกตไว้อย่างหนึ่งว่า  กรรมเกิดขึ้นในจิตสำนึกเพราะในขณะที่ทำกรรมนั้น  เราจะรู้ตัวว่าเราทำกรรมอะไร  พูดอะไร  คิดอะไร  มีความรู้สึกอย่างไร  ส่วนวิบากเกิดขึ้นในจิตไร้สำนึก  เพราะวิบากที่เกิดขึ้นในจิตส่วนนี้เราไม่รู้ตัว  แต่เราก็อาจจะสังเกตได้ในความฝัน  เพราะความฝันทุกอย่างก็คือ  การแสดงออกของจิตไร้สำนึก  จิตไร้สำนึกก็คือวิปากจิตนั่นเอง...

 

 

------->>>>    หลักฐานเรื่องการเกิด    <<<<-------

จากหลักวิชาอันลึกซึ้งแต่พยายามพูดให้สั้นและให้ง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้นี้  จะทำให้มองเห็นชัดว่า  คนเราย่อมจะเกิดขึ้นโดยไม่ต้องมีพ่อแม่ก็ได้  นั่นคือชีวิตของพวกโอปปาติกะทั้งหลาย  และแม้คนเราจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยพ่อแม่ก็จริง  แต่ถ้ายังไม่มีวิญญาณมาเกิดในท้องแม่  คนเราก็เกิดไม่ได้เหมือนกัน  ดังเช่นพระองค์ตรัสไว้ว่า  


"ดูก่อนอานนท์  ถ้าวิญญาณจักไม่ก้างลงสู่ท้องของมารดา  นามรูปจะพึงเกิดในท้องของมารดาได้หรือ ?"

"มิได้  พระพุทธเจ้าข้า"  พระอานนท์ทูลตอบ

"เพราะเหตุนี้แลอานนท์  เราจึงได้กล่าวว่า  วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป"


ข้อความที่ว่านี้อยู่ในมหานิทานสูตร  ทีฆนิกาย  มหาวรรค  พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ หน้า ๗๔  ฉบับสยามรัฐ  นอกจากนี้พระองค์ยังได้ตรัสไว้อีกว่า


"ภิกษุทั้งหลาย  เมื่อพร้อมด้วยปัจจัย  ๓  อย่างเหล่านี้  สัตว์จึงเกิดในครรภ์ได้  คือ

๑. มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน

๒. มารดามีระดู (คืออยู่ในวัยหรือในสภาพที่จะมีลูกได้)

๓. มีวิญญาณมาปฏิสนธิในครรภ์


ข้อความที่ว่านี้มีอยู่ในมหาตัณหาสังขยสูตร  มัชฌิมนิกาย  มูลปัณณาสก์  พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒  หน้า ๔๘๗  ฉบับสยามรัฐ

---->>>  จากพุทธพจน์ที่อ้างมานี้  แสดงให้เห็นว่า  ทางพุทธศาสนายอมรับเรื่องการสืบพันธุ์  แต่ในเวลาเดียวกันพระองค์ได้เพิ่มความรู้อีกอย่างหนึ่งคือคนเราจะเกิดมาได้ต้องอาศัยวิญญาณของตนมาเกิดในท้องแม่  คือมาเกิดในไข่ที่ผสมพันธุ์ไว้แล้ว  วิญญาณที่มาเกิดนี่แหละคือตัวการที่ทำให้ไข่นั้นเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นคน  

ซึ่งเรื่องนี้เดี๋ยวนี้ก็พิสูจน์ได้  แต่คนที่จะพิสูจน์ได้จะต้องสามารถเข้าสมาธิได้ลึกมากถึงขั้นมองเห็นวิญญาณ  หรือพวกโอปปาติกะ  เพราะเหตุที่ความจริงมีอยู่อย่างนี้  พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า  เรามีกรรมเป็นที่เกิด  หรือ  แปลอีกนัยหนึ่งว่า  เรามีกรรมเป็นผู้ให้กำเนิด  ซึ่งหมายความว่าตราบใดที่การกระทำของเรายังเป็นกรรมอยู่  ไม่ใช่กิริยา  เพราะเป็นการกระทำที่ประกอบด้วยกิเลส  วิบากก็ต้องมีอยู่เสมอ  เมื่อยังมีวิบาก  ก็ต้องเกิดอีกแน่นอน  ซึ่งถึงแม้จะไม่มีพ่อไม่มีแม่  ก็เกิดได้ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว...

 

หมายเลขบันทึก: 216080เขียนเมื่อ 12 ตุลาคม 2008 18:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 มิถุนายน 2012 18:06 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท