พุทธพจน์ตรัสเรื่อง กรรมกับการเกิดใหม่
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก
เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
ภวสูตร
[๕๑๗] ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึง
ที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้
ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ตรัสว่า ภพ ภพ
ดังนี้
ภพย่อมมีได้ด้วยเหตุเพียงไร พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
ดูกรอานนท์
ก็กรรมที่อำนวยผลให้ในกามธาตุจักไม่มีแล้ว กามภพพึงปรากฏบ้างหรือหนอ
ท่าน
พระอานนท์ทูลว่า ไม่พึงปรากฏเลย พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรอานนท์
เหตุนี้แล กรรมจึงชื่อว่าเป็นไร่นา วิญญาณชื่อว่าเป็น
พืช ตัณหาชื่อว่าเป็นยาง เจตนา ความปรารถนาประดิษฐานแล้ว
เพราะธาตุ
อย่างเลวของสัตว์พวกที่มีอวิชชาเป็นเครื่องสกัดกั้น
มีตัณหาเป็นเครื่องผูกใจ ด้วย
ประการฉะนี้ จึงมีการเกิดในภพใหม่ต่อไปอีก ดูกรอานนท์
ก็กรรมที่อำนวยผล
ให้ในรูปธาตุจักไม่มีแล้ว รูปภพพึงปรากฏบ้างหรือหนอ ฯ
อา. ไม่พึงปรากฏเลย
พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรอานนท์
เหตุนี้แล กรรมจึงชื่อว่าเป็นไร่นา วิญญาณชื่อว่าเป็น
พืช ตัณหาชื่อว่าเป็นยาง เจตนา ความปรารถนาประดิษฐานแล้ว
เพราะธาตุ
อย่างกลางของสัตว์พวกที่มีอวิชชาเป็นเครื่องสกัดกั้น
มีตัณหาเป็นเครื่องผูกใจ ด้วย
ประการฉะนี้ จึงมีการเกิดในภพใหม่ต่อไปอีก ดูกรอานนท์
ก็กรรมที่อำนวยผลให้
อรูปธาตุจักไม่มีแล้ว อรูปภพพึงปรากฏบ้างหรือหนอ ฯ
อา. ไม่พึงปรากฏเลย
พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรอานนท์
เหตุนี้แล กรรมจึงชื่อว่าเป็นไร่นา วิญญาณชื่อว่าเป็น
พืช ตัณหาชื่อว่าเป็นยาง เจตนา ความปรารถนาประดิษฐานแล้ว
เพราะธาตุ
อย่างประณีตของสัตว์พวกที่มีอวิชชาเป็นเครื่องสกัดกั้น
มีตัณหาเป็นเครื่องผูกใจ
ด้วยประการฉะนี้ จึงมีการเกิดในภพใหม่ต่อไปอีก ดูกรอานนท์
ภพย่อมมีได้
ด้วยเหตุดังกล่าวมาฉะนี้แล ฯ
เนื้อความพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๒๐ บรรทัดที่ ๕๙๑๐ - ๕๙๓๓. หน้าที่ ๒๕๓ -
๒๕๔.
http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=20&A=5910&Z=5933&pagebreak=0
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ยังเข้าไม่ถึงนิพพานนั้นยังต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏอยู่เรื่อยไป
ทั้งนี้เพราะมีกรรมเป็นปัจจัยให้เกิด
เปรียบเสมือนพืชที่จะงอกงามขึ้นได้ต้องอาศัย เนื้อที่ พืช
และ ยางในพืช
ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในพระสูตรข้างบนนี้
การเกิดใหม่ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือ
วิญญาณ ซึ่งไม่ใช่ดวงเดิมและไม่ใช่ดวงใหม่
แต่อาศัยของเก่าเกิดขึ้นใหม่
โดยดวงใหม่รับเอาคุณสมบัติของดวงเก่าไว้
เหมือนกับต้นมะม่วงกับเมล็ดมะม่วง
ดังนั้นการสืบภพสืบชาติและการสั่งสมบารมีจึงเป็นไปโดยอาการเช่นนี้
ซึ่งการเกิดใหม่จะเป็นสัตว์เหล่าใดนั้นขึ้นอยู่กับกรรมที่ตนเองได้สร้างไว้
การที่สรรพสัตว์ต้องเกิดใหม่ก็เนื่องจากหลงอยู่ในเหตุ ๔ ประการคือ
๑. กาโมฆะ คือ กาม ได้แก่
ความใคร่ในอารมณ์ที่ก่อให้เกิดกิเลส
๒. ภโวฆะ คือ ภพ ได้แก่
ความต้องการเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้
๓. ทิฎโฐฆะ คือ ทิฐิ ได้แก่
ความเห็นในทางที่ผิด
๔. อวิชชาโชฆะ คือ อวิชชา ได้แก่ ความไม่รู้
ทำให้เกิดความลุ่มหลงไปในทางที่ผิด
อย่างไรก็ตามสรรพสัตว์มักจะจำภพเก่าที่ตนเองเคยเกิดมิได้
ทั้งนี้เพราะสัตว์ต่างๆ นั้นขาดสติ
มีความไม่รู้สึกตัวอยู่เสมอ แม้ในชีวิตปัจจุบันก็ตาม
--->>
จุดมั่งหมายของการเกิดใหม่
การเกิดใหม่ของสรรพสัตว์เป็นไปตามปัจจัย
ในขณะเดียวกันก็มีเป้าหมาย
คือการพัฒนาตนให้บรรลุถึงความเต็มบริบูรณ์ซึ่งความดี
คือการสะสมบารมีมาตามขีดขั้นจนเต็มรอบให้ถึงซึ่งความปรารถนาที่จะหลุดพ้นหมดกิเลส
มีความพร้อมที่จะออกจากโลก(โลกียวิสัย)นี้
และไม่หวนกลับมามีความทุกข์ในโลกนี้อีก
ซึ่งจุดมุ่งหมายนี้เรียกว่า "นิพพาน"
ไม่มีความเห็น