เรื่องเล่าจากการประชุมทำความเข้าใจแกนนำชุมชนโครงการศูนย์ข้อมูลเครือข่ายความรู้ภาคประชาชนจังหวัดระยอง
2 พฤษภาคม 2549 ณ ที่ทำการชุมชนลุ่มน้ำประแสร์ เวลา
10.00-15.00
คณะของเราซึ่งประกอบด้วย พี่ดนัย คุณรัชพล (สุภรัฐ)
คุณนณพรรณ และน้องสาวตัวเล็ก และผม (สวัสดิ์)
รวมทั้งผู้ใหญ่ชาติชายที่เราแวะรับในตลาดแกลง
เดินทางมาถึงที่ทำการของเครือข่ายชุมชนลุ่มน้ำประแสร์ 4
ตำบลหลังคณะของ พอช. ที่ประกอบด้วยคุณธนวิทย์ คุณอภินันท์ คุณปรกฤต
ซึ่งติดรถของ พอช. มาจากกรุงเทพฯ รวมทั้งคณะทำงานของ พอช. อีก 4
ท่าน
เวลาที่พวกเราเดินทางมาถึงเป็นเวลาใกล้ 10 นาฬิกา แล้ว ท่าน (อดีต)
ผู้ใหญ่สอิ้ง
ซึ่งเป็นแกนนำของเครือข่ายชุมชนลุ่มน้ำประแสร์ออกมาต้อนรับผู้มาเยือนด้วยชุดประจำถิ่นที่เป็นกางเกงชาวเลซึ่งมีทรงคล้ายกางเกงขาบานในยุค
70 มองดูแตกต่างจากกางเกงชาวเลของปากพนังตรงที่
ของปากพนังขาสั้นและบานกว่า
เมื่อพวกเราเข้ามานั่งในศาลาที่ทำการของชุมชนฯ ซึ่งมีคณะของ พอช.
และแกนนำชุมชนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
การสนทนาก็เริ่มดำเนินขึ้นโดยคุณปรกฤต
ผู้ที่มีความโดดเด่นในเรื่องการดำเนินงานให้เป็นทางการ
มีความชัดเจนตามแบบฉบับนักวิชาการตัวจริง
หลังจากที่ล้มเหลวในการให้ผมเป็นผู้ดำเนินรายการ
เพราะเห็นท่าว่าผมจะพาชาวบ้านออกนอกเรื่องมากกว่าที่จะพูดคุยให้ตรงประเด็นและชัดเจน
คุณปรกฤตทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม
ประกอบกับมีผู้ใหญ่ชาติชาย คุณรัชพล คุณธนวิทย์ และคุณอภินันท์
ช่วยผมให้รอดชีวิตจากเวทีแรกมาได้
เพราะถ้าปล่อยให้ผมพูดชี้แจงทำความเข้าใจแกนนำ
แทนที่แกนนำจะเข้าใจผมเกรงว่าแกนนำจะวกวนอยู่ในเขาวงกตจนหาทางออกไม่ได้
ประเด็นนี้อาจถูกในมุมมองของนักวิชาการ
ที่สรุปเอาจากการคาดเดาโดยเหตุผลที่ตัวเองยกมาอ้าง
แล้วก็หาเหตุผลอีกชุดหนึ่งมาอ้างอีกเพื่อหาความชอบธรรมให้เหตุผลชุดแรก
จึงทำให้เชื่ออย่างสนิทใจว่าข้อสรุปนั้นถูกต้องอย่างไม่มีข้อสงสัย
ในทัศนะของผม ซึ่งผมประจักษ์ด้วยตนเองแล้วว่า
ผู้ที่เชื่อว่าและเรียกตัวเองว่า “นักวิชาการ”
ไม่ใคร่จะปลื้มนักในทัศนะของผม ที่เห็นว่า
เรื่องของชุมชน เรา
(ยิ่งอยู่ในฐานะผู้อำนวยการโครงการอย่างผมด้วยแล้ว) ไม่รู้
หรือรู้ให้น้อยที่สุดจะเป็นประโยชน์กับชุมชนมากกว่า
แต่ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า
เรามาทำงานเพื่อให้ชุมชนเข้มแข็ง
ไม่ใช่ห่วงแต่เป้าหมายของตัวเอง
