นมัสการหลวงพี่ BM.chaiwut
ขอบคุณมากๆครับ หลวงพี่
ได้รับพร ได้รับคำสอนครั้งนี้ประเมินค่าไม่ได้ครับ
วิธีการแรก คิดเป็นประเด็น คิดเชื่อมโยง และคิดให้เกิดผล... นั่นคือ คิดแต่ละประเด็นหรือแต่ละจุดละเรื่องให้ละเอียดลออ แล้วก็คิดเชื่อมโยงจากประเ็ด็นหนึ่งหนึ่งไปหาอีกประเด็นหนึ่ง แล้วก็คิดให้เกิดผล โดยการถักทอสิ่งที่เชื่อมโยงเหล่านั้นให้เกิดเป็นรูปร่างขึ้นมาให้ได้...
ฟังเค้าว่า หาดใหญ่เจริญขึ้นมาได้โดยวิธีคิดธรรมดาๆ ง่ายๆ ของใครหนึ่งว่า จีนกลัวโจร โจรกลัวนาย นายกลัวจีน... คนจีนคิดเรื่องทำมาค้าขายเก่ง ดังนั้น ต้องชักนำจีนมาอยู่หาดใหญ่... แล้วก็ให้เด็กๆ ไปคอยลักขโมยของจีน ทำให้นาย (ตำรวจและเจ้าหน้าที่บ้านเมือง) ต้องเข้ามาเพื่อใช้วิธีการปราบโจร... ส่วนนายได้รับความช่วยเหลือจากจีน จึงเกรงใจจีน... ขณะที่คนคิดก็ค่อยๆ ส่งคนเข้าไปสอดแทรกช่องว่างเหล่านี้...
ผมอยากแลกเปลี่ยนหลวงพี่ดังนี้ครับ
ความคิดเชิงระบบ ความเข้าใจผม เป็นความคิดว่าด้วยความสัมพันธ์ สรรพสิ่งมีความสัมพันธ์กัน และขัดแย้งกัน
ไม่มีโจรก็ไม่มีตำรวจ ไม่มีคนรวยก็ไม่มีคนจน(โจร) ไม่มีคนรวยจนไปหมดก็ไม่ต้องมีตำรวจ
แต่ทั้งหมดก็ขัดแย้งกันไปหมด การจัดความสัมพันธ์ใหม่ที่หลวงพี่ว่ามานั้นก็สามารถแก้ปัญหาได้พอสมควร จีนกลัวโจร โจรกลัวนาย นายกลัวจีน
สองอย่างข้างต้นนั้น เป็นความคิดเชิงระบบ แต่ฝ่าย ปรัชญาอัตถิภาวนิยม ไม่ยอมรับ เพราะพวกเค้าให้ความรู้สึกส่วนตัวมากกว่าความคิดเชิงระบบ ให้ความสำคัญเสรีภาพมากกว่าระเบียบกฎเกณฑ์ และให้ความสำคัญเฉพาะบุคลมากกว่าชุมชุนหรือสังคม... วิธีคิดของกลุ่มนี้น่าสนใจ เพราะมักจะคิดสิ่งแปลกๆ ออกมาได้ โดยไม่ถูกครอบงำด้วยความคิดเชิงระบบ กฎเกณฑ์ และชุมชน หรืออื่นๆ ...
ถ้าไม่น่าเกลียดนัก ผมอยากแก้คำบางคำในประโยคนี้ครับ
สองอย่างข้างต้นนั้น เป็นความคิดเชิงระบบ แต่ฝ่าย ปรัชญาอัตถิภาวนิยม ไม่ยอมรับ เพราะพวกเค้าให้ความรู้สึกส่วนตัวมากกว่าความคิดเชิงระบบ ให้ความสำคัญเสรีภาพ ส่วนตน มากกว่าระเบียบกฎเกณฑ์ และให้ความสำคัญเฉพาะบุคลมากกว่าชุมชุนหรือสังคม... วิธีคิดของกลุ่มนี้น่าสนใจ เพราะมักจะคิดสิ่งแปลกๆ ออกมาได้ โดย ปฏิเสธ ความคิดเชิงระบบ กฎเกณฑ์ และชุมชน หรืออื่นๆ ...
ขอโทษนะครับหลวงพี่ ซึ่งผมอยากยกตัวอย่างง่ายๆขึ้นมาครับ
ร้านค้า และ ลูกค้า หรือ ผู้ให้บริการ และ ผู้รับบริการ
สองสิ่งที่ได้พูดถึงเป็นคู่ความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกันในตัว
ไม่มีร้านค้า ไม่มีผู้ให้บริการ ก็ไม่มีทั้งลูกค้าและผู้รับบริการ
ร้านค้าต้องเอาใจลูกค้า ลูกค้าก็ให้การสนับสนุนร้านค้า ผู้ให้บริการต้องเอาใจผู้รับบริการ ผู้รับบริการก็ตอบสนองที่ดีกับผู้ให้บริการ
แต่มันเป็นเพียงเงื่อนไขเบื้องตัน สภาพการที่พัฒนาไป เช่น ร้านค้ามีลูกค้ามากขึ้น ผู้ให้บริการมีผู้รับบริการมากขึ้น เงื่อนไขเดิมเปลี่ยนก็จะก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่นอน เช่น ร้านค้าเอาใจลูกค้าน้อยลง หรือเอาใจลูกค้าบางคนที่เป็นกรณีพิเศษ หรือ ผู้ให้บริการก็เป็นทำนองนี้เช่นกัน
มันหยุดเพียงแค่นี้ไหม ไม่ใช่ ที่ว่าไว้สรรพสิ่งก็พัฒนาไปไม่หยุดนิ่ง.........................คงจะต้องนึกภาพต่อกันครับ จะไม่ลงรายละเอียดมากกว่านี้
คู่สัมพันธ์และความขัดแย้งก็พัฒนาไป เรามาคิดกันครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก
ถ้าเราคิดในเชิงระบบดั่งหลวงพี่ว่า การมองและการแก้ปัญหาคงไปได้ถูกจุด รู้ว่าถ้ามีปัญหาระหว่างสองสิ่งจะแก้ด้วยวิธีอย่างไร
ถ้าเราคิดแบบ ปรัชญาอัตถิภาวนิยม การแก้ปัญหาก็แตกต่างกันไป เราไม่สามารถคาดเดาอะไรจะเกิดขึ้น ดั่งที่เราได้ยินบ่อยๆว่า
เฮ้ย ........เดี๋ยวนี้เขาไม่สนใจเราแล้วหละ นี่ขนาดเป็นลูกค้าประจำนะ สงสัยมันรวยแล้ว
ปรัชญาอัตถิภาวนิยม สามารถบันดาลเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นเพราะเขาคิดว่า ของกู ต้วกู กูเหนื่อยมานานแล้วยังต้องเอาใจอะไรกันอีกขาดไปซักคนก็ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไร เขาจะปฏิเสธ ความสัมพันธ์โดยสิ้นเชิง
ขอบคุณครับหลวงพี่ ผมขยายความซะยาวหลวงพี่คงไม่เบื่อนะ