นานาทรรศนะต่อนรกและสวรรค์
นรกและสวรรค์เป็นที่เสวยผลกรรมหลังการตาย
นรกและสวรรค์มีอยู่จริงตามพุทธฎีกาว่า “ดูก่อนสารีบุตร เราย่อมรู้ชัดซึ่งนรก ทางไปถึงนรก และปฏิปทาที่จะให้สัตว์เข้าถึงนรก ดูก่อนสารีบุตร เราย่อมรู้ชัดซึ่งเทวดาทั้งหลาย ทางอันยังให้ไปถึงเทวโลก” อนุสาสนีนี้คือพระบาลีที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า พุทธบริษัทผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนาควรศึกษาตามให้เข้าใจ
“นิรยภูมิคือโลกนรกนี้ เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ล้วน ๆ เป็นโลกที่ปราศจากความสุขโดยสิ้นเชิง สัตว์ผู้ไปเกิดในโลกนรกนี้ ไม่มีความสุขแต่สักนิดหนึ่งเลย เพราะฉะนั้น โลกนี้จึงชื่อว่านิรยภูมิ”
มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายที่ได้ประกอบอกุศลกรรมไว้มากจนตายไปเกิดเป็นสัตว์ในมหานรกซึ่งเป็นนรกขุมใหญ่ขึ้น หากกรรมยังไม่สิ้นก็ต้องไปเสวยผลกรรมชั่วในอุสสทนรกชั้นใน หากกรรมยังไม่สิ้นต้องไปเสวยทุกข์โทษในยมโลกซึ่งเป็นนรกบริวารชั้นนอกต่อไปอีกด้วยอำนาจแห่งบาปกรรมที่ตนได้กระทำไว้เป็นเครื่องชัดนำไป นรกรวมทั้งหมดมี 457 ขุม เหล่าสัตว์ที่ไปอุบัติในนรกเหล่านี้ทั้งหมด ต้องเสวยทุกข์โทษ ได้รับความทรมานอย่างสาหัสตลอดเวลา แต่จะเป็นเวลานานเท่าใดจึงจะพ้นจากทุกข์ในนรกเหล่านั้นไม่มีกำหนดแน่นอน ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับบาปกรรมที่กระทำไว้เป็นประมาณหมายความว่า ถ้าทำบาปกรรมไว้มากก็ต้องตกนรกอยู่นานและตกหลายขุม
“.....พอเสวยกรรมในมหานรกแล้ว บางทีตกนรกที่เป็นบริวารก่อนแล้วจึงไปตกมหานรกก็มี สุดแต่ว่ากรรมใดจะให้ผลก่อน บางที ถ้าทำบาปกรรมไว้มาก ต้องตกนรกดะเรื่อยไปผ่านมหานรกทั้ง 8 ขุมก็มี ถ้าทำบาปกรรมไว้น้อย ก็เพียงตกนรกเหล่านั้นไม่มากนัก กุศลกรรมที่ตนทำไว้บันดาลให้ระลึกถึงบุญกุศลขึ้นมา ก็เปลี่ยนสภาพจากสัตว์นรกไปอุบัติในภูมิอื่นต่อไปตามยถากรรม.....”