จนชุมชนไม่มีโอกาสเรียนรู้จากการได้คิดเอง ทำเอง
โดยปลอดจากการครอบงำและการชี้นำ
ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม อย่างไรก็ตาม
เจตนาของผมดูเหมือนนักวิชาการจะมองไม่เห็น
รวมทั้งผมก็จะไม่ชี้ให้นักวิชาการเห็นเจตนาของผม
เพราะผมก็ต้องการให้นักวิชาการได้เรียนรู้เหมือนกัน
สรุปว่า ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร
สิ่งที่เราได้แน่นอนคือการเรียนรู้ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม
ในวงสนทนา ผมอยู่ในฐานะตัวประกอบตามที่ผมต้องการ
แม้คุณปรกฤตจะพยายามชงให้
ผมก็ดูเหมือนจะพาออกจากความชัดเจนตลอดเวลา
โดยเฉพาะเมื่อคุณปรกฤตชงลูกมาว่า “ในฐานะผู้อำนวยการโครงการ
ผมอยากให้ ดร.สวัสดิ์
พูดถึงประโยชน์ของศูนย์ข้อมูลที่ชุมชนจะได้รับหน่อย”
ผมอาจทำให้หลายคนช็อก เมื่อผมตอบว่า
“ผมไม่รู้หรอกว่าศูนย์ข้อมูลจะมีประโยชน์หรือไม่
เพราะผมไม่ใช่คนทำข้อมูล ผมไม่ใช่คนใช้ข้อมูล
อีกทั้งศูนย์ข้อมูลก็ยังไม่เกิดขึ้น
ที่เราพูดมาเสียยืดยาวในหลักการและเหตุผลนั้น
อย่านำมากล่าวอีกเลย มันน่าเบื่อ
เพราะเราเองก็ไม่รู้หรอกว่า มันจะเป็นจริงหรือเปล่า
เราเพียงคาดเดาไปเองเท่านั้นแหละ” ผมยอมรับตรง ๆ
เลยครับว่า ที่ผมพูดออกไป ผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ
ผมใช้เหตุผลน้อยมากเมื่อผมเปลี่ยนมาทำงานกับชุมชน
ซึ่งผมก็ไม่ยืนยันว่าผมจะทำอย่างนี้ตลอดไป
ประสบการณ์คงจะสอนผมเองครับว่า
ผมควรจะเดินไปในทิศทางใดระหว่างเหตุผลหรือความรู้สึก
คนในวงสนทนา ยอมให้ผมแสดงความรู้สึกได้สักพัก
ก็มีหลายคนพยายามช่วยชีวิตผมไว้ครับ
ขอบคุณท่านเหล่านั้นที่เป็นห่วงครับ
คุณธนวิทย์พยามยามผมดึงเข้ามาสู่ลู่ทาง โดยถามนำว่า
“ประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นน่ะมีอะไรบ้าง”
ผมจึงพยายามเปิดไปอ่านในตอนที่ว่าด้วย “ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ”
ผมดึงเวลาอยู่นาน ความพยายามจึงเป็นผลครับ
ไม่ใช่ผมได้อ่านในสิ่งที่หาหรอกครับ
แต่เป็นเสียงจากแกนนำชุมชนตัวจริง ผู้ใหญ่ชาติชายครับ
คนที่ผมรอคอยให้เป็นคนพูดเรื่องนี้
แต่ถ้าผมจะเชิญให้พูดดูจะไม่เป็นธรรมชาติ
เพราะผู้ใหญ่ชาติชายมักไม่ค่อยจะพูดถ้าไม่มีใครเชิญ
ท่านคงเห็นผมกำลังจะจมน้ำครับ จึงโดดลงมาช่วย
ผู้ใหญ่ชาติชายจึงร่ายยาวประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับชุมชนอีกคำรบหนึ่ง
หลังจากที่ช่วยผมชี้แจงหลักการและเหตุผลไปรอบใหญ่แล้ว
มนต์ของผู้ใหญ่ชงัดนักครับ
ผมเห็นประกายตาฉายออกมาจากแกนนำชุมชนแทบทุกคน
แววตาดังกล่าวบ่งบอกถึงความซาบซึ้งและความคล้อยตาม
แสดงว่าสมมติฐานของผมถูกต้องครับ ที่ว่า เรื่องของชุมชน
เราที่เป็นคนนอกแม้จะมีดีกรีสูงเพียงขนาดไหนก็ตาม
ไม่ควรพล่าม ให้ชุมชนพูดออกมาเอง จะได้ผลกว่า
นี่เป็นบทเรียนที่ผมอาจจะหาโอกาสนำไปใช้ในโอกาสต่อไป
หากไม่มีใครจับได้เสียก่อน
แต่ก็ขอบคุณผู้ใหญ่ที่ช่วยผมให้รอดทุกที
เพราะถ้าผู้ใหญ่ไม่ช่วย ผมคงจมน้ำตายจริง ๆ ครับ
เพราะผมยอมรับว่าผมไม่รู้จริง ๆ
ผมเบื่อที่จะท่องสิ่งที่ผมเขียนมาบอกชาวบ้านครับ
ผมจะเบื่อตัวเองมากหากทำอย่างนี้
หลังจากที่ผู้ใหญ่ชาติชายพูดถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับชุมชน
วงสนทนาของเราโชคดีที่ได้มีโอกาสรับคำแนะนำจากผู้ใหญ่สมศักดิ์
แกนนำชุมชนตำบลสองสลึง
ผู้ที่เป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนตัวอย่างหนึ่งของระยอง
คำพูดของท่านทำเอาผมแอบสำลักเล็ก ๆ โดยเฉพาะคำว่า “ลิเกเร่”
ท่านขยายความเรื่องลิเกเร่ว่า “นักพัฒนาทั้งหลาย
ประดุจดั่งลิเกเร่ ที่เปิดวิกแสดง เก็บเงินค่าวิก
ลิเกจบแล้วก็จากไป” ท่านกล่าวต่อไปว่า
“เราอย่ามัวแต่เป็นลิเกเร่อยู่เลย เปิดวิกถาวรเสีย
แสดงให้ดี แล้วคนดูเขาจะมาหาเอง อย่างที่ผมกำลังทำอยู่
แต่ก่อนผมก็เคยเป็นลิเกเร่เหมือนกัน” (แม้จะโค้ดเป็นคำพูด
แต่เป็นโค้ดโดยใจความ
ผู้ใหญ่สมศักดิ์อาจไม่ได้กล่าวถ้อยคำโดยตรง
แต่ผู้เล่าจับใจความเป็นสำคัญ)
ผู้ใหญ่ให้ข้อคิดกับพวกเราว่า
“ศูนย์ข้อมูลต้องมีศูนย์ที่ทำให้เห็นความสำเร็จเป็นต้นแบบสักแห่งก่อน
ชุมชนจึงจะบอกได้ว่ามีประโยชน์หรือไม่อย่างไร”
ข้อนี้ได้รับเสียงสนับสนุนจากการนำชุมชนคนอื่น ๆ หลายคน
แล้วผู้ใหญ่ก็กล่าวต่อไปว่า “ทาง พอช.
ควรจะมีเจ้าหน้าที่ลงไปเก็บข้อมูลที่มีอยู่เต็มไปหมดในชุมชน
แต่ชาวบ้านไม่ถนัดที่จะเก็บข้อมูล
หากมีคนลงไปเก็บจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องมากกว่าชาวบ้านเก็บเอง”
ประเด็นทั้งสองที่ผู้ใหญ่เสนอ คุณปรกฤต
ผู้ดำเนินรายการน้อมรับ โดยผมเสริมว่า
“ความคิดของผู้ใหญ่เป็นแนวคิดที่ก้าวหน้ากว่าพวกเรามาก
ในเรื่องศูนย์ข้อมูล
เพราะผู้ใหญ่ไปถึงขั้นที่ต้องการคนลงไปถอดบทเรียนที่เป็นข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่นแล้ว
แต่ของเราเพิ่งเริ่มต้นที่ข้อมูลพื้นฐานเท่านั้นเอง” ผมเสริมต่อไปว่า
“อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ผู้ใหญ่เสนอ
