นานาทรรศนะต่อนรกและสวรรค์


นานาทรรศนะต่อนรกและสวรรค์

 

                นรกและสวรรค์เป็นที่เสวยผลกรรมหลังการตาย

 

                นรกและสวรรค์มีอยู่จริงตามพุทธฎีกาว่า  ดูก่อนสารีบุตร  เราย่อมรู้ชัดซึ่งนรก  ทางไปถึงนรก  และปฏิปทาที่จะให้สัตว์เข้าถึงนรก  ดูก่อนสารีบุตร  เราย่อมรู้ชัดซึ่งเทวดาทั้งหลาย  ทางอันยังให้ไปถึงเทวโลก  อนุสาสนีนี้คือพระบาลีที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า   พุทธบริษัทผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนาควรศึกษาตามให้เข้าใจ

 

                นิรยภูมิคือโลกนรกนี้  เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ล้วน ๆ  เป็นโลกที่ปราศจากความสุขโดยสิ้นเชิง  สัตว์ผู้ไปเกิดในโลกนรกนี้  ไม่มีความสุขแต่สักนิดหนึ่งเลย  เพราะฉะนั้น  โลกนี้จึงชื่อว่านิรยภูมิ

 

                มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายที่ได้ประกอบอกุศลกรรมไว้มากจนตายไปเกิดเป็นสัตว์ในมหานรกซึ่งเป็นนรกขุมใหญ่ขึ้น  หากกรรมยังไม่สิ้นก็ต้องไปเสวยผลกรรมชั่วในอุสสทนรกชั้นใน   หากกรรมยังไม่สิ้นต้องไปเสวยทุกข์โทษในยมโลกซึ่งเป็นนรกบริวารชั้นนอกต่อไปอีกด้วยอำนาจแห่งบาปกรรมที่ตนได้กระทำไว้เป็นเครื่องชัดนำไป นรกรวมทั้งหมดมี  457  ขุม   เหล่าสัตว์ที่ไปอุบัติในนรกเหล่านี้ทั้งหมด  ต้องเสวยทุกข์โทษ   ได้รับความทรมานอย่างสาหัสตลอดเวลา  แต่จะเป็นเวลานานเท่าใดจึงจะพ้นจากทุกข์ในนรกเหล่านั้นไม่มีกำหนดแน่นอน  ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับบาปกรรมที่กระทำไว้เป็นประมาณหมายความว่า  ถ้าทำบาปกรรมไว้มากก็ต้องตกนรกอยู่นานและตกหลายขุม

 

                .....พอเสวยกรรมในมหานรกแล้ว  บางทีตกนรกที่เป็นบริวารก่อนแล้วจึงไปตกมหานรกก็มี  สุดแต่ว่ากรรมใดจะให้ผลก่อน  บางที  ถ้าทำบาปกรรมไว้มาก  ต้องตกนรกดะเรื่อยไปผ่านมหานรกทั้ง  8  ขุมก็มี  ถ้าทำบาปกรรมไว้น้อย  ก็เพียงตกนรกเหล่านั้นไม่มากนัก   กุศลกรรมที่ตนทำไว้บันดาลให้ระลึกถึงบุญกุศลขึ้นมา   ก็เปลี่ยนสภาพจากสัตว์นรกไปอุบัติในภูมิอื่นต่อไปตามยถากรรม.....

 

                เมื่อมนุษย์ผู้มีจิตไม่บริสุทธิ์ประพฤติอกุศลกรรม  ก่อนที่จะขาดใจตายจากมนุษย์ไปผุดเกิดเป็นสัตว์นรกทั้งหลายนั้น   จะมีเหตุการณ์อันแสดงว่าตนจะได้ไปเกิดเป็นสัตว์นรกแน่นอนมาปรากฏอย่างใดอย่างหนึ่งใน  3 อย่าง  คือ

                1.  กรรมารมณ์   ได้แก่  กรรมที่ตนกระทำไว้ในช่วงชีวิตนี้  จะปรากฏเป็นภาพให้เห็นชัดเจนในมโนทวาร

                2.  กรรมนิมิตตารมณ์  ได้แก่  อุปกรณ์ที่ใช้ทำบาปกรรมในช่วงชีวิตนี้  เช่น  ดาบ  มีด  ปืนจะปรากฏเป็นกรรมนิมิตแก่คนผู้จวนจะตาย

                3.  คตินิมิตตารมณ์  ได้แก่  นิมิตที่บ่งบอกถึงลักษณะแห่งโลกที่ตนจะต้องไปเกิดหลังจากตาย  เช่น  เห็นเปลวไฟที่ร้อนระอุ   เห็นหม้อกระทะทองแดง  เห็นต้นงิ้ว   เห็นยมบาลผู้ทำหน้าที่ลงโทษสัตว์นรก

 

                นิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งใน  3  อย่างนั้น  สัตว์ผู้จะต้องไปเกิดในนรกทุกคนต้องเห็นก่อนตายเหมือนท่านผู้เป็นเศรษฐีคนหนึ่ง   เคยประกอบอาชีพทุจริต  เอาเปรียบเพื่อนมนุษย์สร้างความร่ำรวยแก่ตนเอง  เมื่อถึงคราวเจ็บป่วย  ญาติพี่น้องจะนำส่งโรงพยาบาลก็ไม่ยอมไป  อยากนอนเฉพาะในที่มีดินโคลนแฉะ   ญาติพี่น้องจึงสร้างสถานที่จำลองภายในบ้าน  โดยเอาดินผสมน้ำทำเป็นปลักโคลนและให้เปรอะเปื้อนด้วยสิ่งสกปรก  ทำให้เป็นที่นอนสำหรับเขา  เขาจึงพอนอนอยู่ได้  วันหนึ่ง ขณะที่หมอกำลังรักษาอยู่  คนไข้นี้พูดคล้ายกับเพ้อพร้อมกับสะอื้นว่า

 

                ผมมีที่ดินมาก  มีนามีสวน  แต่ผมจะหาที่นอนให้สบายก็ไม่มี  มันมีแต่ที่ร้อนเป็นไฟทั่วไปหมดทุกหนทุกแห่ง  ต้องนอนที่ดินชื้น ๆ  แฉะ ๆ  เพื่อให้โคลนช่วยลดความร้อนออกไป หมอต้องช่วยผม  ผมไม่อยากตายนะหมอ....

 

                คนไข้พยายามลืมตาดูหมอ  พูดช้า ๆ อยู่เช่นนั้นด้วยความรู้สึกกลัว  กอดมือหมอไว้แน่น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะนิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งมาปรากฏแก่เขานั่นเอง

 

                ส่วนเรื่องสวรรค์นั้นก็ตรงกันข้ามกับนรกในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในมนุษย์โลกนี้ มนุษย์คนใดประพฤติตน  นำชีวิตตนให้ดำเนินไปตามปฏิปทาทางไปสู่เทวโลกหรือโลกสวรรค์แล้ว  มนุษย์ผู้นั้นก็ย่อมไม่แคล้วที่จะได้ไปอุบัติเกิดเป็นเทพบุตรธิดา    เสวยสุขสมบัติในสรวงสวรรค์  บางท่านอาจตั้งข้อสงสัยว่า  สิ่งที่มนุษย์พูดกันคือสวรรค์และเทวดาหรือนรกและสัตว์นรกเหล่านี้  เป็นความจริงที่ปรากฏหรือเป็นเพียงเรื่องจินตนาการที่มนุษย์ยุคนี้ได้สืบทอดจากยุคนี้ได้รับสืบทอดจากยุคโบราณ  หากเราจะมองในแง่จินตนาการก็อาจเป็นไปได้ที่คนเราอาจนึกเอาเช่นนั้น  แต่หากมองกันในแง่ปรัชญาทวิภาวนิยม  คือการยืนยัน ว่า  เอกภพนี้จะมีแต่สภาวะที่คู่กันเสมอ  เช่น   ตะวันตกคู่กับตะวันออก  ดวงจันทร์คู่กับดวงอาทิตย์  และความร้อยอยู่กับความเย็นเป็นต้น  ย่อมเป็นการยากที่ปฏิเสธทฤษฎีนี้ได้

 

 

นรกและสวรรค์เป็นองค์ประกอบของสังสารวัฏ

 