เมื่อมนุษย์ผู้มีจิตไม่บริสุทธิ์ประพฤติอกุศลกรรม ก่อนที่จะขาดใจตายจากมนุษย์ไปผุดเกิดเป็นสัตว์นรกทั้งหลายนั้น จะมีเหตุการณ์อันแสดงว่าตนจะได้ไปเกิดเป็นสัตว์นรกแน่นอนมาปรากฏอย่างใดอย่างหนึ่งใน 3 อย่าง คือ
1. กรรมารมณ์ ได้แก่ กรรมที่ตนกระทำไว้ในช่วงชีวิตนี้ จะปรากฏเป็นภาพให้เห็นชัดเจนในมโนทวาร
2. กรรมนิมิตตารมณ์ ได้แก่ อุปกรณ์ที่ใช้ทำบาปกรรมในช่วงชีวิตนี้ เช่น ดาบ มีด ปืนจะปรากฏเป็นกรรมนิมิตแก่คนผู้จวนจะตาย
3. คตินิมิตตารมณ์ ได้แก่ นิมิตที่บ่งบอกถึงลักษณะแห่งโลกที่ตนจะต้องไปเกิดหลังจากตาย เช่น เห็นเปลวไฟที่ร้อนระอุ เห็นหม้อกระทะทองแดง เห็นต้นงิ้ว เห็นยมบาลผู้ทำหน้าที่ลงโทษสัตว์นรก
นิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งใน 3 อย่างนั้น สัตว์ผู้จะต้องไปเกิดในนรกทุกคนต้องเห็นก่อนตายเหมือนท่านผู้เป็นเศรษฐีคนหนึ่ง เคยประกอบอาชีพทุจริต เอาเปรียบเพื่อนมนุษย์สร้างความร่ำรวยแก่ตนเอง เมื่อถึงคราวเจ็บป่วย ญาติพี่น้องจะนำส่งโรงพยาบาลก็ไม่ยอมไป อยากนอนเฉพาะในที่มีดินโคลนแฉะ ญาติพี่น้องจึงสร้างสถานที่จำลองภายในบ้าน โดยเอาดินผสมน้ำทำเป็นปลักโคลนและให้เปรอะเปื้อนด้วยสิ่งสกปรก ทำให้เป็นที่นอนสำหรับเขา เขาจึงพอนอนอยู่ได้ วันหนึ่ง ขณะที่หมอกำลังรักษาอยู่ คนไข้นี้พูดคล้ายกับเพ้อพร้อมกับสะอื้นว่า
“ผมมีที่ดินมาก มีนามีสวน แต่ผมจะหาที่นอนให้สบายก็ไม่มี มันมีแต่ที่ร้อนเป็นไฟทั่วไปหมดทุกหนทุกแห่ง ต้องนอนที่ดินชื้น ๆ แฉะ ๆ เพื่อให้โคลนช่วยลดความร้อนออกไป หมอต้องช่วยผม ผมไม่อยากตายนะหมอ....
คนไข้พยายามลืมตาดูหมอ พูดช้า ๆ อยู่เช่นนั้นด้วยความรู้สึกกลัว กอดมือหมอไว้แน่น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะนิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งมาปรากฏแก่เขานั่นเอง
ส่วนเรื่องสวรรค์นั้นก็ตรงกันข้ามกับนรกในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในมนุษย์โลกนี้ มนุษย์คนใดประพฤติตน นำชีวิตตนให้ดำเนินไปตามปฏิปทาทางไปสู่เทวโลกหรือโลกสวรรค์แล้ว มนุษย์ผู้นั้นก็ย่อมไม่แคล้วที่จะได้ไปอุบัติเกิดเป็นเทพบุตรธิดา เสวยสุขสมบัติในสรวงสวรรค์ บางท่านอาจตั้งข้อสงสัยว่า สิ่งที่มนุษย์พูดกันคือสวรรค์และเทวดาหรือนรกและสัตว์นรกเหล่านี้ เป็นความจริงที่ปรากฏหรือเป็นเพียงเรื่องจินตนาการที่มนุษย์ยุคนี้ได้สืบทอดจากยุคนี้ได้รับสืบทอดจากยุคโบราณ หากเราจะมองในแง่จินตนาการก็อาจเป็นไปได้ที่คนเราอาจนึกเอาเช่นนั้น แต่หากมองกันในแง่ปรัชญาทวิภาวนิยม คือการยืนยัน ว่า เอกภพนี้จะมีแต่สภาวะที่คู่กันเสมอ เช่น ตะวันตกคู่กับตะวันออก ดวงจันทร์คู่กับดวงอาทิตย์ และความร้อยอยู่กับความเย็นเป็นต้น ย่อมเป็นการยากที่ปฏิเสธทฤษฎีนี้ได้
นรกและสวรรค์เป็นองค์ประกอบของสังสารวัฏ
ความสำคัญของนรกและสวรรค์เมื่อเปรียบเทียบกับศาสนาอื่นแล้ว พระพุทธศาสนาให้ความสำคัญในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของสังสารวัฏ คือเป็นสถานที่เวียนเกิดเวียนตายของสัตว์ ชีวิตของมนุษย์เดินทางไปในสังสารวัฏ มีหมุนขึ้นหมุนลง ตกนรกแล้วต่อไปถ้ามีกรรมดีก็กลับไปขึ้นสวรรค์ มาเกิดเป็นมนุษย์หรือที่เกิดเป็นพรหมด้วยอำนาจการบำเพ็ญฌานมาบัติ ต่อไปสิ้นบุญแล้วกลับไปตกนรกเพราะมีกรรมชั่วในภายหลังก็ได้ (ยกเว้นอริยบุคคลโสดาบัน สกิทาคามี และอนาคามี) มันเป็นที่หมุนเวียนเกิดของสัตว์อย่างนี้
“....มองดูในพระพุทธศาสนาเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ความสำคัญของนรกและสวรรค์มันจะด้อยลงไป เอาสวรรค์ก็แล้วกัน เพราะมันเป็นสิ่งที่เราต้องการ สวรรค์ไม่ใช่จุดหมายของพระพุทธศาสนา จุดหมายของพระพุทธศาสนาบอกว่ามีสิ่งสูงกว่านั้น สิ่งที่สำคัญกว่าสวรรค์ คือนิพพาน....”