ก็มีอยู่ในศูนย์ข้อมูล คือ ข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่น
แต่เรา (ศูนย์ข้อมูล)
อยากให้ชุมชนเรียนรู้กันไปในเรื่องดังกล่าว”
ผมสังเกตเห็นว่าผู้ใหญ่มีความยินดีที่ได้ยินคำกล่าวเช่นนั้นเพราะผู้ใหญ่มีรอยยิ้มบนใบหน้า
(ความจริงแล้วผู้ใหญ่ยิ้มตลอดเวลาที่คุยกับพวกเราครับ)
และเชิญพวกเราไปเยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้เกษตรพอเพียงที่ตำบลสองสลึงในตอนเย็น
เราสนทนาด้วยเรืองเบา ๆ หลังจากได้ข้อสรุปว่า
แกนนำทุกคนเห็นด้วยในความสำคัญของศูนย์ข้อมูลโดยเฉพาะแกนนำ 6
พื้นที่นำร่องที่ไม่ต้องพูดถึง
เพราะเราพบกันมาแล้วหลายครั้งก่อนที่จะมาถึงเวทีนี้
ส่วนแกนนำชุมชนในฐานะผู้สังเกตการณ์อย่างตำบลตะพง
ผมได้ให้โปรแกรมแผนชุมชนและคู่มือการใช้โปรแกรมไปศึกษาและทำควบคู่ไปกับชุมชนนำร่องได้เลย
จากนั้นจึงพักรับประทานอาหารกลางวันที่ผู้ใหญ่สอิ้งรับหน้าที่เป็นพ่อครัวจัดหาอาหารมาให้
โดยเป็นอาหารที่ได้จากพื้นที่ลุ่มน้ำประแสร์
หลังอาหารกลางวันที่เอร็ดอร่อยและอิ่มหนำสำราญกันถ้วนหน้าซึ่งประกอบด้วย
หอยนางรมสด ขนมจีนแกงเขียวหวานไก่ ต้มยำปลาเก๋า กุ้งนึ่ง
ปูนึ่ง แล้ว ผมและคณะทำงานของ พอช.
ร่วมกันร่างบันทึกความร่วมมือ (MOU)
ที่ใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงในการร่าง และให้พยานลงนาม
ก่อนที่คณะผู้รับผิดชอบ 4 คน ประกอบด้วยผม คุณปรกฤต คุณหมอต้อย
และคุณรัชพล จะต้องตามไปลงนมที่สำนักงาน พอช. ภาคตะวันออก
เพราะกระดาษที่ชุมชนหมดเสียก่อน
เราเสร็จสิ้นการลงนามที่ พอช. ภาคตะวันออกเวลาประมาณ 4 โมงเย็น
จึงได้เดินทางไปเยี่ยมผู้ใหญ่สมศักดิ์ที่ตำบลสองสลึงตามเชิญ
เราพบว่า ผู้ใหญ่มีความพร้อมมาก ทั้ง ๆ
ที่ผู้ใหญ่พึ่งโครงการของ พอช. น้อยมาก
ผู้ใหญ่สามารถระดมทุนโดยการเป็นศูนย์เรียนรู้เกษตรพอเพียง
ผู้ใหญ่เล่าว่า
“รายได้ที่มาช่วยสนับสนุนมาจากกระทรวงเกษตรที่คิดจากจำนวนผู้มาเรียนรู้”
ผู้ใหญ่มีโรงนอนชายและหญิง มีฐานเรียนรู้ 6 ฐาน และที่สำคัญ
ผู้ใหญ่แกะทุเรียนมาเลี้ยงพวกเราด้วยตัวเองเลยครับ
นอกจากนี้ผมโชคดีที่ได้คุยกับนักเรียนกินนอนของผู้ใหญ่คนหนึ่ง
จากการพูดคุยท่านบอกว่า ท่านมาจากกรุงเทพ
มาเป็นนักเรียนของผู้ใหญ่ 2 ปี แล้ว โดยมีแปลงทดลองของตัวเองใกล้ ๆ
กับผู้ใหญ่ สองปีที่มาอยู่ที่นี่
ท่านมีความรู้ที่พอจะพึ่งตัวเองได้
เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากครับ สำหรับผม
พวกเรากราบลาผู้ใหญ่ก่อน 6 โมงเย็นเล็กน้อย รถตู้ของ พอช.
