... ครั้งก่อนเราพูดกันว่า ผลไม้ไดเอ็ท หรือผลไม้ช่วยลดความอ้วนมี 5 อย่างได้แก่ ฝรั่ง ชมพู่ ส้มโอ มะละกอสุก และแอปเปิล หลักการสำคัญในการกินผลไม้ช่วยลดความอ้วนคือ
... ทีนี้ถ้าทนไม่ไหว จะใช้น้ำจิ้ม หรือเครื่องจิ้มนิดหน่อย เช่น ไม่เกิน 1/2 ช้อนชา ฯลฯ แยกมานั่งลง เคี้ยวช้าๆ เคี้ยวเบาๆ (เคี้ยวแรงฟันสึกเร็ว - อาจารย์หมอฟันท่านว่าไว้อย่างนี้) ก็ได้ แต่ต้องติดเบรค คือ ครบ 1/2 ช้อนชาแล้วพอ ต่อจากนั้นให้กินผลไม้กลุ่มนี้เปล่าๆ ประกาศอิสรภาพจากน้ำจิ้ม+เครื่องจิ้ม ... ตอนก่อนเช่นกัน... ข้าวกล้องดีกว่าข้าวขาว ขนมปังโฮลวีท(เติมรำ)ดีกว่าขนมปังขาว เพราะอะไร ตอบคือ เพราะมีเส้นใย(ไฟเบอร์) ไฟเบอร์ช่วยให้น้ำตาลดูดซึมช้าลง อิ่มนานขึ้น อาหารที่ช่วยให้อิ่มได้นานคือ โปรตีน(เนื้อ ถั่ว โปรตีนเกษตร เต้าหู้ ฯลฯ) ไขมัน เส้นใย(ไฟเบอร์) การกินอาหารกลุ่มนี้พอเหมาะช่วยให้ลดความอ้วนสำเร็จในระยะยาว ... แน่นอนว่า ไขมันต้องต่ำหน่อยจึงจะดี ทีนี้ถ้าไขมันเป็นศูนย์ (0) เลยคงจะไม่ดี เพราะอาหารไร้ไขมันโดยมากรสชาดไม่ดี ทำให้การลดความอ้วนขาดรสชาด ไร้ชีวิตชีวา และไม่ยั่งยืน สารอาหารจำนวนมาก โดยเฉพาะวิตามิน A,D,E,K สารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบต้าแคโรทีน ฯลฯ และสารพฤกษเคมี(สารคุณค่า เช่น สารที่ทำให้พืชผักมีสีต่างๆ ฯลฯ) ส่วนหนึ่งต้องการไขมันช่วยในการดูดซึม การกินอาหารไม่มีไขมันเลยจึงไม่ค่อยดีกับสุขภาพในระยะยาว ... ต่อไปเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลปานกลาง พวกนี้กินได้เป็นครั้งคราว คราวละน้อยๆ ถ้ากินเป็นกิโลฯ จะทำให้อ้วนได้ ผลไม้กลุ่มนี้ได้แก่ แพร์ พีช ส้ม เงาะ มังคุด สับปะรด กล้วยน้ำว้า(ไม่สุกงอก - ถ้าสุกงอมจะมีน้ำตาลสูงขึ้น) แตงโม ... ผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงนี่กินได้ แต่ไม่บ่อย และควรกินเพียง 2-3 ช้อนชา หรือประมาณเท่า 2-3 นิ้วหัวแม่มือ กินพอให้รู้รส ไม่ใช่กินให้สะใจ ผลไม้กลุ่มนี้ได้แก่ ทะเรียน ละมุด ขนุน ลำไย ลิ้นจี่ มะม่วงสุกจัด ... อาจารย์สง่าท่านแนะนำ "2 ให้กับ 3 ไม่" ได้แก่
... ถึงแม้หน่วยวัดกำลังงานในอาหารหรือ "แคลอรี" จะฟังดูยุ่งยาก ทว่า... ถ้าต้องการลดความอ้วนแล้ว ควรจำกัดแคลอรีไว้อย่างนี้
... ปริมาณอาหารดังกล่าวปรากฏดังตาราง
... อาหารที่ควรจำกัดได้แก่ น้ำมัน น้ำตาล และเกลือ
... โปรดสังเกตว่า อาจารย์ท่านแนะนำให้งดอาหาร "รสจัด" เนื่องจากการปรุงอาหารรสจัดส่วนใหญ่จะใช้ "รสแก้รส" เป็นหลัก เช่น หวานไปจะทำอย่างไรในเมื่อเติมน้ำตาลไปแล้ว ส่วนใหญ่จะเติมเปรี้ยวบ้าง เติมเค็มบ้าง เพื่อลดความหวาน ฯลฯ เมื่อใช้ความแรงของรสแก้ปัญหาแล้ว ผลที่ได้จากอาหารรสจัดส่วนใหญ่คือ ทุกอย่างแรงไปหมด ทั้งหวาน-มัน-เค็ม ... อาหารรสจัดและพริกมีส่วนทำให้กินได้มากทั้งข้าวและน้ำ อาหารแบบนี้คงจะไม่เหมาะกับพวกเราที่อยากจะลดความอ้วน ทีนี้ 1 ส่วนบริโภคของผลไม้เท่ากับอะไร
... 1 ส่วนบริโภคของผลไม้มีขนาดประมาณเท่าแผ่น CD หรือฝ่ามือผู้ใหญ่ (ไม่รวมนิ้วมือ) ถ้าท่านต้องการทดลองก็ให้ลองปอกส้มขนาดกลางเป็นกลีบๆ นำมาวางบนฝ่ามือ หรือแผ่น CD ดู จะได้ขนาดประมาณ 1 ส่วนบริโภค ... พวกเราอาจจะสงสัยว่า ถ้าไม่กินข้าวจะนับส่วนบริโภคได้อย่างไร อาจารย์สง่าท่านเปรียบเทียบไว้อย่างนี้
... หลักของการลดอาหารประเภทแป้งนั้น... ท่านว่า ต้องค่อยๆ ลด เช่น สมมติเดิมกินข้าวเย็น 2 จานๆ ละ 3 ทัพพี (ทัพพีไม่พูน - ไม่ใช่ทัพพีพูนๆ) รวมเป็น 6 ทัพพี ฯลฯ เวลาจะลดต้องค่อยๆ ลดประมาณ 1 ทัพพีทุกๆ 2-3 วัน เพื่อให้ร่างกายมีเวลาปรับตัว เช่น ลดเป็นมื้อละ 5 > 4 > 3 > 2 ทัพพีทุกๆ 2-3 วัน ฯลฯ ... ถ้าลดเร็วๆ เช่น ลดคราวเดียวจาก 6 ทัพพีเหลือ 1/2 ทัพพี ฯลฯ อาจทำให้หน้ามืด เหงื่อแตก ใจสั่น เป็นลม หงุดหงิด ก้าวร้าว หาเรื่องทะเลาะกับคนรอบข้างได้ (ทำไมอาการเหมือนผู้บริหารบางท่านก็ไม่ทราบ) นอกจากนั้นถ้าลดอาหารคราวละมากๆ เร็วๆ อาจทำให้น้ำหนักลดลงแบบฮวบฮาบ ซึ่งมีภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญได้แก่
... หลักการสำคัญในการลดความอ้วนให้ดีคือ
... การลดน้ำหนักเร็วๆ โดยเฉพาะการใช้ยาลดความอ้วน และอดอาหารนั้น มีแนวโน้มจะทำให้มวลกล้ามเนื้อลดลง กล้ามเนื้อมีส่วนทำให้รูปร่างกระชับ ไม่หย่อนยาน และช่วยเผาผลาญอาหารตลอด 24 ชั่วโมง เปรียบคล้ายเป็น "ทัพหลัง" ของการลดความอ้วน ... วิธีลดความอ้วนที่มีชีวิตชีวา และยั่งยืนกว่าในระยะยาวคือ
... หมายเหตุ บทความนี้มี 8 ตอน
ที่มา
|
ค่ะขอบคุณนะคะจะลองทำดู ค่ะ
ขอขอบคุณ... คุณ pan
การลองทำดู...