                ความสำคัญของนรกและสวรรค์เมื่อเปรียบเทียบกับศาสนาอื่นแล้ว   พระพุทธศาสนาให้ความสำคัญในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของสังสารวัฏ  คือเป็นสถานที่เวียนเกิดเวียนตายของสัตว์  ชีวิตของมนุษย์เดินทางไปในสังสารวัฏ  มีหมุนขึ้นหมุนลง  ตกนรกแล้วต่อไปถ้ามีกรรมดีก็กลับไปขึ้นสวรรค์  มาเกิดเป็นมนุษย์หรือที่เกิดเป็นพรหมด้วยอำนาจการบำเพ็ญฌานมาบัติ  ต่อไปสิ้นบุญแล้วกลับไปตกนรกเพราะมีกรรมชั่วในภายหลังก็ได้ (ยกเว้นอริยบุคคลโสดาบัน   สกิทาคามี  และอนาคามี)   มันเป็นที่หมุนเวียนเกิดของสัตว์อย่างนี้

 

                ....มองดูในพระพุทธศาสนาเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว  ความสำคัญของนรกและสวรรค์มันจะด้อยลงไป  เอาสวรรค์ก็แล้วกัน  เพราะมันเป็นสิ่งที่เราต้องการ  สวรรค์ไม่ใช่จุดหมายของพระพุทธศาสนา จุดหมายของพระพุทธศาสนาบอกว่ามีสิ่งสูงกว่านั้น  สิ่งที่สำคัญกว่าสวรรค์  คือนิพพาน....

 

                นรกและสวรรค์จัดอยู่ในประเภทสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้สำหรับคนสามัญ  คือจะพิสูจน์ว่ามี  ก็ยังเอามาแสดงให้เห็นประจักษ์ไม่ได้  จะพิสูจน์ว่าไม่มี  ก็ยังไม่สามารถแสดงให้เห็นว่ามันมีอย่างไร  การพิสูจน์ปรากฏการณ์ทั้งหลายให้ประจักษ์ชัดนั้น  ถ้าเป็นรูป  ต้องพิสูจน์ให้เห็นด้วยตา  ถ้าเป็นเสียง  ต้องพิสูจน์ให้ได้ด้วยหู  ถ้าเป็นกลิ่น  ต้องพิสูจน์ด้วยจมูก ถ้าเป็นรส  ต้องพิสูจน์ด้วยลิ้น   ถ้าเป็นสัมผัส ต้องพิสูจน์ด้วยกาย  ถ้าเป็นธรรมารมณ์  (ความคิด)   ต้องพิสูจน์ด้วยใจ   พระพุทธศาสนากล่าวถึงเรื่องนรกและสวรรค์ไว้  3  ระดับคือ  นรกและสวรรค์หลังการตาย  นรกและสวรรค์ที่อยู่ในใจ  นรกและสวรรค์แต่ละขณะจิต  สรูปรวมมี 2  สถานะ  คือ  เป็นสถานที่และเป็นภาวะทางจิตใจ  เป็นอันยอมรับทั้ง  2  สถานะดังที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก

 

                ....ไม่ว่านรกและสวรรค์ข้างหน้า  หรือนรกและสวรรค์เวลานี้  มันก็อยู่ที่อายตนะรับรู้นี่เอง  ถ้าเอาสาระแล้วมันไม่ได้ไปไหนเลย  อยู่แค่นี้เอง  ตกลงว่าเราจะต้องรู้จักนรกและสวรรค์ทั้ง 3ระดับ  และแก่นที่แท้ของนรกและสวรรค์มันอยู่ที่ระดับที่  3  ที่ว่านี้  นรกและสวรรค์ระดับที่  1หลังจากตาย  ไกลตัวยังไม่ได้รับ  ปัจจุบันเรายังไม่รู้สึกแล้วมันยังเนื่องไปจากปัจจุบันด้วย  ต้องสร้างในปัจจุบัน  ต่อมาก็ระดับที่  2  สวรรค์ในอกนรกในใจ มันก็อยู่ที่ชีวิตที่สร้างภูมิระดับจิตในปัจจุบัน  แต่ว่ายังเป็นเรื่องที่ยังเป็นครั้งคราว  เอาเฉพาะที่เป็นเรื่องใหญ่  พอมาระดับที่  3  ก็ละเอียดละออ  เป็นไปอยู่ประจำตลอดเวลาที่รับอารมณ์ขณะนี้..... 