พาผมและคณะมาถึงแยกพระรามเก้า ประมาณ 2 ทุ่ม ผมมาถึงที่พักร่วม
4 ทุ่มแล้ว หลังจากอาบน้ำ ผมมานั่งเล่าเรื่องนี้จนถึงเวลา
23.50 แก้ไขอีกรอบตอน 09.00 ในวันต่อมา
ผมจะนำบันทึกนี้ไปเสนอไว้ใน Blog ของ สคส. ก่อนที่จะรวบรวมไว้เสนอแก่
พอช. ในรายงาน ผมเชื่อว่า พอช. อาจจะไม่ happy
นักที่จะอ่านรายงานแบบนี้
แต่นั่นคงไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้ผมเปลี่ยนรูปแบบการเขียนหรอกครับ
(แน่นอน ผมกำลังต้องการเรียนรู้บางอย่าง
แต่ขออุบไว้ก่อนครับ)
นัดหน้าเราคงจะได้พบกันอีกในเรื่องเล่าจากเวที
“ปฏิบัติการเสริมหนุนพื้นที่แรก” ครับ
ด้วยความเคารพ
สวัสดีครับ
สวัสดิ์ พุ้มพวง
3 พฤษภาคม 2549
เขียนดีนะครับดอกเตอร์
ต้องขอขอบคุณที่ได้เตือนสติหลายๆเรื่อง
ไม่ท้อแท้ แต่ก็ไม่อดทนนะครับ
คาดหวังว่าดี กลับไม่ใช่ว่าดี สู้กันต่อไปนะครับ
รัชพล
เรียน คุณสวัสดิ์ ครับ
ผมอ่านบันทึกนี้ซ้ำอีกรอบ เพื่อเคลียร์ใจตัวเองว่า ทำไมผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับขบวนการที่พูดคุยกันในเวทีที่เล่ามานี้ ก็พอสรุปได้บ้างแล้วนะครับ ฟันธงเลยว่า โจทย์น่าจะแข็งเกินไปที่ชุมชนจะรู้สึกต่อต้านไหมครับ กล่าวคือ
1. เมื่อคนนอกชักชวนคนในบางส่วนที่เป็นแกนนำได้ ในเรื่องศูนย์ข้อมูล จึงเกิดคำถามจากคนในว่า "จะได้อะไร" เป็นคำถามที่ง่าย ๆ แต่ตอบยาก เหมือนลึก ๆ ในใจที่คุณได้ตอบเขาไป เลยยิ่งทำให้เขาไม่มั่นใจ ตรงนี้อย่าไปโทษใครเลย เพราะระบบสอนให้ชุมชนเป็นผู้รับมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เขาจึงมีสิทธิที่จะถามในลักษณะนี้ แต่เรามุ่งมั่นว่า "ของเขา เขาทำเอง เขาใช้เอง เขารับประโยชน์เอง" การเริ่มต้นจึงดูยาก และเขายังไม่ไว้วางใจเรานักลึก ๆ แล้ว
2. สมมติว่าเปลี่ยนเป็น "สหกรณ์ข้อมูล" หรืออะไรในลักษณะนี้ น่าจะง่ายกว่า เพราะเมื่อพูดถึงสหกรณ์โดยฐานความเชื่อเดิม เขาจะเข้าใจทันทีว่าเป็นเรื่องของสมาชิก จะทำให้เขารู้สึกเป็นเจ้าของตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้ยินครับ ผมคิดได้แค่นี้ อาจจะไม่ใช่ก็ได้ หมายถึง ...ข้อมูล ที่เขารู้สึกว่าเป็นของเขาเอง เขาใช้เอง เขารับประโยชน์เอง
3. ผมอ่านไปก็พบในหลาย ๆ ประเด็นที่ยังไม่ค่อยเป็นไปตามธรรมชาติ (คงไม่ว่ากันนะครับที่ผมกล่าวตรง ๆ) ในการทำโจทย์ แต่ผมยอมรับว่าโจทย์ชัดจะได้เข็มทิศ แต่เราคนทำงานโดยเฉพาะหัวใจแบบคุณสวัสดิ์ อาจจะรู้สึกขัด ๆ ใจ ในส่วนที่ผมทำและจะนำมา ลปรร.ด้วย หากจะพูดถึงข้อมูลชุมชน ผมคงยกประเด็นปัญหาเขาขึ้นมาเอาที่ hot ๆ (แอบจับปัญหาเอาในเวที) จากนั้นถามกลับไป-มา เพื่อวิเคราะห์สาเหตุ เวทีไหนเวทีนั้น มักจะมาจนที่ไม่มีข้อมูลสนับสนุน ตรงนี้แหละครับที่ผมมองว่า เรา "ฉกฉวยโอกาส" ทันทีในการเปิดประเด็นเรื่อง ศูนย์ข้อมูล หรือสหกรณ์ข้อมูล (เทคนิคที่ผมชอบใช้...จริงใจครับ)