นรกและสวรรค์จัดอยู่ในประเภทสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้สำหรับคนสามัญ คือจะพิสูจน์ว่ามี ก็ยังเอามาแสดงให้เห็นประจักษ์ไม่ได้ จะพิสูจน์ว่าไม่มี ก็ยังไม่สามารถแสดงให้เห็นว่ามันมีอย่างไร การพิสูจน์ปรากฏการณ์ทั้งหลายให้ประจักษ์ชัดนั้น ถ้าเป็นรูป ต้องพิสูจน์ให้เห็นด้วยตา ถ้าเป็นเสียง ต้องพิสูจน์ให้ได้ด้วยหู ถ้าเป็นกลิ่น ต้องพิสูจน์ด้วยจมูก ถ้าเป็นรส ต้องพิสูจน์ด้วยลิ้น ถ้าเป็นสัมผัส ต้องพิสูจน์ด้วยกาย ถ้าเป็นธรรมารมณ์ (ความคิด) ต้องพิสูจน์ด้วยใจ พระพุทธศาสนากล่าวถึงเรื่องนรกและสวรรค์ไว้ 3 ระดับคือ นรกและสวรรค์หลังการตาย นรกและสวรรค์ที่อยู่ในใจ นรกและสวรรค์แต่ละขณะจิต สรูปรวมมี 2 สถานะ คือ เป็นสถานที่และเป็นภาวะทางจิตใจ เป็นอันยอมรับทั้ง 2 สถานะดังที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก
“....ไม่ว่านรกและสวรรค์ข้างหน้า หรือนรกและสวรรค์เวลานี้ มันก็อยู่ที่อายตนะรับรู้นี่เอง ถ้าเอาสาระแล้วมันไม่ได้ไปไหนเลย อยู่แค่นี้เอง ตกลงว่าเราจะต้องรู้จักนรกและสวรรค์ทั้ง 3ระดับ และแก่นที่แท้ของนรกและสวรรค์มันอยู่ที่ระดับที่ 3 ที่ว่านี้ นรกและสวรรค์ระดับที่ 1หลังจากตาย ไกลตัวยังไม่ได้รับ ปัจจุบันเรายังไม่รู้สึกแล้วมันยังเนื่องไปจากปัจจุบันด้วย ต้องสร้างในปัจจุบัน ต่อมาก็ระดับที่ 2 สวรรค์ในอกนรกในใจ มันก็อยู่ที่ชีวิตที่สร้างภูมิระดับจิตในปัจจุบัน แต่ว่ายังเป็นเรื่องที่ยังเป็นครั้งคราว เอาเฉพาะที่เป็นเรื่องใหญ่ พอมาระดับที่ 3 ก็ละเอียดละออ เป็นไปอยู่ประจำตลอดเวลาที่รับอารมณ์ขณะนี้.....
โลกนรกและสวรรค์นั้น ถือเป็นโลกทิพย์ที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ มันอยู่ซ้อมกันกับโลกมนุษย์นี้เอง เป็นโลกที่อาจเห็นได้ด้วยจิต เป็นโลกของวิญญาณทั้งหลายคือนรก สวรรค์ เทวดา พรหม เปรต อสุรกายคือหมู่สัตว์ที่อาศัยอยู่ในโลกทิพย์
“.....โลกทั้งสองนี้ ต่างก็อยู่ด้วยกันที่เรียกว่า โลกซ้อนโลก แต่มันเป็นคนและมิติ มนุษย์เห็นวิญญาณไม่ได้ แต่โลกวิญญาณเขาเห็นมนุษย์ได้ มนุษย์จะทำดีทำชั่วอะไรเขาเห็นหมด ชีวิตทั้ง 2 โลกนี้มีความเชื่อมโยงกัน มนุษย์ทำกรรมอะไร ตายแล้วจะต้องไปเกิดในโลกของวิญญาณรับผลกรรมของตน สุดแต่จะทำกรรมดีหรือกรรมชั่ว บางทีก็อาจจะกลับมาเกิดในโลกมนุษย์.....”
ในวรรณคดีมีการปรุงแต่งภาพว่า สวรรค์อยู่ข้างบน นรกอยู่ข้างล่าง ตามความเป็นจริงแล้วจักรวาลนี้ไม่มีบนไม่มีล่าง จะกำหนดที่ไหนเป็นล่างเป็นบนได้บ้าง นรกและสวรรค์ที่เป็นภพ-ภูมินั้นสภาพชีวิตของสัตว์ต้องไม่เหมือนกับของมนุษย์
“.....มันเป็นภพหนึ่ง แล้วมันมีลักษณะคนละแบบ เมื่อมันเป็นชีวิตคนละแบบ มันอาจจะอยู่ตรงไหนก็ได้ ซ้อนกันอยู่ก็ได้ อย่างที่เรียกว่าคนละมิติ ในพระไตรปิฎกมีพูดถึงหมื่นโลกธาตุ แสนโลกธาตุ โลกธาตุก็คือจักรวาล คือในทรรศนะของพุทธศาสนาถือว่าจักรวาลนี้มีมากมาย เหลือเกิน แต่ที่นี้มีสวรรค์ในอรรถกถา ซึ่งคงจะได้แนวมาจากฮินดู....”
โดยภาวะพื้นฐานแล้ว พวกเทวดาทุกประเภทตลอดจนถึงพรหมที่สูงสุด และสัตว์นรก ล้วนเป็นเพื่อน ร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย เวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏเช่นเดียวกับมนุษย์ทั้งหลาย โดยเฉพาะพวกเทวดาในสวรรค์นั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นปุถุชนยังมีกิเลสคล้ายมนุษย์ แม้ว่าจะมีเทวดาที่เป็นอริยบุคคลส่วนมากก็เป็นอริยบุคคลมาก่อนตั้งแต่ครั้งยังเป็นมนุษย์ เมื่อพิจารณาในแง่ระดับคุณธรรมจะเห็นว่า มนุสสภูมิอยู่กลาง ระหว่าง เทวภูมิหรือสวรรค์กับ อบายภูมิหรือนรก นรกและสวรรค์ที่เป็นสถานที่จึงอาจจะอยู่ที่ไหนก็ได้ เพราะเป็นองค์ประกอบของสังสารวัฏ
นรกและสวรรค์เป็นโลกของโอปปาติกะสัตว์
เรื่องนรกและสวรรค์นี้ คนส่วนมากจะไม่เชื่อ แต่นรกและสวรรค์เป็นสิ่งมีจริง และพระพุทธเจ้าทรงต้องการอย่างยิ่งที่จะให้เชื่อเรื่องนี้ ผู้ที่ไม่เชื่อจัดเป็นพวกยึดถือมิจฉาทิฏฐิ เพราะเรื่องนรกและสวรรค์เป็นพุทธปรัชญาแขนงหนึ่งที่พระอริยบุคคลทุกองค์รู้แจ้ง แต่การจะรู้แจ้งเรื่องนรกและสวรรค์ก็ต่อเมื่อรู้แจ้งเรื่องชีวิตนี้ให้ดีเสียก่อน และการที่จะรู้แจ้งเรื่องชีวิตนี้ได้ ต้องละความรักใคร่พอใจในร่างกายนี้ ละความยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย นี้ให้เหลือน้อยที่สุด สติปัญญาจึงจะแจ่มใสสามารถรู้แจ้งเรื่องนรกและสวรรค์
นรกและสวรรค์ที่เป็นหลักพระพุทธศาสนาจริง ๆ นั้นอยู่ที่อายตนะ ในขณะใดประสบแต่รูป เสียง รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์อันไม่เป็นที่พึงประสงค์ ไม่น่ารักใคร่ไม่น่าชอบใจจนทำให้เกิดเดือดร้อนใจ ในขณะนั้นเป็นนรก ในขณะใดประสบแต่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ที่พึงประสงค์ น่ารักใคร่น่าชอบใจ ในขณะนั้นเป็นสวรรค์ แต่พระพุทธศาสนาก็ไม่ได้ปฏิเสธนรกและสวรรค์ในแง่ที่เป็นสถานที่ เพื่อกำจัดข้อสงสัยที่ว่า นรกและสวรรค์ที่เป็นสถานที่ในชาติหน้ามีจริงหรือไม่ ต้องศึกษาเรื่องกำเนิด 4 สัตว์ทั้งหลายในสากลจักรวาล อุบัติเกิดในกำเนิดหนึ่งในกำเนิด 4 นี้เท่านั้น
“.....ในเมื่อโลกนี้เป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง และอาจเป็นได้ทั้งโลกนรกและโลกสวรรค์เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมเราจะอนุมานไม่ได้ ว่าโลกอื่นคือดาวนพเคราะห์ดวงอื่นก็อาจจะเป็นได้ทั้งโลกนรกและโลกสวรรค์เช่นเดียวกัน อย่าลืมว่าพระพุทธองค์ตรัสว่า วิญญาณสามารถจากโลกนี้ไปสู่โลกอื่นและจากโลกอื่นมาสู่โลกนี้ได้.....”
ชีวิตที่อยู่ในโอปปาติกะกำเนิดนั้น เป็นชีวิตที่อยู่อีกโลกหนึ่ง คือปรโลกหรือโลกทิพย์ซึ่งไม่ใช่ชีวิตในโลกมนุษย์ หมายถึงพวกเทวดา และพวกนรกนั่นเอง พระพุทธศาสนาถือว่า ชีวิต ย่อมไม่ใช่มีอยู่แต่ในโลกมนุษย์นี้เท่านั้น ย่อมมีอยู่ในดวงอีก หลายดวงบารมีหรือบุญที่แต่ละชีวิตได้ทำไว้จะเป็นผู้ตัดสินว่าจะเกิดในภูมิใด เทวดาย่อมอยู่ในภูมิที่เหนือมนุษย์ นรกก็อยู่หลายขุม มีนรกเย็นนรกร้อนไว้ เป็นแดนสำหรับลงโทษสำหรับลงโทษสัตว์ผู้ทำบาป
นรกและสวรรค์เป็นประสบการณ์เฉพาะตัว
หลักพระพุทธศาสนาแสดงว่า ยังมีดาวดวงอื่นอีกมากในสุริยจักรวาลนี้ นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันเพิ่งจะเห็นและยังมีอีกมากที่นักวิทยาศาสตร์ยังค้นไปไม่ถึง เพราะฉะนั้น จึงไม่สามารถพูดได้ว่า ดาวดวงนี้เท่านั้นมนุษย์และสัตว์โลกอื่นอาศัยอยู่ ดาวดวงอื่นไม่มีสัตว์โลกอาศัยอยู่เลย ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะพูดอย่างนั้นได้ ดาวบางดาวอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์จึงร้อนมาก ถ้าสัตว์โลกที่เกิดอยู่บนดาวดวงนั้นก็เท่ากับเกิดอยู่ในอเวจีมหานรก หรือดาวบางดวงอยู่ไกลดวงอาทิตย์มาก อากาศก็หนาวมาก สัตว์โลกที่เกิดในที่นั้น ก็เหมือนกับเกิดในโลกันตริยนรก
เรื่องเทพเจ้าหรือเทวดา เป็นส่วนหนึ่งใสคำสอนของพระพุทธศาสนา เพราะเป็นการยืนยันถึงการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลกที่ต้องยังท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏ นรกและสวรรค์ซึ่งเป็นที่อยู่ของสัตว์นรกและเทวดาจึงเป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธศาสนาที่สำคัญมิใช่น้อยเช่นกัน และเรื่องนี้มีความสัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกกับเรื่องกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดตามหลักพระพุทธศาสนา สัตว์โลกย่อมเกิดในกำเนิด 4 อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะโอปปาติกะกำเนิดซึ่งหมายถึงเทวดา สัตว์นรกนั้นย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่า เทวดามีจริง สวรรค์ซึ่งเป็นที่อาศัยอยู่ของเทวดามีจริง สัตว์นรกมีจริงนรกซึ่งเป็นที่อาศัยอยู่ของก็มีจริง นรกและสวรรค์ที่ท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์ศาสนาจึงหมายถึงนรกและสวรรค์จริง ๆ ซึ่งเป็นโลกอีกโลกหนึ่งต่างหากจากโลกมนุษย์ เป็นโลกทิพย์ของพวกโอปปาติกะสัตว์อาจเป็นไปได้ว่า สวรรค์เป็นโลกใดโลกหนึ่งที่เจริญรุ่งเรื่องเต็มที่ในจักรวาลนี้ หรือในจักรวาลอื่นส่วนนรกคือโลกที่ลำบากยากเข็ญ หนาวเหลือเกินร้อนเหลือเกินอดอยากเหลือเกิน วิญญาณที่ไปเกิดในโลกนั้น เรียกว่า ตกนรกหรืออาจเป็นไปได้ว่า โลกทิพย์นรกและสวรรค์ที่ละเอียดซ้อนกันอยู่กับโลกมนุษย์นี่เองแต่เป็นโลกที่ละเอียดอ่อนมาก จึงไม่สามารถมองเห็นด้วยตาธรรมดา กายของสัตว์ที่เกิดในโลกทิพย์เป็นกายที่สำเร็จไปจากใจ มีรูปร่างอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ บริบูรณ์ ไม่บกพร่อง แปลว่าพวกกายทิพย์มีร่างกายเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แต่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ ต้องเป็นผู้ที่ได้ตาทิพย์ (ได้อภิญญา 5 หรือ 6 ) จึงสามารถมองเห็น มันเหมือนกับคลื่นวิทยุที่มีอยู่ตลอดเวลาในอากาศรอบตัวมนุษย์ กระแสไฟฟ้าก็มีอยู่ทุกหนทุกแห่งรอบตัวมนุษย์ แต่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตา เมื่อมีเครื่องมือเช่นวิทยุ เครื่องใช้ไฟฟ้านานาชนิด จึงสามารถมองเห็นประจักษ์ได้ว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริงทั่วไปรอบตัวมนุษย์นี่เอง โลกทิพย์คือนรกและสวรรค์ก็เช่นกัน แม้มีอยู่รอบตัวมนุษย์ก็หาปรากฏให้เห็นไม่เพราะขาดอุปกรณ์คือตาทิพย์ที่จะทำให้มองเห็นนรกและสวรรค์นั้น
เรื่องนรกและสวรรค์จึงเป็นเรื่องจริงที่ต้องพิสูจน์ให้เห็นประจักษ์เฉพาะตัว คนที่ไม่เห็นประจักษ์แม้จะศึกษามากและได้รับคำบอกเล่ามามาก ย่อมอาจมีข้อสงสัยไปต่าง ๆ จนกว่าเขาจะประจักษ์ชัดด้วยตัวของเขาเอง
มีเรื่องดีและเรื่องร้ายจะมาบอก
วันนี้จะร้อนมากตอนค่ำจะมองไม่เห็น
ตอนเช้าจะเห็นถนนหนทาง
เง๊อออๆๆ
เนาะ
เรื่องแบบนี้มีด้วยหรือออ
ง๊ะๆๆๆ
ทํานายอดีตตแก่กว่า พ่อ แม่อีกกกกก
งิงิ
555+++++