ถือว่า...จิตมีสภาวะเดิมบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว
->> ฝ่ายมหาสังฆิกะอธิบายว่า กิเลสต่างๆ เป็นเพียงสิ่งภายนอกที่มาหุ้มห่อจิตอันบริสุทธิ์ไว้ เหมือนเมฆมาบังดวงอาทิตย์ กิเลสก็ไม่ใช่จิต ธรรมชาติจิตนี้สะอาดหมดจด แต่ที่เห็นขุ่นหมองเพราะกิเลสมาเคลือบ เหมือนน้ำบริสุทธิ์กับสี เมื่อเอาสีแดงเจือลงไปน้ำก็มีสีแดง เอาสีเขียวเจือลงไปน้ำก็มีสีเขียว สภาวะเดิมของจิตบริสุทธิ์ปลอดโปร่งจากปวงกิเลส
->> มติฝ่ายเถรวาทไม่รับทรรศนะนี้ เพราะไม่ถือว่าจิตมีธรรมชาติบริสุทธิ์ แต่ถือว่าจิตมีธรรมชาติประภัสสร (มีแสงในตัวหรือผุดผ่อง) ดังพระพุทธภาษิตในบาลีอังคุตตรนิกายเอกนิบาตว่า "ปภสฺสรมิหํ ภิกฺขเว จิตตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฐํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ วิปฺปมุตฺตํ"
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสร แต่จิตนี้แลเศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมา และจิตนั่นแลพ้นได้จากอุปกิเลสที่จรมา"
อุปกิเลสในที่นี้คือ
อภิชฌาวิสมโลภะ ความละโมบเพ่งเล็ง ๑
พยาปาทะ ความคิดปองร้าย ๑
โกธะ ความโกรธ ๑
อุปนาหะ ความผูกโกรธไว้ในใจ ๑
มักขะ ลบหลู่คุณท่าน ๑
ปลาสะ ความตีเสมอทระนง ๑
อิสสา ความริษยา ๑
มัจฉริยะ ความตระหนี่ ๑
มายา ความเจ้าเล่ห์แสนกล ๑
สาเถยยะ ความโอ้อวด ๑
ถัมภะ ความหัวดื้อ ๑
สารัมภะ ความแข่งดี ๑
มานะ ความถือตัว ๑
อติมานะ ความดูหมิ่นท่าน ๑
มทะ ความมัวเมา ๑
ปมาทะ ความเลินเล่อ ๑
รวม ๑๖ อย่าง
อุปมาดุจอาคันตุกะจรมาเยี่ยมจิตผู้เป็นเจ้าบ้านคราวใด เจ้าบ้านต้องวุ่นวายไปด้วยคราวนั้น เมื่ออาคันตุกะกลับแล้ว จิตใช่ว่าจะได้พักผ่อนสบายก็เปล่า ยังต้องวุ่นกับงานบ้านอีกมากมาย งานบ้านนี้มีมาพร้อมกับตัวบ้าน ซึ่งสร้างสำเร็จด้วยอวิชชาเป็นมูล และมีขึ้นพร้อมกับเจ้าของบ้านมาอาศัย งานบ้านที่กล่าวคือ
อาสวะกิเลส กิเลสเครื่องหมักดองอยู่ในขันธสันดานหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อนุสัยกิเลส กิเลสตามนอนเนื่องในสันดาน มีมาพร้อมกับจิตนับแต่กาลเบื้องต้นไม่ปรากฏ เป็นกิเลสประเภทละเอียดอ่อนมักไม่ปรากฏง่ายๆ บางคราวต้องมีอารมณ์มารบกวนมากๆ จึงปรากฏขึ้น มีอยู่ ๗ อย่าง คือ
กามราคานุสัย ความกำหนัดในกาม
ปฏิฆานุสัย ความหงุดหงิด
ทิฏฐานุสัย ความเห็นผิด
วิจิกิจฉานุสัย ความลังเลสงสัย
มานานุสัย ความถือตัว
ภวราคานุสัย ความกำหนัดติดในภพ
อวิชชานุสัย ความไม่รอบรู้ความจริง
ทั้ง ๗ นี้พอจะย่อลงเป็น ๓ คือ ราคานุสัย ปฏิฆานุสัย อวิชชานุสัย หรือเรียกว่า โลภะมูล โทสะมูล โมหะมูล ก็ได้ จะหมดสิ้นจากขันธสันดานโดยสิ้นเชิงก็ต่อเมื่อสำเร็จอรหัตตผล
ฉะนั้นฝ่ายเถรวาทจึงกล่าวจิตว่างจากอาคันตุกะขั้นอุปกิเลสชื่อว่าปภัสสร คือ ผุดผ่องมีแสง(รัศมี)ในตัว เช่น จิตของผู้สำเร็จฌาณสมาบัติชั้นสูง แต่ไม่ใช่จิตบริสุทธิ์ดุจมติฝ่ายมหาสังฆิกะ ทั้งนี้เพราะยังมีอนุสัยกิเลสอยู่ อนึ่งหากเป็นจิตธรรมชาติบริสุทธิ์แล้วก็ไม่ควรต้องถูกกิเลสหุ้มห่ออีก...
ไม่มีความเห็น