จากบันทึก 80:20 เศรษฐ จริยธรรม และ economicmorality
หาน้อยนักที่จะมีธุรกิจที่กำเนิดเพื่อสังคม มีแต่ธุรกิจที่ทำเพื่อสังคมแบบบังหน้า หรือสร้างภาพ
หากสามารถรวมกลุ่มหรือก่อตั้งเป็นสมาคมจะเป็นการรวมพลังที่เป็นกลุ่มก้อนที่ยิ่งใหญ่
เท่าที่คลุกวงใน คลุกวงนอกอยู่กับการเสริมสร้างผู้ประกอบการใหม่ SMEs ที่เป็นนโยบายของรัฐบาล ในจำนวนผูประกอบการใหม่ 1 ห้องเรียน จะมีคนที่ต้องการทำธุรกิจที่ทำเพื่อสังคม ประมาณ 3-4 คน หากเราจัดให้มีพื้นที่ เช่นสมาคมที่รวบรวมกลุ่มธุรกิจสายพันธ์ใหม่เล่านี้ รวมถึงกำหนดเส้นทางหรือนโยบายให้ชัดเจน จะเป็นการดียิ่งที่จะแสดงให้สังคมเห็น และโน้มน้าวให้ผู้ประกอบการที่มีลักษณะความคิดเช่นเดียวกัน เข้าร่วมเป็นสมาคมหรือชมรม
และพลังเพื่อสังคมจะได้รวมกันเป็นเครือข่ายและกลุ่มก้อน เป็น D-economic
เศรษฐจริยธรรม แบ่งเป็น
1. กลุ่มผู้ประกอบการที่มีการบริจาคเพื่อสังคมและองค์กรสาธารณะประโยชน์ (อาจจะต้องมีสิทธิพิเศษทางภาษีที่พิเศษกว่าปกติเพื่อกระตุ้น)
2.กลุ่มผู้ประกอบการที่ประกอบธุรกิจโดยคำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมและผู้บริโภคอย่างจริงจัง (ระหว่างให้ iso หรือกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคที่บังคับให้ทำ กับทำเองโดยความตั้งใจจะทำจากใจจริง อย่างไหนจะทำได้ดีกว่ากัน )
3. กลุ่มผู้ประกอบการที่มีจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจที่เด่นชัด มีกระบวนการด้านคุณธรรมที่เด่นชัดในการดำเนินธุรกิจ
4.กลุ่มผู้ประกอบการที่ดำเนินธรกิจด้านคุณธรรมโดยเฉพาะ เช่นผู้ผลิตสื่อคุณธรรม สื่อสีขาว ในด้านmultimedia มีนักศึกษาที่มีพลังด้านนี้เยอะมาก แค่อาจจะยังขาดเวที หรือกระบวนการทางธุรกิจที่เข้าไปสนับสนุนอย่างจริงจัง
ส่วนใหญ่ นักสร้างสรรค์หรือนักประดิษฐ์ จะไม่รวมนักธุรกิจอยู่ด้วยในคนเดียวกัน ---->สมองถูกออกแบบให้เป็นเช่นนั้น เพราะเดี่ยวจะรวยกันหมด :)
เราจะมีวิธีที่ทำให้ไอเดียร์นี้เป็นจริงได้อย่างไร ช่วยกันให้ความคิดเห็นและคำแนะนำด้วยครับ
เห็นด้วยค่ะ เศรษฐจริยธรรม ธุรกิจที่กำเนิดเพื่อสังคม แต่ความเป็นไปได้นั้นมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของแต่ละบุคคลด้วย คงต้องสร้างและปลูกจิตสำนึกให้กับมนุษย์ตั้งแต่เยาว์วัย
ขอบคุณค่ะ
ผมคิดว่านักธุรกิจส่วนใหญ่ต้องการทำเพื่อสังคมอยู่แล้วครับ เราแค่จัดพื้นที่ ที่ชัดเจนเช่นการรวมกลุ่มเป็นสมาคม รวมถึงอาจจะต้องมีการสร้างแรงจูงใจอื่นๆ ด้วยครับ เช่นสิทธิประโยชน์ดด้านภาษีอากร ครับ
แต่ที่แน่ๆนะครับ หากสามารถสร้างเป็นเครือข่าย ของนักธุรกิจที่ทำเพื่อสังคมได้ บางทีอาจจะไม่ต้องหาลูกค้าภายนอกก็ได้ครับ อาศัยการเชื่อมโยงของธุรกิจที่เอื้อประโยชน์ภายในเครือข่ายเดียวกัน ก็สามารถทำธุรกิจได้ครับ
ตัวอย่างเช่น นักศึกษาที่มีความสามารถทางการออกแบบและคอมพิวเตอร์ อาจจะจับมือกับบริษัท animation เพื่อผลิตผลงาน ด้านสื่อคุณธรรม หรือสื่อสีขาวออกมาก็ได้ครับ
หรือตัวอย่างเช่นน้องๆที่มีพรสวรรค์ด้านดนตรี เช่น วงสุจริตไตรทวาร โรงเรียนพูลเจริญวิทยาคม จ.สมุทรปราการ (ทดลองฟังเพลง แด่องค์ผู้เป็นศูนย์รวมดวงใจ ได้ที่ส่วนรายละเอียดบล็อก ด้านบนขวาของบันทึกครับ) เพลงของน้องๆ เพราะและมีความหมายดีมาก เพียงแต่ขาดช่องทางที่จะสื่อไปให้ถึงกลุ่มผู้ฟังเท่านั้นเองครับ
อาจารย์ด้านบริหารธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ หรือผู้ที่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจช่วยแนะนำและให้ความรู้ด้วยครับ ^^
เป็นแนวคิดที่ดีครับ
แต่ขออนุญาติเพิ่มเติมวงกลมล้อมรอบกรอบไว้ทั้งหมดของ Concept ไว้ในทุกอณูว่า ทุกอณู ทุกย่างก้าว โดยเฉพาะพื้นฐานของคนจะต้องตั้งอยู่บนศีลธรรม
ศีลธรรมที่เรียนรู้จากปัญญา
ศีลธรรมที่เรียนรู้จากการปฏิบัติที่อยู่บนพื้นฐานแห่งศีิ
ศีลธรรมที่เรียนรู้จากศีลอยู่บนจิตของผู้ฝึกแห่งสมาธิ
ปัญญาในคนที่เกิดจากศีลและสมาธินั้นจะทำให้เศรฐจริยธรรมเกิดขึ้นและจรรโลงสังคมโลกได้อย่างจีรังตลอดไป
เจริญพร
อีกฐานะหนึ่งในอดีตนั้น
อาจารย์ทางด้านบริหารธุรกิจ อาจารย์ุทุกคนสอนได้หมดอยู่แล้ว ให้สอนอะไรก็สอนได้หมด เพราะสอนอย่างเดียวไม่ต้องทำ สอนอย่างเดียวโดยที่ไม่เคยทำ สอนแต่สิ่งที่เป็นปรัชญา สอนอย่างไรก็สอนได้
เนี่ยแหละปัญหา.....
ถ้าสอนแล้วนำความคิดนี้ไปใช้ทางธุรกิจคงเจ๊ง (ในทางกำไร)
ถ้าสอนแล้วนำความคิดนี้ไปใช้ในชีวิตจะมีแต่ความสุขในทุกลมหายใจ
ต้องให้อาจารย์สอนบริหารธุรกิจมาใช้ชีวิตปฏิบัติธรรมอยู่กับวัดซึ่งเป็นวัดที่แท้
แต่นั่นก็แหละ แต่เข้าวัดแล้วก็ไม่อยากออกไปสอนอะไรที่มันเป็นสิ่งที่สร้างบาปสร้างกรรมโดยเฉพาะสอนบริหารธุรกิจ สอนให้คนไปเอา เอาเปรียบ เอาเงิน เอากำไร
คนที่เข้าวัดก็ไม่อยากออกไปสอน
คนที่สอนอยู่ก็ไม่อยากเข้าวัด
้สิ่งที่น่าคิดและฝากโยมคิดก็คือ ต้องเสนอหนทางแห่งสมดุลเรื่องของบริหารธุรกิจบนพื้นฐานของจริยธรรมและศีลธรรม โดยเฉพาะสังคมปัจจุบันที่มีแต่ความแก่งแย่งชิงดี สังคมทุนนิยม สังคมแห่งการเอาเปรียบ สังคมนี้ให้ได้
เจริญพร
มาเยี่ยม...
มุมคิดทางจริยธรรมกับวัตถุยังสวนทางกันอยู่นะครับผมว่า...คือผู้เดินทางธรรมก็ทิ้งห่างวัตถุไปเรื่อย ๆ ...
กราบนมัสการ พระ ปภังกร ขนฺติวโร
และสวัสดีคุณอา umi ครับ
การรักษาโรค บางอย่างต้องปลูกฝังภูมิคุ้มกัน บางอย่างต้องเยียวยา และบางอย่างต้องตัดทิ้งครับ
เศรษจริยธรรมเป็นการเยียวยาครับ เพราะคนป่วยเริ่มมีอาการไม่น่าไว้วางใจ อาจลุกลามเข้าขั้นวิกฤตได้
หากเราช่วยกันสร้างกระแสจิตอาสาเพื่อสังคมให้กับองกรค์ธุรกิจได้ จิตอาสาระดับบุคคลที่อยู่ภายใต้องกรค์นั้นก็จะตามมาด้วยครับ
ผมเห็นต่างแต่ไปในทางเดียวกันกับความเห็นของคุณอา umi นะครับ ผู้เดินทางธรรมไม่ได้ทิ้งห่างวัตถุเลยครับ กลับสร้างวัตถุนิยมออกมาขนานใหญ่ เช่นกระแสจตุคามและการแข่งกันสร้างสวรรค์ชั้นฟ้า และวัตถุมหึมาชนิดต่างๆ
ธุรกิจเพือสังคม อาจเป็นคำตอบและจุดเปลี่ยนที่ว่า ทำอย่างไรให้จิตใจและวัตถุพัฒนาไปควบคูกัน....................
แต่จะมีใครสักกี่คนละ ที่เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ ทั้งๆที่สิ่งนี้ สามารถพลิกเปลียนโลก......วัตถุนิยมได้