                โลกนรกและสวรรค์นั้น  ถือเป็นโลกทิพย์ที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ  มันอยู่ซ้อมกันกับโลกมนุษย์นี้เอง  เป็นโลกที่อาจเห็นได้ด้วยจิต   เป็นโลกของวิญญาณทั้งหลายคือนรก    สวรรค์   เทวดา  พรหม  เปรต  อสุรกายคือหมู่สัตว์ที่อาศัยอยู่ในโลกทิพย์

 

                .....โลกทั้งสองนี้ ต่างก็อยู่ด้วยกันที่เรียกว่า  โลกซ้อนโลก  แต่มันเป็นคนและมิติ  มนุษย์เห็นวิญญาณไม่ได้  แต่โลกวิญญาณเขาเห็นมนุษย์ได้  มนุษย์จะทำดีทำชั่วอะไรเขาเห็นหมด  ชีวิตทั้ง  2 โลกนี้มีความเชื่อมโยงกัน  มนุษย์ทำกรรมอะไร  ตายแล้วจะต้องไปเกิดในโลกของวิญญาณรับผลกรรมของตน  สุดแต่จะทำกรรมดีหรือกรรมชั่ว  บางทีก็อาจจะกลับมาเกิดในโลกมนุษย์.....

 

                ในวรรณคดีมีการปรุงแต่งภาพว่า  สวรรค์อยู่ข้างบน  นรกอยู่ข้างล่าง  ตามความเป็นจริงแล้วจักรวาลนี้ไม่มีบนไม่มีล่าง  จะกำหนดที่ไหนเป็นล่างเป็นบนได้บ้าง  นรกและสวรรค์ที่เป็นภพ-ภูมินั้นสภาพชีวิตของสัตว์ต้องไม่เหมือนกับของมนุษย์

 

                .....มันเป็นภพหนึ่ง  แล้วมันมีลักษณะคนละแบบ  เมื่อมันเป็นชีวิตคนละแบบ มันอาจจะอยู่ตรงไหนก็ได้  ซ้อนกันอยู่ก็ได้  อย่างที่เรียกว่าคนละมิติ  ในพระไตรปิฎกมีพูดถึงหมื่นโลกธาตุ  แสนโลกธาตุ  โลกธาตุก็คือจักรวาล  คือในทรรศนะของพุทธศาสนาถือว่าจักรวาลนี้มีมากมาย  เหลือเกิน  แต่ที่นี้มีสวรรค์ในอรรถกถา  ซึ่งคงจะได้แนวมาจากฮินดู....

 

                โดยภาวะพื้นฐานแล้ว  พวกเทวดาทุกประเภทตลอดจนถึงพรหมที่สูงสุด  และสัตว์นรก  ล้วนเป็นเพื่อน  ร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย   เวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏเช่นเดียวกับมนุษย์ทั้งหลาย  โดยเฉพาะพวกเทวดาในสวรรค์นั้น  ส่วนใหญ่ก็เป็นปุถุชนยังมีกิเลสคล้ายมนุษย์   แม้ว่าจะมีเทวดาที่เป็นอริยบุคคลส่วนมากก็เป็นอริยบุคคลมาก่อนตั้งแต่ครั้งยังเป็นมนุษย์  เมื่อพิจารณาในแง่ระดับคุณธรรมจะเห็นว่า  มนุสสภูมิอยู่กลาง  ระหว่าง  เทวภูมิหรือสวรรค์กับ  อบายภูมิหรือนรก   นรกและสวรรค์ที่เป็นสถานที่จึงอาจจะอยู่ที่ไหนก็ได้  เพราะเป็นองค์ประกอบของสังสารวัฏ

 

นรกและสวรรค์เป็นโลกของโอปปาติกะสัตว์

               

                เรื่องนรกและสวรรค์นี้  คนส่วนมากจะไม่เชื่อ  แต่นรกและสวรรค์เป็นสิ่งมีจริง  และพระพุทธเจ้าทรงต้องการอย่างยิ่งที่จะให้เชื่อเรื่องนี้  ผู้ที่ไม่เชื่อจัดเป็นพวกยึดถือมิจฉาทิฏฐิ  เพราะเรื่องนรกและสวรรค์เป็นพุทธปรัชญาแขนงหนึ่งที่พระอริยบุคคลทุกองค์รู้แจ้ง  แต่การจะรู้แจ้งเรื่องนรกและสวรรค์ก็ต่อเมื่อรู้แจ้งเรื่องชีวิตนี้ให้ดีเสียก่อน  และการที่จะรู้แจ้งเรื่องชีวิตนี้ได้  ต้องละความรักใคร่พอใจในร่างกายนี้   ละความยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย  นี้ให้เหลือน้อยที่สุด  สติปัญญาจึงจะแจ่มใสสามารถรู้แจ้งเรื่องนรกและสวรรค์

 

                นรกและสวรรค์ที่เป็นหลักพระพุทธศาสนาจริง ๆ  นั้นอยู่ที่อายตนะ  ในขณะใดประสบแต่รูป   เสียง  รส  โผฏฐัพพะ  ธัมมารมณ์อันไม่เป็นที่พึงประสงค์   ไม่น่ารักใคร่ไม่น่าชอบใจจนทำให้เกิดเดือดร้อนใจ  ในขณะนั้นเป็นนรก  ในขณะใดประสบแต่รูป   เสียง  กลิ่น  รส  โผฏฐัพพะ    ธัมมารมณ์ที่พึงประสงค์   น่ารักใคร่น่าชอบใจ   ในขณะนั้นเป็นสวรรค์   แต่พระพุทธศาสนาก็ไม่ได้ปฏิเสธนรกและสวรรค์ในแง่ที่เป็นสถานที่  เพื่อกำจัดข้อสงสัยที่ว่า  นรกและสวรรค์ที่เป็นสถานที่ในชาติหน้ามีจริงหรือไม่  ต้องศึกษาเรื่องกำเนิด  4  สัตว์ทั้งหลายในสากลจักรวาล  อุบัติเกิดในกำเนิดหนึ่งในกำเนิด  4  นี้เท่านั้น

 

                .....ในเมื่อโลกนี้เป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง  และอาจเป็นได้ทั้งโลกนรกและโลกสวรรค์เมื่อเป็นเช่นนี้  ทำไมเราจะอนุมานไม่ได้ ว่าโลกอื่นคือดาวนพเคราะห์ดวงอื่นก็อาจจะเป็นได้ทั้งโลกนรกและโลกสวรรค์เช่นเดียวกัน   อย่าลืมว่าพระพุทธองค์ตรัสว่า  วิญญาณสามารถจากโลกนี้ไปสู่โลกอื่นและจากโลกอื่นมาสู่โลกนี้ได้.....

 

                ชีวิตที่อยู่ในโอปปาติกะกำเนิดนั้น  เป็นชีวิตที่อยู่อีกโลกหนึ่ง   คือปรโลกหรือโลกทิพย์ซึ่งไม่ใช่ชีวิตในโลกมนุษย์  หมายถึงพวกเทวดา  และพวกนรกนั่นเอง  พระพุทธศาสนาถือว่า  ชีวิต  ย่อมไม่ใช่มีอยู่แต่ในโลกมนุษย์นี้เท่านั้น  ย่อมมีอยู่ในดวงอีก หลายดวงบารมีหรือบุญที่แต่ละชีวิตได้ทำไว้จะเป็นผู้ตัดสินว่าจะเกิดในภูมิใด  เทวดาย่อมอยู่ในภูมิที่เหนือมนุษย์  นรกก็อยู่หลายขุม  มีนรกเย็นนรกร้อนไว้  เป็นแดนสำหรับลงโทษสำหรับลงโทษสัตว์ผู้ทำบาป

 

นรกและสวรรค์เป็นประสบการณ์เฉพาะตัว

 

                หลักพระพุทธศาสนาแสดงว่า  ยังมีดาวดวงอื่นอีกมากในสุริยจักรวาลนี้  นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันเพิ่งจะเห็นและยังมีอีกมากที่นักวิทยาศาสตร์ยังค้นไปไม่ถึง   เพราะฉะนั้น  จึงไม่สามารถพูดได้ว่า  ดาวดวงนี้เท่านั้นมนุษย์และสัตว์โลกอื่นอาศัยอยู่  ดาวดวงอื่นไม่มีสัตว์โลกอาศัยอยู่เลย  ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะพูดอย่างนั้นได้   ดาวบางดาวอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์จึงร้อนมาก  ถ้าสัตว์โลกที่เกิดอยู่บนดาวดวงนั้นก็เท่ากับเกิดอยู่ในอเวจีมหานรก  หรือดาวบางดวงอยู่ไกลดวงอาทิตย์มาก  อากาศก็หนาวมาก  สัตว์โลกที่เกิดในที่นั้น  ก็เหมือนกับเกิดในโลกันตริยนรก

 