เรียน คุณสวัสดิ์ ครับ
สั้น ๆ นะครับ ผมไม่มองธนาคาร เพราะในสายตาของผมและชาวบ้าน (บางคน) ที่เคยคุยกันบ้างแล้ว ธนาคารไม่ใช่ของเรา สหกรณ์นี่เป็นของเรา และในหลวงทรงให้การสนับสนุนแนวคิดนี้ สหกรณ์ จึงเหมาะกับบริบทนี้ที่สุด ตามฐานคิดผมนะ ผิดก็เป็นได้ ยิ้ม ๆ
ผมเชื่อว่า...ในบรรยากาศของการพูดคุยกัน...คุณสวัสดิ์ต้องมีเทคนิคทางท่าที(Non-verbal Technique) ซึ่งผมเห็นว่ามีความสำคัญไม่น้อยกว่าปัจจัยอื่น ในกระบวนการสร้างสรรค์ประชาสังคมเลยนะครับ...และเป็นสิ่งที่คนมักละเลย ไม่นำมาถ่ายทอด ถอดเป็นการจัดการความรู้(หรืออีกนัยหนึ่ง... ทำได้ยาก)
สิ่งที่ผมเชื่ออย่างหนึ่งก็คือ...เวลาคนแปลกหน้า(แปลกปลอม)เข้าไปร่วมสังฆกรรมกับชุมชนใดชุมชนหนึ่ง...พลังแห่งการเรียนรู้ระหว่างกัน(ที่ขมึงเกลียว...ประมาณว่าอยู่ในภาวะ Strength Zone) ต้องได้รับการจัดการพาสู่ทิศทางของบรรยากาศสร้างสรรค์การเรียนรู้ได้...ด้วยเทคนิคและจิตวิญญาณวิทยากรกระบวนการ...ซึ่งคุณสวัสดิ์และทีมงานมีความเชี่ยวชาญจนน่าศึกษาเรียนรู้อยู่ไม่น้อยเลยครับ...
ขอบคุณ "นายขำ" ที่กรุณาชี้แนะครับ สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้เพิ่มเติม หลังจากผ่านเวที "นักขายหัวปลา" มาระยะหนึ่ง แล้วมาเป็น "นักขายหัวปลาเพื่อเลี้ยงชีพ" ตัวเองจริง ๆ สิ่งที่ผมกำลังฝึกทำคือ "การละวางอัตตา" ครับ ยอมรับว่าสมัยก่อนไม่รู้เลยว่า สิ่งที่ได้แสดงออกไปมันคือ "อัตตา" ที่ตัวเองได้ยึดถือไว้โดยไม่รู้ตัว นับว่าเป็นการมืดสองเท่าครับ "คือไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้" หรือเปรียบเสมือนว่า "ตัวบอดแต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองตาบอด" แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นก็เป็นประสบการณ์ที่สุดยอดครับ ที่ทำให้ผมได้เรียนรู้ พอมาเป็น "นักขายหัวปลาเพื่อเลี้ยงชีพ" ผมได้ฝึกบทเรียนจริง ๆ ที่มีชีวิตตัวเองเป็นเดิมพัน "ถ้าขายได้ชีวิตก็รอด" เป็นความท้าทายใหม่ที่ผมไม่เคยทำเลย (เพราะกลัว) มาจนกระทั่งอายุ 35 ปี ที่นี่ผมได้บทเรียนว่า "เราจะเริ่มขายได้เมื่อเราเริ่มละวางอัตตาได้" ครับ หากผมได้มีโอกาสไปเป็นอาสาสมัครเพื่อชุมชนอีกครา ผมเชื่อว่า "ผมจะทำได้ดีกว่าคราวโน้นแน่นอน
วันที่ 9 กุมภาพันธ์นี้ คุณรัชพลเชิญผมไปร่วมสังเกตการณ์ที่เวที สกว. ที่ระยองอีกคำรบหนึ่ง ได้เรื่องอย่างไร จะนำมาเล่าสู่กันฟังในโอกาสต่อไปครับ
สวัสดิ์