“อิฐนี้ค่าของมันไม่มาก แต่ความสามัคคี และการช่วยเหลือกันมีค่ามากกว่านัก”.....
ผมยังตื่นเต้นกับบทบันทึกของสิงห์ป่าสักไม่หายที่เขียนเรื่อง เรียนรู้วัฒนธรรมชุมชน : การทำถืมตอง (ที่นี่) เพราะมันสะท้อนคุณค่าอันสูงส่ง และหายากยิ่งในสังคมเมือง และสังคมโดยรวมก็ร่อยหรอลงไปมากแล้ว ผมขออนุญาต นำส่วนสำคัญ ของบทบันทึกนี้มาลงซ้ำอีกครั้งดังนี้
……………………………………..
“จากการเข้าไปมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมนี้ร่วมกับชาวบ้าน จึงได้รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นวัฒนธรรมของท้องถิ่นคนเมืองเหนือที่ได้สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน คนเฒ่าคนแก่ยังพร้อมแรงแข็งขันที่จะร่วมมือกันสร้างเองค่าใช้จ่ายจะถูกกว่าการเช่าเต้นท์ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการลงแรงกันเอง ตั้งแต่การช่วยกันตัดไม้ไผ่ ไม่ว่าจะเป็นไม้ไผ่สีสุก ไม้ไผ่รวก ไผ่บงที่แต่บ้านมีกันอยู่แล้ว รวมไปถึงการนัดหมายกันออกไปเก็บใบตองตึง(ยางพลวง) เพื่อนำมาทำหลังคาชั่วคราวของบริเวณพิธี ซึ่งการที่ไม่ยอมปรับเปลี่ยนไปเป็นการใช้เต้นท์ก็เพราะว่าการร่วมมือร่วมแรงกันนี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และสิ่งที่แฝงอยู่ในกิจกรรมเหล่านี้ก็คือมิติทางด้านสังคมที่ประมาณค่ามิได้
เมื่อได้มีโอกาสเข้าไปร่วมกิจกรรม จึงได้เรียนรู้ว่าในการทำหลังคาบริเวณที่พักสำหรับผู้มาร่วมงานนั้น ต้องมีการวางแผนและร่วมมือกันอย่างจริงจังเป็นเวลาล่วงหน้าแรมเดือนครับ คนจำนวนคนเฒ่าคนแก่ก็จะมีแม่งานที่ถนัดกันคนละอย่าง แต่ทุกๆ อย่างก็จะลงมือช่วยกัน ทำให้ได้เรียนรู้ในส่วนที่เกี่ยวข้องไปในตัว (อิอิ....ชาวบ้านเขาจัดการความรู้กันอย่างเป็นธรรมชาติมานานแล้ว)
................................................
สำหรับผมนั้นเห็นสิ่งเหล่านี้มิใช่เรื่องธรรมดาแต่เป็นสิ่งวิเศษ เพราะผมเห็นในสิ่งที่มากไปกว่าสิ่งก่อสร้างและพิธีกรรมที่เกี่ยวเนื่องนี้ คือ
¯ เป็นกิจกรรมสังคมที่รวมพลคนในหมู่บ้านหรือแม้แต่ต่างหมู่บ้านมาทำงานร่วมกันที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณีของท้องถิ่น ซึ่งสังคมเมืองหายากเต็มที ตัวใครตัวมัน
¯ เป็นกิจกรรมที่เสริมสร้างทุนทางสังคม ในแนวราบ การที่คนจำนวนมากมาร่วมกันทำเรื่องราวทางจิตใจนั้น มีแต่การเอื้ออาทรกัน พึ่งพาอาศัยกัน สามัคคีกัน ฯลฯ ล้วนแต่เป็นแรงเกาะเกี่ยวในระดับรากเหง้าของสังคม
¯ คนที่มาครั้งนี้ มาทุกกลุ่มทุกเพศ ทั้งคนเฒ่าคนแก่ ซึ่งเป็นหลักนำของกิจกรรมทางประเพณี คนหนุ่มสาวที่มาสืบสานต่อกิจกรรม มารับรู้ เรียนรู้และสืบทอดจิตวิญญาณทางสังคม มีเด็กๆติดตามมา ก็มาซึมซับวิถีปฏิบัตินี้เข้าไปภายใน ครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้เฒ่าผู้แก่จะสั่งสอนแนะนำสิ่งที่ควรสิ่งที่ไม่ควรต่างๆแก่ลูกหลาน นี่คือการส่งต่อทางวัฒนธรรม
¯ กิจกรรมเหล่านี้เป็นกิจกรรมที่เสริมสร้างบุคลากรทางโครงสร้างสังคมพื้นบ้านมากกว่าโครงสร้างสังคมทางการปกครอง เช่น พ่อเฒ่าจ้ำ หมอธรรม หรือผู้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ทางประเพณีท้องถิ่น ได้มีบทบาททางสังคม ซึ่งนับวันบทบาทของบุคลากรเหล่านี้จะลดลงไปเรื่อยๆทั้งที่ท่านเหล่านี้คือแกนอันสำคัญต่อการสานต่อทุนทางสังคม
¯ เป็นกิจกรรมที่เสริมค่าทางใจแก่ชาวชุมชน เมื่อเข้าร่วมงานแล้ว ได้ปฏิบัติตามประเพณีแล้วมันอิ่มเอิบใจ สุขใจ สบายใจ ชุ่มชื่นใจ ยิ่งนัก ดั่งน้ำทิพย์ชโลมจิตใจคนในชุมชนให้ร่มเย็นผาสุข
¯ ผมเห็นว่านี่คือองค์ประกอบหลักอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในหลักการพอเพียง เพราะความพอเพียงนั้นเป็นเรื่องปัจเจก แต่ปัจเจกอยู่ไม่ได้ หรืออยู่อย่างลำบาก หากสังคมเอารัดเอาเปรียบและไร้ทุนทางสังคม คนต้องมีสังคม คนในชนบทจะพอเพียงได้ต้องอยู่ในสังคมแบบนี้ด้วย สังคมที่มีทุนทางสังคมอันอุดม
ขอน้อมนำคำกล่าวของท่านพุทธทาสมาในที่นี่ ดังนี้ พระภาวนาโพธิคุณศิษย์ท่านพุทธทาสและเป็นเจ้าอาวาสสวนโมกข์ในปัจจุบันท่านบรรยายไว้ว่า ...”ครั้งหนึ่งอาตมาพบว่าอิฐขนอมมีคุณภาพดี ท่านอาจารย์ให้ไปซื้อมา เอาเรือใหญ่ใช้เรือเล็กจูง มาค่ำที่บ้านดอน เรือเกยตื้นที่พุมเรียง วันรุ่งขึ้นน้ำแห้ง วันต่อมายิ่งน้ำลด อาตมาก็บอกท่านอาจารย์ แทนที่ท่านจะตำหนิ ท่านพาพระมาหมดวัดเลยไปช่วยเหลือกัน เอารถอีแต๋นไปขนอีกด้วย พระหลายรูปโดนปลากระเบนแทง ท่านก็ช่วยหายาไปให้ และท่านไปนอนตากยุงอยู่ที่นั่นด้วย เวลาทุกข์ยากท่านไม่หนีและไม่ตำหนิ ท่านพูดให้กำลังใจว่า .. “อิฐนี้ค่าของมันไม่มาก แต่ความสามัคคี และการช่วยเหลือกันมีค่ามากกว่านัก”..... เรือติดอยู่สามวันก็ช่วยกันสำเร็จ *
ผมนึกถึงความหมายถืมตองเช่นเดียวกันว่า ..“คุณค่าของ..ถืมตอง..นั้นไม่มากนัก แต่คุณค่าของการร่วมกันทำอย่างสามัคคีของชาวบ้านนี่ซิ มีคุณค่ามากมายนัก” ..
สำหรับเราคนเมือง หรือกึ่งเมืองกึ่งชนบทนั้น การร่วมกันจัดกิจกรรม เฮฮาศาสตร์ แต่ละครั้งนั้น คุณค่าทางใจนั้นมากมายนัก..
ช่วยกันรักษา ถนอม เสริมสร้างร่วมกันเถิด ขณะที่สังคมโดยรวมคุณค่านี้ถดถอยลงไปมากแล้ว...
-----------
* จากหนังสือ “ร้อยคนร้อยธรรม 100 ปี พุทธทาส, เนื่องในหนึ่งศตวรรษชาตกาลท่านพุทธทาสภิกขุ, มีนาคม 2549, หน้า 32.
มัวยุ่งกับ น้องหมา และงานแต่งงานหลานครับ มาตอบช้าหน่อย ในเขตภาคเหนือมั้งหมดจะรู้จักการทำ "เพิง" หรือ "โรง" แบบนี้ สำหรับรับเพื่อนบ้านจากใก้เคียงหรือห่างไกลก็แล้วแต่ มาร่วมประเพณี ก็มานั่งกันในนี้ อาจจะแบ่งกลุ่มกันว่าคุ้มบ้านเหนือนั่งตรงนั้นตรงนี้ ครับ เราโตขึ้นมาเราเห็นคุณค่าสิ่งเหล่านี้ สมัยเด็กๆ หรือวัยรุ่นเห็นแต่ไม่เข้าใจ เข้าใจแต่ไม่ลึกซึ้งมากเท่าวันนี้ ครับป้าแดง
สานต่อสิ่งดีดีเหล่านี้ต่อไป