พวกเราคงได้ยินได้ฟังเรื่องนักเทนนิสที่เข้าร่วมการแข่งขันวิมเบิลดันกินกล้วยหอมเป็นอาหารเสริมกันไม่มากก็น้อย วันนี้มีข่าวดีเกี่ยวกับท่านที่ชอบกล้วยครับ...
กล้วย 1 ผลให้กำลังงาน 100-110 แคลอรี มีโพแทสเซียมสูง โซเดียมต่ำมาก (1 มิลลิกรัม) และให้คุณค่าทางอาหารดังตาราง (ตารางที่ 1)
ตารางที่ 1:
แสดงคุณค่าทางอาหารของกล้วย 1 ผล หนัก 118 กรัม (DV = daily value = ปริมาณสารอาหารที่ต้องการใน 1 วันสำหรับผู้หญิงฝรั่งสุขภาพดี อายุ 25-50 ปี)
ผู้หญิงฝรั่งอายุ 25-50 ปีมีขนาดรูปร่าง และความต้องการอาหารใกล้เคียงกับผู้ชายไทย แต่ต้องการแคลเซียมสูงกว่า เนื่องจากผู้หญิงเสี่ยงต่อโรคกระดูกโปร่งบางหรือกระดูกพรุนมากกว่า มีโอกาสตั้งครรภ์(ท้อง) หรือเลี้ยงลูกด้วยนม(เสียแคลเซียม)
ผู้หญิงต้องการธาตุเหล็กมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากมีโอกาสเสียเลือดทางประจำเดือน ตั้งครรภ์ คลอดลูก และให้นมลูก
สารอาหาร |
ปริมาณ |
DV(%) |
วิตะมิน B6 |
0.68 มิลลิกรัม |
34 |
วิตะมิน C |
10.74 มิลลิกรัม |
17.9 |
โพแทสเซียม |
467.28 มิลลิกรัม |
13.4 |
เส้นใย (ไฟเบอร์) |
2.83 กรัม |
11.3 |
แมงกานีส |
0.18 มิลลิกรัม |
9.0 |
กำลังงาน |
108.56 แคลอรี |
- |
เรื่องกล้วยๆ...
กล้วยในโลกเราแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่
คนไทยเรากินกล้วยหวานเป็นผลไม้ เช่น กล้วยน้ำว้า ฯลฯ ส่วนกล้วยแป้ง(เพลนเทน)นิยมนำมาปิ้งหรือผ่านความร้อนให้สุกเสียก่อน และกินเป็นผัก
ถ้าเมื่อเทียบคุณค่าสารพฤกษเคมี หรือสารคุณค่าพืชผักในรูปเบตาแคโรทีน (beta-carotene) กันแล้ว กล้วยแป้งมีเบตาแคโรทีนสูงกว่ากล้วยหวานเกือบทุกชนิด
กล้วยดิบจะมีแป้งมากหน่อย-น้ำตาลน้อยหน่อย เมื่อกล้วยสุกเพิ่มขึ้นจะมีสัดส่วนแป้งลดลง-น้ำตาลเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
กล้วยน่าจะมีถิ่นกำเนิดในมาเลเซียหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว ต่อมามีการนำไปปลูกในฟิลิปปินส์และอินเดีย
เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชจากกรีกบุกอินเดียในปี พ.ศ. 216 มีการบันทึกไว้ว่า คนอินเดียยุคนั้นปลูกกล้วยกินกันแล้ว
ประมาณ 500 ปีก่อนนักสำรวจโปรตุเกสพบว่า พ่อค้าชาวอาหรับนำกล้วยไปปลูกในอาฟริกาในปี 2025 และนำกล้วยไปปลูกในอเมริกาใต้
คนอเมริกามีโอกาสลิ้มรสกล้วยครั้งแรกช่วงประมาณครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 (พ.ศ. 2393-2443) เรือจากอเมริกาใต้จะนำกล้วยมาขายตามเมืองชายทะเล ตอนนั้นยังขนส่งไปได้ไม่ไกล เพราะกล้วยเสียง่าย และบอบบาง ขนส่งไปไกลๆ ไม่ได้
หลังจากโลกตะวันตก(ฝรั่ง)มีตู้เย็น และถนนหนทางดีขึ้น... คนอเมริกาและยุโรปจึงมีโอกาสกินกล้วยกันอย่างแพร่หลาย
การตัดกล้วยนิยมตัดตั้งแต่ยังดิบ ทว่า... เวลาจะแช่เย็นส่งขายต้องรอให้สุกพอสมควรก่อน เนื่องจากการแช่เย็นที่อุณหภูมิต่ำมากๆ อาจทำให้กระบวนการ "สุก" ของกล้วยเสียไปได้แบบเสียแล้วเสียเลย หรือกลายเป็น "กล้วยไม่ยอมสุก" แบบผู้ใหญ่(บางคน)ที่ไม่รู้จักโต(เอาแต่ใจตัวเอง)
ปัจจุบันแหล่งปลูกกล้วยใหญ่ของโลกอยู่ในอเมริกาใต้ เช่น คอสตาริกา เมกซิโก อีกวาดอร์ บราซิล ฯลฯ จนถึงกับมีชื่อเรียกบางประเทศว่า "สาธารณรัฐกล้วย"
คุณค่าต่อระบบหัวใจ-เส้นเลือด...
กล้วยมีโพแทสเซียมสูง (467 มก.) โซเดียมต่ำ (1 มก.) มีส่วนช่วยป้องกันและลดความรุนแรงของโรคความดันเลือดสูง
การศึกษาที่ทำในบุคลากรวิชาชีพสุขภาพอเมริกามากกว่า 40,000 คน ติดตามไปนานกว่า 4 ปีพบว่า ผู้ชายที่กินอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง แมกนีเซียมสูง และเส้นใยจากธัญพืช(ตระกูลข้าว) มีความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดสมองแตก-ตีบตัน อัมพฤกษ์ อัมพาตลดลง
การศึกษา (ตีพิมพ์ใน Archives of Internal Medicine) ซึ่งมีกลุ่มตัวอย่างเป็นคนอเมริกาเกือบ 10,000 คน ติดตามไป 19 ปี สนับสนุนว่า การกินอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น กล้วย ฯลฯ ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน
คนที่กินเส้นใยมากที่สุด (วันละ 21 กรัม) มีความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันลดลง 12% และโรคระบบหัวใจ-เส้นเลือดลดลง 11% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่กินเส้นใยน้อยที่สุด (วันละ 5 กรัม)
(บันทึกชุดนี้มี 3 ตอน)
แหล่งที่มา:
ไม่มีความเห็น