                เรื่องเทพเจ้าหรือเทวดา  เป็นส่วนหนึ่งใสคำสอนของพระพุทธศาสนา  เพราะเป็นการยืนยันถึงการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลกที่ต้องยังท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏ  นรกและสวรรค์ซึ่งเป็นที่อยู่ของสัตว์นรกและเทวดาจึงเป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธศาสนาที่สำคัญมิใช่น้อยเช่นกัน  และเรื่องนี้มีความสัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกกับเรื่องกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดตามหลักพระพุทธศาสนา  สัตว์โลกย่อมเกิดในกำเนิด   4   อย่างใดอย่างหนึ่ง  โดยเฉพาะโอปปาติกะกำเนิดซึ่งหมายถึงเทวดา  สัตว์นรกนั้นย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่า  เทวดามีจริง สวรรค์ซึ่งเป็นที่อาศัยอยู่ของเทวดามีจริง  สัตว์นรกมีจริงนรกซึ่งเป็นที่อาศัยอยู่ของก็มีจริง    นรกและสวรรค์ที่ท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์ศาสนาจึงหมายถึงนรกและสวรรค์จริง     ซึ่งเป็นโลกอีกโลกหนึ่งต่างหากจากโลกมนุษย์  เป็นโลกทิพย์ของพวกโอปปาติกะสัตว์อาจเป็นไปได้ว่า  สวรรค์เป็นโลกใดโลกหนึ่งที่เจริญรุ่งเรื่องเต็มที่ในจักรวาลนี้  หรือในจักรวาลอื่นส่วนนรกคือโลกที่ลำบากยากเข็ญ   หนาวเหลือเกินร้อนเหลือเกินอดอยากเหลือเกิน  วิญญาณที่ไปเกิดในโลกนั้น  เรียกว่า   ตกนรกหรืออาจเป็นไปได้ว่า  โลกทิพย์นรกและสวรรค์ที่ละเอียดซ้อนกันอยู่กับโลกมนุษย์นี่เองแต่เป็นโลกที่ละเอียดอ่อนมาก  จึงไม่สามารถมองเห็นด้วยตาธรรมดา  กายของสัตว์ที่เกิดในโลกทิพย์เป็นกายที่สำเร็จไปจากใจ  มีรูปร่างอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน   มีอินทรีย์   บริบูรณ์  ไม่บกพร่อง  แปลว่าพวกกายทิพย์มีร่างกายเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง   แต่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้  ต้องเป็นผู้ที่ได้ตาทิพย์  (ได้อภิญญา  5  หรือ 6 )  จึงสามารถมองเห็น  มันเหมือนกับคลื่นวิทยุที่มีอยู่ตลอดเวลาในอากาศรอบตัวมนุษย์  กระแสไฟฟ้าก็มีอยู่ทุกหนทุกแห่งรอบตัวมนุษย์  แต่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตา  เมื่อมีเครื่องมือเช่นวิทยุ  เครื่องใช้ไฟฟ้านานาชนิด  จึงสามารถมองเห็นประจักษ์ได้ว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริงทั่วไปรอบตัวมนุษย์นี่เอง  โลกทิพย์คือนรกและสวรรค์ก็เช่นกัน  แม้มีอยู่รอบตัวมนุษย์ก็หาปรากฏให้เห็นไม่เพราะขาดอุปกรณ์คือตาทิพย์ที่จะทำให้มองเห็นนรกและสวรรค์นั้น

 

                เรื่องนรกและสวรรค์จึงเป็นเรื่องจริงที่ต้องพิสูจน์ให้เห็นประจักษ์เฉพาะตัว  คนที่ไม่เห็นประจักษ์แม้จะศึกษามากและได้รับคำบอกเล่ามามาก  ย่อมอาจมีข้อสงสัยไปต่าง ๆ จนกว่าเขาจะประจักษ์ชัดด้วยตัวของเขาเอง

 

หมายเลขบันทึก: 216100เขียนเมื่อ 12 ตุลาคม 2008 19:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 19:05 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

มีเรื่องดีและเรื่องร้ายจะมาบอก

วันนี้จะร้อนมากตอนค่ำจะมองไม่เห็น

ตอนเช้าจะเห็นถนนหนทาง

เง๊อออๆๆ

เนาะ

เรื่องแบบนี้มีด้วยหรือออ

ง๊ะๆๆๆ

ทํานายอดีตตแก่กว่า พ่อ แม่อีกกกกก

งิงิ

555+++++

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท