ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับพระอภิธรรม ๔ สมัย
พระอภิธรรมปิฎก อันเป็นปิฎกสุขุมคัมภีรภาพที่สุดของพระพุทธศาสนา เราควรจะทราบถึงการพัฒนาแห่งพระอภิธรรมในประวัติศาสตร์ ตามมติของข้าพเจ้า (เสถียร โพธินันทะ) ขอแบ่งระยะกาลความเป็นมาแห่งพระอภิธรรมออกเป็น ๔ สมัย ดังต่อไปนี้
๑. สมัยพระอภิธรรมรวมอยู่ในฐานะพระสูตร
สมัยนี้เป็นสมัยที่พระอภิธรรมยังมิได้แยกตัวออกมาเป็นเอกเทศ ยังรวมตัวอยู่ในพระสูตร และยังมิได้ถูกเรียกว่าอภิธรรม ซึ่งพูดให้ถูกแล้วก็คือพระสูตรนี่เอง แต่เป็นพระสูตรซึ่งมีเค้าโครงของพระอภิธรรม อาทิเช่น มหาสติปัฏฐานสูตร , สังคีติสูตร , ทสุตตรสูตร , มหาเวทัลลสูตร , จุลเวทัลลสูตร , สัมมาทิฏฐิสูตร ฯลฯ ซึ่งปรากฏในบาลีทีฆนิกาย , มัชฌิทนิกายและเนื้อธรรมบางหมวดในบาลีสังยุตตนิกายและอังคุตตรนิกาย
--->>> แน่นอนเหลือเกินที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเป็นผู้ให้กำเนิดพระอภิธรรม เช่น ในกรณีที่ทรงแสดงอุทเทสแห่งพระธรรม ครั้นแล้วก็ทรงขยายความออกให้พิสดารเป็นนิเทส ทั้งนี้เพื่อให้เนื้อธรรมละเอียดกระจ่างชัดแก่พระสาวก ซึ่งเป็นเรื่องมีมากมายทั่วไปในพระบาลี และเป็นสาวกภาษิตก็มาก ในมหาสติปัฏฐานสูตรแห่งบาลีทีฆนิกาย มหาวรรค พระบรมศาสดาตรัสกระจายหมวดธรรมแต่ละหมวดของสติปัฏฐานทั้ง ๔ เช่น ในจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ทรงจำแนกลักษณะของจิตไว้ ๑๖ อย่าง คือ สราคจิต, วีตราคจิต, สโทสจิต, วีตโทสจิต, สโมหจิต, วีตโมหจิต, สังขิตตจิต, วิกขิตตจิต, มหัคคตจิต, อมหัคคตจิต, สอุตตรจิต, อนุตตรจิต, สมาหิตจิต, อสมาหิตจิต, วิมุตตจิต, อวิมุตตจิต, ซึ่งทำให้นึกถึงการจัดแบ่งประเภทจิตในพระอภิธรรมปิฎกว่า จะมีเค้ามาจากพระสูตรนี้
อนึ่งในสังคีติสูตรแห่งบาลีทีฆนิกายปาฏิกวรรค เป็นภาษิตของพระสารีบุตรธรรมเสนาบดี อธิบายลักษณะหมวดธรรมตั้งแต่หมวดหนึ่งถึงหมวดสิบ ในหมวดสามว่าด้วยรูปสังคหะ พระสารีบุตรแสดงว่า “รูปสังคหะ ๓ ประการ เป็นไฉน ? คือ สนิทัสสนสัปปฏิฆรูป ได้แก่รูปที่เห็นได้กระทบได้, อนิทัสสนสัปปฏิฆรูป ได้แก่รูปที่เห็นไม่ได้ แต่กระทบได้, อนิทัสสนอัปปฏิฆรูป ได้แก่รูปที่เห็นไม่ได้ กระทบไม่ได้” อย่างนี้มีเค้าเป็นพระอภิธรรมชัด ๆ
**************************************************************************
๒. สมัยพระอภิธรรมเป็นนิเทสของพระสูตร
สมัยนี้ อันที่จริงก็มีมาพร้อมด้วยสมัยแรก แต่เนื่องจากมีลักษณะต่างกันอยู่บ้าง จึงแยกเป็นหัวข้ออีกส่วนหนึ่ง
ก่อนจะอธิบาย จะต้องวินิจฉัยคำ ๒ คำว่าได้แก่อะไร คือคำว่า อภิธมฺเม อภิวินเย ๒ คำนี้มีปรากฏทั้งในพระสูตรและพระวินัยหลายแห่ง เช่น ในกินติสูตรแห่งพระบาลีมัชฌมนิกาย อุปริปัณณาสก์ มีคำว่า อภิธมเม คัมภีร์อรรถกถาแก้ว่า ได้แก่โพธิปักขิยธรรม ๓๗
แต่ในที่บางแห่ง อภิธมฺเม ไม่ได้หมายอย่างในกินติสูตรก็มี เพราะปรากฏว่าในพุทธกาล มีคณะภิกษุผู้เป็นอภิธรรมิกะ เช่น ในมหาโคสิงคสาลสูตร แห่งบาลีมัชฌมนิกาย มูลปัณณาสก์ พระสารีบุตรถามพระโมคคัลลานะว่า ธรรมชาติในป่าโคสิงคสาลวัน จะงามสมกับภิกษุผู้มีคุณรูปอย่างไร ?
พระโมคคัลลานะตอบว่า ถ้ามีพระภิกษุร่วมสนทนาอภิธรรมกถาแก่กันและกันจักพึงงามสมยิ่ง
--->>> อนึ่ง ในวินัยปิฎกมหาวรรคตอนมหาขันธกะ มีพระพุทธพจน์ว่าด้วยองค์กำหนดของผู้ไม่สมควรจะเป็นอุปัชฌายะ ๕ ข้อ มีอยู่ข้อหนึ่งว่า “นปฏิพโล ฯลฯ อภิธมฺเม วิเนตํ น ปฏิพโลติ อต์โถ ฯ อภิวินเยติ สกเล วินยปิฏเก วิเนตํ นปฏิพโลติ อต์โถ ฯ ความว่า ไม่สามารถที่จะแนะนำในนามรูปปริเฉทการกำหนดแยกนามรูป ไม่สามารถที่จะแนะนำในวินัยปิฎกทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น อภิธมฺเม ซึ่งเป็นคำเก่า มีมาในพุทธกาล และพระบรมศาสดาก็ตรัสถึง จักหมายเอาอะไร ?
ข้าพเจ้าใคร่สันนิษฐานว่า หมายเอาธรรมนิเทสซึ่งพระบรมศาสดาไขอรรถแห่งพระพุทธวจนะในรูปอภิปรายปุจฉา-วิสัชนากัน ในการอภิปรายไขอรรถพระพุทธวจนะเพื่อความช่ำชองในอรรถธรรมของพระสาวกนั้น จะต้องมีการตั้งหลักเกณฑ์บางอย่างขึ้นใหม่ เพื่อประกอบการอธิบาย หรือมีการวางแนวอธิบายในหัวข้อประเด็นเดียวแต่มีวิธีที่การที่จะอธิบายต่างกัน ซึ่งปรากฏชัดในสมัยที่พระอภิธรรมได้ถูกรวบรวมขึ้นอีกปิฎกหนึ่ง
--->> อาจมีปัญหาขึ้นว่า คณะภิกษุสุตตันตธรกับภิกษุคณะอภิธรรมิกะต่างกันอย่างไร ? ขอตอบว่า คณะภิกษุสัตตันตธรย่อมดำรงอรรถแห่งพระสูตรทั้งหมด รวมทั้งเรื่องราวของเหตุการณ์บุคคลที่เกี่ยวข้อง ส่วนภิกษุคณะอภิธรรมิกะนั้น จำทรงแต่เฉพาะที่เป็นแก่งธรรมล้วน ๆ ในพระสูตร ซึ่งพระสาวกนำมาปุจฉาวิสัชนาแล้วรวบรวมขึ้นไว้
พูดง่ายๆ คือ พระสูตรเป็นเรื่องราวของบุคคลาธิษฐานเจือธรรมาธิษฐาน ส่วนพระอภิธรรมนั้นเป็นธรรมาธิษฐานล้วน อภิธมเม ในสมัยนี้มีตัวอย่างให้เห็นได้ คือ คัมภีร์มหานิทเทส จุลนิทเทส และปฏิสัมภิทามัคค์ ทั้ง ๓ คัมภีร์ได้แยกตัวออกจากพระสูตร สงเคราะห์เข้าใน ขุททกนิกาย คัมภีร์มหานิทเทส, จุลนิทเทศ แต่งอธิบายธรรมะในสุตตนิบาต ตอนอัฏฐวัคคิกะกับตอนปรายนวรรค ส่วนคัมภีร์ปฏิสัมภิทามัคค์อธิบาย ปรมัตถธรรมที่สุขุมมาก ในฝ่ายสันสกฤตนิกายสรวาสติวาท ก็มี อภิธมเม รูปเค้าเดียวกัน คือคัมภีร์อภิธรรมสังคีติบนนยายปาทศาสตร์ของพระสารีบุตรและคัมภีร์อภิธรรมสกันธปาทศาสตร์ ของพระโมคคัลลานะ, ที่ว่าเหมือนกันก็คือ คัมภีร์ทั้งสองมีลีลาแก้พระสูตรอีกทีหนึ่ง
--->>> ส่วน อภิวินเย หรืออภิวินัย ก็ได้แก่การปุจฉาวิสัชนา อธิบายอรรถะแห่งพระวินัย ถ้าจะชี้ก็ขอชี้คัมภีร์ มหาวิภังค์, ภิกขุนีวิภังค์ และคัมภีร์บริวาร มหาวิภังค์และภิกขุนีวิภังค์ ยังเจือพุทธพจน์ กับถ้อยคำของพระสาวกสาวิกา อธิบายพระพุทธพจน์อีกต่อหนึ่ง ส่วนคัมภีร์บริวาร เป็นประชุมอธิบายข้อความสำหรับวินิจฉัยพระวินัย ตั้งเป็นรูปกระทู้แล้วอธิบายมีลักษณะเป็นอภิวินัยอย่างสมบูรณ์
**************************************************************************
๓. สมัยแยกจากพระสูตรเป็นอีกปิฎกหนึ่ง
แม้ อภิธมฺเม อภิวินเย จะมีมาสมัยเดียวกันก็จริง แต่เนื่องด้วยเรื่องของวินัยเป็นระเบียบแบบแผนกำหนดไว้ ไม่สู้จะมีปัญหาที่ต้องขบให้พิสดาร ผิดกับความคิดและทัศนะทางธรรมะ ซึ่งมีอาณาบริเวณแห่งจินตนาการกว้างขวางมาก ตามความรู้ความเข้าใจของบุคคล ฉะนั้นเรื่อง อภิธมฺเม จึงพัฒนาไปไกลกว่าเรื่อง อภิวินเย
ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑-๓ พระสาวกได้รวบรวมข้ออภิปรายธรรมนิเทสต่างๆ จัดขึ้นเป็นปิฎกที่สามคืออภิธรรมปิฎก ต่างคณะต่างรวบรวม ฉะนั้น พระอภิธรรมปิฎกของนิกายต่างๆ จึงหาเหมือนกันไม่
แต่ปัจจุบันนี้ อภิธรรมปิฎกยังคงเหลืออยู่ ๓ นิกาย ที่เรียกได้ว่าพอแก่การศึกษา คือพระอภิธรรมปิฎกฝ่ายบาลีของนิกายเถรวาทหนึ่ง พระอภิธรรมปิฎกฝ่ายสันสกฤตของนิกายสรวาสติวาทหนึ่ง, และพระอภิธรรมปิฎกของลัทธิมหายานหนึ่ง
-->> สำหรับฝ่ายเถรวาทมีสมบูรณ์กว่าเพื่อน คือมีพร้อมทั้งอรรถกถา, ฎีกา, อนุฎีกา, และโยชนา
--> ฝ่ายสันสกฤตอันดับสองมีแปลสู่จีนพากย์เป็นส่วนมาก
--> ฝ่ายสันสกฤตอันดับสามก็แปลรักษาไว้ในจีนพากย์ไว้ได้มาก แต่พระอภิธรรมของลัทธิมหายานเป็นของกำเนิดขึ้นเมื่อพุทธศตวรรษที่ ๕ ล่วงแล้ว และไม่จัดเป็นปิฎก เพิ่งมาจัดขึ้นต่อภายหลังอีกนานเรียกกันว่า “ศาสตร์” (หลุง) เป็นรจนาของคณาจารย์ต่างๆ แห่งมหายาน มีพระนาคารชุน, พระอสังคะ, พระวสุพันธุ, เป็นอาทิ
ฉะนั้น ถ้าจะว่าไปแล้วก็เหลือพระอภิธรรมปิฎก ๒ นิกายเท่านั้น คือนิกายเถรวาทกับนิกายสรวาสติวาท ที่จัดได้ว่าเป็นของเก่าสืบมาแต่สมัยที่สอง
**************************************************************************
๔. สมัยรวบรวมสารัตถะแห่งพระอภิธรรม
จำเดิมนับแต่มีพระอภิธรรมขึ้นเป็นเอกเทศ รวมเป็นพระไตรปิฎกโดยสมบูรณ์แล้ว พัฒนาการแห่งความคิดในหลักธรรมก็ยิ่งเจริญไปไกล
คณาจารย์ฝ่ายอภิธรรมิกะได้ขยายแนวอธิบายสภาวธรรมตามทัศนะของท่านให้พิสดารกว้างขวาง และมีการโต้แย้งมติในระหว่างคณาจารย์ด้วยกัน ละเอียดซับซ้อนออกไปเรื่อยๆ จึงเป็นการยากแก่นักศึกษาที่มีเวลาจำกัดในการซึมซาบพระอภิธรรมได้ ฉะนั้น จึงมีคณาจารย์ที่เล็งเห็นความลำบากในเรื่องนี้ ได้เก็บเอาสารรัตถะสำคัญแห่งพระอภิธรรมปิฎกออกมาเรียบเรียงใหม่ให้ย่นย่อ เพื่อเป็นอุปกรณ์พาให้นักศึกษาเข้าถึงปิฎกนี้โดยง่าย คัมภีร์ประเภทนี้มักแต่งด้วยคาถาอันไพเราะ สะดวกแก่การท่องจำ และมีคำอธิบายอรรถกถากำกับด้วยเป็นร้อยแก้ว บางทีก็รจนาเป็นความเรียงอธิบายพระพุทธพจน์บทใดบทหนึ่ง
ในนิกายเถรวาท คัมภีร์ประเภทนี้มีชื่อโด่งดังมาก เห็นจะเป็น “วิสุทธิมัคค์ปกรณพิเศษ” ของพระพุทธโฆษะ “อภิธัมมาวตาร” ของพระพุทธทัตตะ และ “อภิธัมมัตถสังคหะ” ของพระอนุรุธาจารย์
ในฝ่ายนิกายสรวาสติวาทก็มี “สังยุตตาภิธรรมหฤทัย” ของพระธรรมตร “อภิธรรมโกศะ” ของพระวสุพันธุ เป็นต้น
ต่อมานักศึกษาปกรณ์เหล่านี้ ยังเห็นว่าบางตอนท่านกล่าวไว้รวบรัด ยากที่จะเข้าใจ จึงเกิดมีคันถรจนาจารย์อีกพวกหนึ่ง แต่งขยายอรรถที่ลี้ลับในปกรณ์ดังกล่าวออกมาอีก
--->>> พระอภิธรรมมีลักษณะพิเศษ ประกอบด้วยทฤษฎี และกฎเกณฑ์ทางสภาวธรรมอย่างพิสดารเป็นวิทยาศาสตร์ทั้งด้านนามและด้านรูป และเป็นอภิปรัชญา ซึ่งไม่มีในคัมภีร์ของศาสนาอื่นใด ฉะนั้นอภิธรรมจึงต้องศึกษาด้วยการถ่ายทอดทำความเข้าใจเป็นพิเศษจากอาจารย์ ก็ผู้ที่จำทรงในพระอภิธรรมปิฎกได้ ข้าพเจ้ารับรองได้ว่า ผู้นั้นจะไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ จักทวีศรัทธาปสาทะในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น เป็นโชคดีของวงการปริยัติศึกษาของเรา ได้สนใจเล่าเรียนพระอภิธรรมแพร่หลาย จึงนับเป็นลาภอันประเสริฐต่อพุทธบริษัทผู้ใคร่ในการศึกษาทั้งหลายโดยแท้…
**************************************************************************
ข้อมูลจาก หนังสือ คดีธรรม-คดีโลก : เสถียร โพธินันทะ
ไม่มีความเห็น