อัศจรรย์จริงหนอ


วัดมเหยงคณ์

อัศจรรย์จริงหนอ

ผมได้มีโอกาสได้กลับมาเยือนบ้านเกิด ประเทศไทย จากไปเสียนาน มาคราวนี้ตั้งใจว่าจะมาปฎิบัติธรรมเพื่อเป็นการต่อยอดจากการปฎิบัติธรรมครั้งสุดท้ายกับอาจารย์ไตรพิตราที่มิชิแกน คราวนั้นได้มีวาสนาได้พบสภาวะธรรม ในการเดินจงกรม รู้สึกมีความสุขมากๆ สามารถเดินได้นานๆได้ไม่เบื่อ น้องกัลบอกว่าดีแล้ว สภาวะธรรมในตอนนั้น เป็นการตัดภพตัดชาติ เพราะเป็นความรู้สึกในปัจจุบัน ไม่ใช่อดีตและอนาคต

 

 

มาครั้งนี้ได้มาปฎิบัติธรรมที่วัดมเหยงคณ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นเวลา ๔ คืน ๕ วัน ได้พบแต่ตัวทุกข์ จะนั่งก็โอย จะลุกโอย สังขา รมันเป็นทุกข์จริง ๆนะ ทีตอนเป็นหนุ่มมีกำลังวังชาก็มีความประมาท คิดว่าตัวเองจะไม่แก่ คิดว่าตัวเองจะไม่เจ็บ คิดว่าตัวเองจะไม่ตาย ไม่รีบเร่งความเพียรในการปฎิบัติธรรมในตอนนั้น

 

 

วันเช้าที่สอง หลังจากการเป็นลูกศิษย์วัด เดินตามพระไปบิณบาต เนื่องจากยังมีเวลา จึงออกจากวัดและเข้าไปแวะชมวัดมเหยงคณ์เก่า ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นทรัพย์สมบัติของอุทยานของโลกไปแล้ว สวยงาม และถูกใจจริงๆ ได้เห็นโบสถ์สลักหักพังเก่าๆ มีซากเสาสูงเสียดฟ้าเหลืออยู่สองสามต้น คิดไม่ออกว่าถ้าย้อนไปในอดีตชาติ จะได้เห็นภาพจริงเป็นเช่นไร คงจะงดงามและอลังการ เหนือคำบรรยายใดๆ ได้แต่ถอนหายใจ อยากรู้อยากเห็น

ตอนนั้นจิตได้บอกกับตัวเองว่า ขออธิฐานเห็นซิ บ้างทีเทวดาจะมาดลบันดาลให้เห็นสภาพเดิมในความฝัน

ผมเลยหลับตา อธิฐานในใจขอเห็น

รุ่งเช้าตื่นขึ้นมา ไม่ได้ฝันอะไรเลย ก็เลยต้องปลงใจ เราคงไม่มีวาสนา

 

 

วันที่ ๔ เดินจงกลมได้ดีเพราะใช้ร่มช่วยแทนไม้เท้า ใหม่ๆกางร่มเดินจงกลม เพราะมันร้อนมากในตอนเที่ยง มีความรู้สึกเหมือนวันสุดท้ายในการปฏิบัติที่มิชิแกน ดวงจิตเริ่มมีความอ่อนโยน แม้ไม่ได้ต่อยอด แต่เพียงรักษาใจให้มีสภาวะเหมือนเดิมก็ยังดี พยายามไม่พูดกับใครเลย ถ้าไม่จำเป็น ตลอดการปฏิบัติธรรม

วันที่ ๕ วันสุดท้าย ตอนเช้าลาสิฃาบท กลับกรุงเทพ

 

 

วันรุ่งขึ้น พี่ชายชวนไปเที่ยวอยุธยา ได้ไปไหว้พระ ๓ วัด, วัดแรกเป็นวัดพนัญเชิญวรวิหาร ไปนมัสการหลวงพ่อโต พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองอยุธยาที่มีขนาคใหญ่ที่สุดในประเทศไทย(ซำปอกง) มีเรื่องเล่าว่าก่อนกรุงศรีอยุธยาจะแตก เกิดอาเพทมีน้ำตาไหลจากพระพักตร์ของหลวงพ่อโต เทพเทวดาคงสังสารชาวกรุงศรีอยุธยา เราเคยได้ยินเรื่องนี้ตอนยังเป็นเด็ก ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้พบหลวงพ่อโตองค์จริง บุญเราแล้ว, วัดที่สอง วัดพระศรีสรรญเพชญ์ วัดนี้เป็นวัดที่ถูกพม่าเผาเช่นเดียวกัน ได้ไปขึ้นบนยอดพระเจดีย์เก่าซึ่งสูงมาก มองจากข้างบนเห็นภูมิประเทศทั้งสี่ทิศ ทิวทัศน์สวยงดงามราวกับยืนสรวงสวรรค์ มีความภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย อยากจะให้คนที่เรารักมายืนอยู่ด้วยกัน เห็นสิ่งที่งดงามที่สุดในชีวิตร่วมกัน เราอาจเคยมายืนอยู่ที่นี้ในชาติปางก่อนก็ได้ เราก็ได้แต่คิด, วัดที่สามมีชื่อว่าหน้าพระเมรุ วัดนี้อยู่นอกเกาะเป็นวัดที่พม่ายึดไว้ ใช้เป็นทำที่หุงอาหารสำหรับตีกรุงศรีอยุธยา ครั้งพม่ามีชัย พม่าคงมีความสำนึกรู้คุณ จึงไม่เผาวัดนี้ วัดนี้จึงเป็นวัดตัวอย่างของจริงในอดีตที่อยู่รอดมาได้ตลอด ๕๐๐ ปี

เข้าไปข้างในโบสถ์ เห็นการก่อสร้างใน เสาหลายต้นที่เรียงรายคู่กันอยู่ขนานกัน สูงยาวจรดหลังคาโบสถ์ ราวกับจะทะลุรังคาเพื่อที่จะนำเราไปสู่สรวงสวรรค์ เบื้องหน้ามีพระพุทธรูปปางกษัตย์ตั้งอยู่อย่างสง่างามราวกับเทพเจ้าประทับรอเราอยู่

 

 

เราทรุดลงกราบ ใจเราก็รับรู้ว่า คำอธิฐานของเราเป็นจริง ไม่ต้องพบในฝัน, เทพยดาให้เราได้เห็นของจริงเลย - อัศจรรย์จริงหนอ


 

 

 

หมายเลขบันทึก: 401700เขียนเมื่อ 9 ตุลาคม 2010 09:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 พฤษภาคม 2013 03:37 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

จะบอกว่าเราก็ลูกศิษย์อาจารย์เดียวกันค่ะ

ดิฉันเคยได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมโดยมีท่านพระครูเกษมเป็นวิปัสนาจารย์ให้คณะ แต่ไปปฏิบัติกันที่เชียงรายค่ะ

ตอนนี้คนข้างกายดิฉันก็เป็นผู้ออกแบบและสร้างศูนย์วิปัสสนา ซึ่งท่านพระอาจารย์ได้มอบที่ดินมรดกจากโยมแม่พื้นที่ ๒๖ ไร่ให้แก่ยุวพุทธิกสมาคมฯ เพื่อสร้างศูนย์ดังกล่าวค่ะ

ดีใจที่เห็นคุณคนบ้านไกลซาบซึ้งกับการได้กราบพระสำคัญของกรุงศรีอยุธยา

โอกาสหน้าหากมาเมืองไทยและจะไปเยือนอยุธยาอีก บอกให้ทราบกันบ้างนะคะ จะพาชมสิ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ได้ชมค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท