การทำกรณีศึกษา : Cased-Study มีบทบาทและความสำคัญต่อการวิจัยในสาขาต่างๆทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์แตกต่างกันไปตามลักษณะประเด็นปัญหาทางวิชาการและความต้องการความรู้ความเข้าใจเพื่อนำไปแก้ปัญหาทางการปฏิบัติของสาขานั้นๆ ตัวอย่างเช่น การทำกรณีศึกษาในการวิจัยทางการศึกษาเพื่อแก้ปัญหาการเรียนรู้ของเด็ก ก็จะมุ่งวินิจฉัยปัญหาเพื่อเข้าใจและแก้ปัญหาให้แก่เด็กได้อย่างถูกต้องเป็นรายกรณี การทำกรณีศึกษาในงานศิลปะประยุกต์ สถาปัตยกรรม หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ ก็จะเป็นการทดลองและตรวจสอบความลงตัวในทุกด้านเพื่อวิเคราะห์ปัญหา วางแผน ปรับปรุงแก้ไขและตรวจสอบสิ่งต่างๆก่อนการทำจริง การวิจัยชุมชนและการวิจัยทางสังคม ก็อาจจะทำกรณีศึกษาเพื่อเข้าถึงความเป็นจริงที่รอบด้านทุกมิติของปรากฏการณ์ที่ศึกษา รวมทั้งระบบวิธีคิดของกลุ่มคนและชุมชนที่เกี่ยวข้อง เหล่านี้เป็นต้น บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อชี้ให้เห็นจุดแข็งของการนำเอาการทำกรณีศึกษาไปใช้ทำงาน โดยเฉพาะวิธีคิด ลักษณะปัญหาและโจทย์การวิจัยที่เหมาะสมต่อการทำกรณีศึกษา และเหตุผลเบื้องหลังสำหรับการทำงานระดับออกแบบทางวิธีวิทยาเพื่อนำมาผสมผสานในการวิจัยแบบ PAR ให้ได้ผลอย่างดีที่สุด
ผลที่จะได้รับที่สำคัญ จากการทำกรณีศึกษา
ความเข้มแข็งของการวิจัยโดยวิธีทำกรณีศึกษาในงานวิจัยแบบ PAR และผลที่จะได้รับที่สำคัญ คือ
อย่างไรก็ตาม การรับรู้ของคนทั่วไปเกี่ยวกับการทำกรณีศึกษา มักมิได้พิจารณานัยสำคัญ ความหมาย วิธีคิดและเหตุผลเบื้องหลังของความที่จะต้องพิถีพิถันต่อการทำกรณีศึกษาในสถานการณ์ความจำเป็นต่างๆของการวิจัย จึงมักคิดเอาจากการเปรียบเทียบกับทฤษฎีการสุ่มความเป็นตัวแทนทางประชากรและวิธีคิดพื้นฐานสำหรับการสร้างความรู้ของการวิจัยแบบทั่วไป ทำให้จินตนาการไปตามความเชื่อและการรับรู้แบบกว้างๆว่า การวิจัยแบบทำกรณีศึกษานั้นจะเป็นการวิจัยที่ไม่มีคุณภาพ ให้ความรู้ที่จะนำไปอ้างอิงกับกรณีทั่วไปไม่ได้ เป็นวรรณกรรมและเรื่องแต่งของนักวิจัยเองเพราะกรรมวิธีในการวิเคราะห์และให้ความหมายจากนักวิจัยจะมีบทบาทมาก เหล่านี้เป็นต้น
ความเข้าใจในลักษณะนี้นับว่ายังไม่ถูกต้องนัก อีกทั้งทำให้ความเข้มแข็งของการวิจัยทางสังคมศาสตร์ การวิจัยทางการศึกษา การวิจัยทางมนุษยศาสตร์ การวิจัยปฏิบัติการสื่อและเทคโนโลยีการศึกษา ตลอดจนการวิจัยแบบ PAR ที่ดำเนินการบนการทำกรณีศึกษา มักถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย ในขณะที่เป็นวิธีวิจัยและปฏิบัติการสังคมโดยวิธีการทางความรู้ที่จะทำให้แก้ปัญหาได้ สามารถสร้างความรู้ให้เห็นถึงวิธีคิดและวิธีปฏิบัติ รวมทั้งจะสื่อสะท้อนความหมายและสัมผัสความเป็นจริงของสังคม จนโน้มนำให้เกิดการระดมพลังปฏิบัติในวิถีแห่งการใช้ปัญญาสร้างสรรค์ได้ดีที่สุดวิธีหนึ่ง
วิธีทำกรณีศึกษา อย่างเป็นวิธีวิทยาและวางอยู่บนฐานทฤษฎีอันหนักแน่น
ในความเป็นจริงแล้ว หากเห็นลักษณะความรู้ที่จะได้ อีกทั้งมีวิธีเลือกทำกรณีศึกษาด้วยหลักเกณฑ์เชิงทฤษฎีและดำเนินการอย่างเป็นวิธีวิทยาการวิจัย มากกว่าทำอย่างเป็นเทคนิคการเลือกตัวอย่างในขั้นตอนการเก็บข้อมูลการวิจัยแล้ว การทำกรณีศึกษาในการทำวิจัยแบบ PAR ก็จะทำให้เราสามารถสร้างความรู้และเข้าถึงความจริงของปรากฏการณ์ทางสังคม ตลอดจนปราฏการณ์ของสิ่งที่ต้องการศึกษาที่มีความหนักแน่นเข้มแข็ง อีกทั้งไม่สามารถเข้าถึงได้โดยวิธีการวิจัยแบบอื่นอีกด้วย
การทำกรณีศึกษาในการวิจัยแบบ PAR นั้น เป้าหมายการวิจัยเพื่อทำเป็นกรณีศึกษาจะเป็นมากกว่าตัวอย่างที่สุ่มเลือกอย่างเป็นตัวแทนของประชากรทั่วไป ทั้งนี้เนื่องจากความรู้ที่ต้องการจะเป็นความรู้เชิงปฏิสัมพันธ์และความสัมพันธ์กันอย่างเชื่อมโยงต่อเนื่องของเหตุปัจจัยเป็นชุด ก่อเกิดแบบแผนปรากฏการณ์หลากหลายและซับซ้อน หลายระดับ หลายรูปแบบ และหลายแง่มุม มิใช่ความรู้จากการแสดงตนเองของสิ่งที่ถูกทำให้นิ่งอย่างในการวิจัยทั่วไป อีกทั้งมิใช่ความรู้ที่อธิบายผ่านความสัมพันธ์ของตัวแปรที่ลดทอนความซับซ้อนออกไป
การทำกรณีศึกษาในการวิจัยแบบ PAR นั้น จะทำให้เราสามารถเข้าถึงความรู้ความเป็นจริงที่มีธรรมชาติเป็นพลวัตรและจะผุดบังเกิดขึ้นจากชุดของเหตุปัจจัยซึ่งมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบซับซ้อน นับแต่ระดับกายภาพ ความเป็นวัตถุ ไปจนถึงระดับนามธรรม วิธีคิด และมิติจิตวิญญาณ ซึ่งลักษณะความรู้อย่างนี้จะไม่สามารถได้จากการวิจัยแบบทั่วไป ขณะเดียวกัน การที่จะเข้าถึงความรู้ในลักษณะดังกล่าวนี้ได้นั้น ก็ด้วยการทำกรณีศึกษาเพื่อสร้างประสบการณ์และนำมาสร้างความรู้ขึ้นอย่างเป็นระบบด้วยการตรวจสอบกัน ๓ จุดยืนในเวลาเดียวกัน อันได้แก่ จากจุดยืนผู้กระทำ จากจุดยืนผู้เป็นปรากฏการณ์ที่ถูกสร้างและเป็นสิ่งที่ถูกศึกษา และจากจุดยืนผู้สังเกตนั่นเอง
ภาพที่ ๑ : กลุ่มคน ๘ กลุ่มซึ่งใช้วิธีแก้ปัญหายุงกัด ๘ วิธี
ในห้องซึ่งติดมุ้งลวดกันยุงห้องเดียวกัน
ระดับปรากฏการณ์ กับวิธีวิทยาการเห็นและเลือกกรณีศึกษาด้วยความรู้ที่ลึกซึ้ง
จากภาพ ปัจเจกและกลุ่มคนในภาพ สามารถจำแนกโดยแบบแผนของการมีเครื่องมือและวิธีแก้ปัญหายุงกัด ๘ วิธีได้ ๘ กลุ่ม รวมทั้งเจ้าของบ้านซึ่งใช้วิธีกางกรด ทั้งหมดอยู่ในห้องซึ่งติดมุ่งลวดกันยุงได้อย่างดีห้องเดียวกัน ลักษณะอย่างนี้ หากเป็นการเลือกทำกรณีศึกษาโดยทั่วไปก็จะมุ่งเลือกตัวแทนจากกลุ่มประชาชน ๘ กลุ่มเพื่อเป็นตัวแทนของการใช้เทคโนโลยีและวิธีแก้ปัญหายุงกัด ๘ วิธี หากน้อยไปกว่านี้ก็จะกลายเป็นการเลือกอย่างมีอคติ ไม่มีเหตุผลที่หนักแน่นรองรับว่าทำไมจึงเลือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งและเว้นไปบางกลุ่ม ซึ่งก็ยิ่งจะเป็นจุดอ่อนของการทำกรณีศึกษาในงานวิจัยแบบ PAR
แต่กระนั้นก็ตาม ถึงแม้จะได้เลือกและทำการศึกษาครบทั้ง ๘ กลุ่มแล้ว ก็มักเชื่อกันว่าความรู้จากกรณีศึกษาอย่างนี้จะไม่มีพลังการอธิบายปรากฏการณ์ทั่วไป เพราะไม่เพียงพอที่จะเป็นตัวแทนทางประชากร จะเห็นว่า เทคนิคการวิจัยกลายเป็นศูนย์กลางของการพิจารณา จนบางครั้งอาจทำให้เรามองข้ามเหตุผลและมิติที่สำคัญกว่านั้นของการทำกรณีศึกษา
จากกรณีตัวอย่างเดียวกัน หากเลือกด้วยวิธีคิดอย่างมีวิธีวิทยาและเลือกบนฐานทฤษฎี เราก็จะพบว่า กลุ่มคนทั้ง ๘ กลุ่มนี้ เป็นตัวแทนของความหลากหลายก็จริง ทว่า เราจะอธิบายวิธีแก้ปัญหายุงกัดผ่านประสบการณ์และเทคโนโลยีที่แต่ละกลุ่มมีอยู่ ๘ วิธีนี้ไม่ได้ เพราะในความเป็นจริงนั้น การที่ไม่มียุงและทุกกลุ่มไม่ถูกยุงกัด หาได้เกิดจากเครื่องมือและวิธีแก้ปัญหาแบบต่างๆแต่อย่างใด ทว่า เกิดจากปัจจัยเชิงระบบที่ใหญ่กว่าชุดเดียวกัน อันได้แก่ห้องที่ติดมุ้งลวดซึ่งแก้ปัญหาส่งผลได้ครอบคลุมทั้งหมด ดังนั้น ไม่ว่าจะใช้เทคโนโลยีและวิธีการแก้ปัญหายุงกัดอย่างไร ผู้คนทั้งหมดทั้ง ๘ กลุ่มก็จะไม่ถูกยุงกัด อีกทั้งจะไม่เคยเห็นยุงกันเลยทีเดียว ซึ่งก็จะไม่ใช่เนื่องจากเทคโนโลยีและวิธีการทุกแบบได้ผลดีเหมือนกัน แต่เพราะล้วนอยู่ในอาณาบริเวณของห้องเดียวกันซึ่งติดมุ้งลวดเป็นอย่างดีนั่นเอง
จากตัวอย่างนี้ จะเห็นได้ว่า ไม่เราว่าจะสุ่มเลือกอย่างเป็นระบบอันซับซ้อนตามแบบแผนการวิจัยแบบทั่วไป หรือเลือกทำกรณีศึกษาให้ครอบคลุมกลุ่มสังคมที่หลากหลายภายใต้เงื่อนไขนี้อย่างไรก็ตาม ก็ย่อมมีความหมายเท่ากัน เพราะทั้งหมดอยู่ในบริบทของปรากฏการณ์ชุดเดียวกันคืออยู่ในห้องติดมุ้งลวดเหมือนกัน และเป็นระบบที่ใหญ่กว่าซึ่งแก้ปัญหาครอบไปทั่วทุกคน
ความเป็นห้องติดมุ้งลวดที่เปรียบเปรยในตัวอย่างนี้ก็คือ ระบบและโครงสร้างสังคม ระบบเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม หรือชุดเหตุปัจจัยและเงื่อนไขอันซับซ้อนของปรากฏการณ์สังคมในโลกความเป็นจริง รวมทั้งระบบธรรมชาติและปัจจัยพื้นฐาน หรือองค์ประกอบพื้นฐานและลักษณะความเป็นสามัญที่เป็นจริงทั่วไปในบริบทนั้นๆ เช่น ในยุคสมัยปัจจุบัน เป็นยุคของทุนนิยมแบบมุ่งผลกำไร ซึ่งเป็นจริงและสะท้อนไปสู่กลุ่มสังคมหรือระบบย่อยๆทั้งโลก, ในบริบททางความรู้และข้อมูลข่าวสาร พลังของข้อมูลและสารสนเทศเป็นจริงในบางระบบสังคม, ในสังคมไทย ประชากรส่วนใหญ่กว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์นับถือพุทธศาสนา ดังนั้น ไม่ว่าจะสุ่มเลือกไปศึกษาเรื่องใด ก็จะมีทรรศนะที่ได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนาเข้าไปปนอยู่เป็นพื้นฐานไม่มากก็น้อย เหล่านี้เป็นต้น
ลักษณะอย่างนี้ หากเรามุ่งศึกษาแบบทำกรณีศึกษาเพื่อให้ได้ความลึกซึ้ง เห็นความซับซ้อนและความเชื่อมโยงได้หมดจรดและรอบด้านที่สุด ก็จะได้ความเป็นจริงที่ดีและถูกต้องกว่าการสุ่มเพื่อศึกษาความเป็นจริงจากส่วนย่อยๆให้มาร่วมกันเป็นตัวอธิบาย วิธีคิดเชิงระบบและทำกรณีศึกษาอย่างนี้จัดว่าเป็นการทำอย่างมีวิธีวิทยาหรือใช้ความรู้อย่างรอบด้านและกรอบทฤษฎีต่อปรากฏการณ์ความซับซ้อนที่สะท้อนอยู่ในกรณีตัวอย่างนั้นๆ รวมทั้งเลือกวิธีเข้าถึงได้อย่างถูกต้อง เป็นเกณฑ์ในการพิจารณา มากกว่าเลือกไปตามเทคนิคการวิจัยโดยมิได้พิจารณาความหมายและความมีเหตุผลเบื้องหลังกำกับอยู่ภายใต้เทคนิคและวิธีการต่างๆ
ในการทำกรณีศึกษาให้เป็นวิธีวิทยาเพื่อเข้าถึงความรู้และความจริง จึงจำเป็นต้องเห็นระบบความซับซ้อนด้วยฐานทฤษฎี ตัวปัญญา ความรอบรู้ ความรู้ลึก ความละเอียดอ่อน เห็นด้วยความสามารถปฏิบัติ อีกทั้งต้องตรวจสอบด้วยการอ่านศึกษาทบทวน ทั้งวรรณกรรมและความรู้สารพัดชนิดซึ่งมากกว่าและรอบด้านกว่าการอ่านเพียงงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ที่สำคัญคือ ต้องใช้ความรู้จากการอ่านสังคม ความรู้และภูมิปัญญาของชาวบ้าน ความรู้ในวิถีชีวิตของผู้คนท้องถิ่นซึ่งนักวิจัยต้องมุ่งเรียนรู้ไปกับชุมชน จากนั้น จึงจะสามารถเลือกตัวอย่างเพื่อทำกรณีศึกษาให้มีองค์ประกอบของสถานการณ์จริงที่ต้องการศึกษาอย่างครบถ้วนได้ดีที่สุด
ด้วยเหตุนี้ เราจึงสามารถกล่าวได้อย่างหนึ่งว่า วิธีเลือกกรณีศึกษาในเชิงวิธีวิทยาเพื่อการวิจัยแบบ PAR นั้น จัดว่าเป็นสิ่งที่สะท้อนความเป็นนักวิจัย PAR ได้เป็นอย่างดียิ่ง ทั้งความลุ่มลึกแม่นยำทางทฤษฎี ความกว้างขวางของความรู้และทันความเคลื่อนไหวทางวิชาการ ความมีจินตนาการและวิธีคิดที่เชื่อมโยง ตลอดจนความเป็นนักวิจัยที่สะท้อนความเชื่อมโยงกับสังคม เป็นกำลังความรู้และกำลังทางวิชาการของกลุ่มปฏิบัติการสังคมต่างๆเพื่อสร้างสรรค์สังคมสุขภาวะและยกระดับคุณภาพชีวิตไปด้วยกันกับผู้คน
ภาพที่ ๒ : กรณีศึกษาในเชิงวิธีวิทยา ต้องเลือกให้สามารถสะท้อนปรากฏการณ์
ของระบบอันซับซ้อนและเชื่อมโยง
จากตัวอย่างสมมุตินี้ ในจำนวนกลุ่มคน ๘ กลุ่มนั้น จะเห็นว่ามีเจ้าของบ้านอยู่ด้วย และเจ้าของบ้านนั้นก็ใช้กางกรดเป็นวิธีแก้ปัญหายุงกัด ซึ่งข้อมูลการทำกรณีศึกษากลุ่มคนอื่นๆนั้น จะไม่สามารถอธิบายการที่ยุงไม่กัดได้ แต่สำหรับเจ้าของบ้านแล้ว เมื่อพิจารณาเลือกเป็นกรณีศึกษาในเชิงวิธีวิทยา ก็กลับจะเป็นการทำการศึกษาได้อย่างถูกต้องในเชิงวิธีวิทยา เป็น Key Informant อันแท้จริงสำหรับกรณีนี้ที่จะอธิบายระบบต่างๆเกี่ยวกับการแก้ปัญหายุงกัด มิใช่อยู่ที่มีเทคโนโลยีและวิธีการแก้ปัญหาดีกว่าใคร แต่ทว่าเพราะเป็นเจ้าของบ้าน เป็นผู้ติดมุ้งลวด เป็นตัวแทนความจริงได้ครบถ้วนที่สุด มีประสบการณ์ตรงต่อระบบใหญ่และซับซ้อน ครอบคลุมลักษณะย่อยของทุกกลุ่มที่เหลือ ในขณะที่ระดับประสบการณ์ซึ่งมีอยู่ในความเป็นเจ้าของบ้านนี้จะไม่มีในกลุ่มทางสังคมกลุ่มอื่น ดังนั้น แม้เลือกเพียง ๑ กรณีศึกษา ก็สามารถเข้าถึงความรู้จริงได้ดีกว่าและถูกต้องกว่าการเลือกตัวแทนกลุ่มต่างๆอีก ๗ กลุ่มไปตามเทคนิคและขั้นตอนการวิจัยอย่างไม่มีความหมาย ดังนี้เป็นต้น วิธีอย่างนี้ เรียกว่าเป็นวิธีวิทยาทำกรณีศึกษาในงานวิจัยแบบ PAR ซึ่งเมื่อเลือกโดยวิธีวิทยาอย่างนี้ การทำกรณีศึกษาก็จะแม่นยำ งานวิจัยเชิงคุณภาพที่มีชื่อเสียงของโลกหลายชิ้นจะเลือกกรณีศึกษาด้วยวิธีคิดอย่างนี้ และก็ให้ทฤษฎีพื้นฐานเป็นที่อ้างอิงได้อย่างกว้างขวาง
พลังอันแท้จริง ของการทำกรณีศึกษาในการวิจัยแบบ PAR
เมื่อเป็นดังนี้ ก็จะเห็นได้ว่า การทำกรณีศึกษาในการวิจัยแบบ PAR จึงไม่ใช่การเลือกโดยจุดมุ่งหมายเชิงเทคนิคการเก็บข้อมูลให้มีคุณภาพแต่เพียงเท่านั้น แต่จะเป็นภาพสะท้อนของการใช้ความรู้เชิงระบบอันซับซ้อน เลือกโดยมีฐานทฤษฎี ความรอบรู้ สะท้อนประสบการณ์ต่อสังคมและประสบการณ์ต่อความเป็นจริงอย่างลึกซึ้งในสิ่งที่ต้องการศึกษา เพื่อทำกรณีศึกษาและสร้างความรู้ความเป็นจริงในระดับปรากฏการณ์ที่เป็นปฏิสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างเป็นพลวัตรของชุดปัจจัยและองค์ประกอบอันซับซ้อนต่างๆ ซึ่งทั้งหมดก็จะต้องเห็นด้วยความรู้ เห็นด้วยวิธีคิดและทรรศนะเชิงวิพากษ์ เห็นแจ้งไปจนถึงกระบวนการที่เชื่อมโยงและสะท้อนกันและกันของการปฏิบัติและระบบวิธีคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเห็นด้วยทรรศนะของผู้ที่อยู่ในบริบททางสังคมและสิ่งแวดล้อมนั้นๆ หรือเป็นส่วนหนึ่งของแรงขับเคลื่อนตัวปรากฏการณ์สังคม ซึ่งจะสามารถเข้าถึงวิถีทรรศนะและความจำเพาะตนที่จะไม่สามารถได้จากงานวิจัยและการทบทวนวรรณกรรมเพื่อสร้างผลสรุปขึ้นจากสังคมอื่นๆหรือบริบทของกรณีอื่นๆมารวมกัน
ดังนั้น การทำกรณีศึกษาในการวิจัยแบบ PAR ในอีกแง่หนึ่ง จึงเปรียบเสมือนห้องปฏิบัติการทางสังคม หรือ Social Lab ซึ่งไม่เพียงเป็นวิธีพิสูจน์ให้เห็นจริงทางการปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาและสร้างความรู้ความจริงต่างๆร่วมกันได้เท่านั้น แต่จะสามารถสร้างคนที่เข้าไปมีส่วนร่วมให้เข้าถึงประสบการณ์ต่อสังคมอย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ สามารถหยั่งถึงความเป็นจิตวิญญาณทางสังคมและได้ความละเอียดอ่อนลึกซึ้งเข้มข้นมากกว่าการรับรู้ผ่านการอ่านความรู้บนเอกสารอย่างเดียว ทำให้สามารถออกไปเป็นเครือข่ายนำการเปลี่ยนแปลงในเรื่องต่างๆที่ตนเองให้ความสนใจด้วยความความเข้าใจอย่างเชื่อมโยงรอบด้าน อีกทั้งมีมิติความรู้ระดับปฏิบัติได้ ติดตัวออกไปเป็นความรู้จำเพาะตน
ผลของการวิจัยแบบ PAR จึงครอบคลุมทั้งการได้ร่วมกันแก้ปัญหาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขภาวะชุมชน, ได้กระบวนการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาที่ริเริ่มและใช้ได้จริงในสถานการณ์นั้นๆ, ได้การสร้างความรู้ที่ตอบโจทย์ระดับบริบทจำเพาะ, และการได้สร้างคน-สร้างชุมชนให้เกิดประสบการณ์ต่อความเป็นจริงทางสังคมด้วยตนเอง มีภูมิปัญญาปฏิบัติ สั่งสมเป็นทุนทางสังคมไปกับการดำเนินการวิจัย.
ขอบคุณค่ะ..อ่านแล้วมองทะลุไปถึงแก่นแท้ของการวิจัยแบบ PAR ที่เชื่อว่า ผลงานวิจัยย่อมให้ทางออกของการแก้ปัญหาและพัฒนางานปฏิบัติ ได้ตรงจุดที่ต้องการอย่างแท้จริง..พี่รอดูตัวอย่างดีๆของงานวิจัยในลักษณะนี้นะคะ..
ภาพท้องฟ้าใกล้ค่ำที่ตึก SCB
สวัสดีครับพี่นงนาทครับ
อาจารย์วิรัตน์ ครับ
องค์ความรู้ที่มีอยู่ในตัวของอาจารย์ และได้ถูกถ่ายทอดไว้...ผ่านบันทึก
ทุกครั้งที่ได้เข้ามาอ่าน ...(ผมอาจเข้าใจได้ไม่ทั้งหมด ...แต่ในความรู้สึก ผมมองครับว่า องค์ความรู้แบบนี้ มีพลังขับเคลื่อนมากเหลือเกิน)
ดีใจทุกครั้ง ที่เห็นบันทึกของอาจารย์โลดแล่น ...อยู่ ณ ชุมชนแห่งนี้
บันทึกเก็บไว้อ่านแล้วนะครับ
...
อากาศทางนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ
รักษาสุขภาพด้วย นะครับ
..
ด้วยความเคารพรัก
สวัสดีครับคุณแสงแห่งความดีครับ
*พี่มาขอบคุณสำหรับทัศนศิลป์ที่ลุ่มลึกต่อภาพท้องฟ้าใกล้ค่ำที่ตึก SCB จากหน้าต่างห้องทำงานที่ชั้น ๑๙ ..พี่ได้เรียนรู้มุมมองที่น่าสนใจเพื่อนำไปประกอบการถ่ายภาพในครั้งต่อไปด้วยค่ะ..
*ขออนุญาตนำทัศนศิลป์ที่มีคุณค่านี้ของอาจารย์ ไป post ไว้ที่บันทึกชื่อ :
"มองฟ้างามทุกยามยลที่ตึก SCB"
กล้องถ่ายรูปเดี๋ยวนี้ถ่ายภาพแบบย้อนแสงหรือเงาดำได้ดีกว่าเมื่อก่อนนี้นะครับ ผมเองนั้นก็ชอบถ่ายรูปและวาดรูปที่เพิ่มมิติการเล่นแสง-เงา ด้วยการถ่ายภาพย้อนแสงและวาดรูปแบบเล่นน้ำหนักเงาให้เป็นตัวถ่ายทอดเรื่องราวหลักนะครับ คนเขียนรูปที่ทำงานผ่านภาพย้อนแสงและโชว์ศิลปะของเงาในบ้านเรานั้นมีไม่กี่คนครับ แต่เดิมนั้น ส่วนใหญ่ก็จะทำงานด้วยการปาดเกรยองหรือไม่ก็ภาพดรออิ้งแบบสีดำๆน้ำหนักเดียว
สำหรับคนเรียนศิลปะและช่างเขียนรูปนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่าใครปาดเกรยองสวยและเขียนรูปจัดวางแสงเงาแบบย้อนแสงสวย ก็จะเป็นคนที่ตกผลึกและฝึกปรือจนอยู่ในขั้นที่จะทำสิ่งที่ไม่สวยอย่างไร ก็ให้สวยและมีเรื่องราวได้หมด แม้แต่สีดำพื้นๆสีเดียวหรือภาพย้อนแสงมืดๆซึ่งคนทั่วไปหากจัดวางไม่เป็นและไม่มีศิลปะ คนดูก็จะเห็นได้ว่ามันเป็นรูปเสีย ดังนั้น มือปาดเกรยองและคนทำงานแนว Sillhouette ก็มักจะเป็นที่ยอมรับว่าเป็นคนสร้างสุนทรียภาพและสื่อสะท้อนความงามทางศิลปะด้วยการจัดวางวิธีคิด วิธีมอง และแม่นเรื่องการจัดองค์ประกอบ หรือ Composition ที่คนทำงานศิลปะชอบเรียกกันว่า การจัดคอมโสต์
การถ่ายภาพย้อนแสงและทำงานแนว Sillhouette ในทางศิลปะภาพถ่ายจะให้ผลที่แปลกออกไปหลายอย่างครับ ที่สำคัญ น้ำหนักของเงาจะเน้นให้องค์ประกอบภาพแน่น ลงตัว คุมโทนทั้งภาพให้มีแนวคิดเชื่อมโยงกลมกลืน และถ้าหากรู้จังหวะหรือใช้แฟลชช่วยลดความเข้มของเงา ก็จะให้ผลเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งคือ ภายในเงาทึบปื้นๆที่เหมือนกับไม่มีอะไรนั้น เมื่อมองให้ดีก็กลับมีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกเยอะแยะ และภายในเงาและน้ำหนักทึบๆก็กลับมีสีที่อิ่มตัว เข้มข้น ซึ่งภาษาศิลปะเรียกว่ามีแมส-Mass มากกว่า ด้านที่ให้แสงสว่างแบบแจ๋นๆ
รูปวาดแบบเงาดำและย้อนแสง เมื่อจัดวางดีๆก็กลายเป็นมีเรื่องราว ได้ความงามทางศิลปะ ให้การครุ่นคิด และให้ทรรศนะต่อการมองสิ่งต่างๆ ได้ดีมากอีกแนวหนึ่งครับ ในการเขียนภาพแบบเซนและเต๋านั้น เชื่อว่าความงามและความจริงคือตัวกระบวนการทางปัญญาที่อยู่ข้างในของปัจเจกและชุมชน ดังนั้น ก็มักเน้นการสื่อสะท้อนด้วยการเขียนภาพสีเดียว ดำๆ หรือลายเส้นปื้นๆ เพราะมาจากแนวคิดพื้นฐานที่ว่าสีสันและความงามไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่อยู่ในตัวเรา ซึ่งก็จะเป็นวิธีคิดที่ให้ความหมายแก่ศิลปะไปด้วยว่า ศิลปะคือการพัฒนาวิธีมองและการพัฒนาทรรศนะ เทคนิคและวิธีการภายนอกเป็นเพียงเงื่อนไขเพื่อการเข้าถึงภาวะดังกล่าวนั้นเท่านั้น
ก็เลยมีภาพมาอวดกันดูอีกรอบครับ เป็นภาพแนวย้อนแสงและเล่นกับเงาดำ สีเดียว แต่พอเราจัดวางน้ำหนักได้ดี คนดูก็กลับจะไม้ได้มองเห็นอย่างที่รูปภายนอกมันเป็น เพราะเขาจะสามารถเห็นป่า เห็นและรู็สึกได้ถึงความร่มรื่น ความมีสีสัน และบรรยากาศความมีชีวิตชีวา ไม่ได้เห็นเป็นภาพขาวดำแบบทั่วๆ หากอธิบายด้วยแนวคิดที่ใช้ทำงานแนวนี้ก็คือ เป็นการเห็นการตื่นอยู่กับตนเองน่ะครับ
วิธีคิดสำหรับการทำงานแนวนี้ ออกจะต่างจากวิธีคิดแบบทั่วไปสักหน่อย เนื่องจากโดยทั่วไปนั้น ก็จะมีวิธีคิดและวิธีมองอีกชุดหนึ่งว่า ศิลปะและความงามเป็นอิสระออกจากตัวเราที่ผู้อื่นสร้างให้เราบริโภคได้ ดังนั้น ความงามก็อยู่ที่ผู้สร้างและอยู่ที่ชิ้นงานศิลปะอย่างสมบูรณ์ วิถีทรรศนะอย่างนี้ก็จะมีแนวการทำงานไปอีกแบบหนึ่ง และในการดูให้ได้ความซาบซึ้งก็จะต้องเข้าถึงด้วยทรรศนะอีกชุดหนึ่ง
ส่วนงานในแนวนี้ก็จะมองหลากหลายทรรศนะไปอีกทางหนึ่ง โดยจะเชื่อว่าโลกภายนอกและวิธีทำงานศิลปะนั้น สร้างให้กันอย่างเบ็ดเสร็จไม่ได้ เป็นได้เพียงมีบทบาทเป็นกัลยาณมิตรและสภาพแวดล้อมเพื่อให้ความบันดาลใจที่ดีๆเฉยๆแก่กันได้เท่านั้นครับ ส่วนเรื่องราวและความงอกงามจากการเรียนรู้ภายในจะเป็นอย่างไรนั้น เป็นสิ่งที่ผู้คนเขาจะสร้างขึ้นอย่างเฉพาะตนและอย่างมีความเป็นตัวของตัวเอง การทำงานศิลปะแนวนี้ จึงเปรียบเหมือนการทำงานเพื่อจัดวางปัจจัยแวดล้อมให้ผู้ชมเข้าถึงภาวะแห่งตนด้วยตนเอง หากผู้ชมดูโดยการหาความสวยงามจากข้างนอกอย่างเดียว บางทีก็เลยจะเห็นว่ามันไม่สวยงามอย่างใดเอาเสียเลยละครับ
งานศิลปะในแนวต่างๆก็มีวิธีวิพากษ์และมี Dialogue เพื่อนำเสนอทรรศนะดีๆมากมายเหมือนงานในสาขาอื่นๆเช่นกันครับ ที่สำคัญคือวิธีทำงานศิลปะมักเหมือนช่องทางไหลผ่านของความบันดาลใจจากสังคม สภาพแวดล้อม และการตกผลึกความร่วมสมัยของปรากฏการณ์ ดังนั้น จึงสามารถบันทึกและสะท้อนความเป็นสภาวการณ์ต่างๆของสังคมให้ผู้คนสามารถเข้าถึงประสบการณอันลึกซึ้งต่อสังคมได้ แต่มันเป็นภาษาศิลปะ คนทำงานศิลปะในบ้านเราและในต่างประเทศใช้ศิลปะทำงานเชิงความคิด และบางทีก็จะไปได้ไกลกว่าวิธีการอื่นมากๆครับ ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะโดยมากแล้วจิตรกรและศิลปินจะทำงานที่มีอิสรภาพภายในตนเองจากสิ่งจูงใจและที่ยึดเหนี่ยวภายนอกได้มากกว่าใคร งานความคิดที่มาก่อนกาลหรือก้าวหน้าจนพ้นยุคไปแล้วคนถึงจะถอดรหัสออกหรือตามทัน จึงมักจะเกิดผ่านวิธีทำงานศิลปะอยู่ตลอดมาครับ
ในบ้านเรานั้น บทบาททางศิลปะต่อสังคมอย่างนี้เกิดขึ้นได้ยาก เพราะคนทำงานศิลปะก็มักจะเบื่อหน่ายที่จะคุยภาษาอื่น ส่วนชาวบ้านคนทั่วไปก็ห่างเหินและปีนขึ้นไปดูงานศิลปะไม่ค่อยถึง อีกทั้ง ความเป็นสังคมบริโภคทางวัตถุและการเลือกสรรประโยชน์เพียงการได้กำไร ซึ่งมีอิทธิพลไปทั่วทุกระบบของทุกสังคมในโลกนั้น อะไรที่แม้เป็นเรื่องพื้นฐานของมนุษย์ดังเช่นธรรมชาติความงามทางจิตใจอย่างเรื่องศิลปะนี้ แต่มันไม่สามารถเป็นที่มาของการได้ประโยชน์ในรูปของกำไรและประโยชน์ทางวัตถุ สังคมก็จะใช้เกณฑ์นี้เป็นตัวบอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งไม่มีประโยชน์ ก็เลยขาดการสั่งสมวิธีสร้างภูมิปัญญาและการเรียนรู้ตนเองไปอีกวิธีหนึ่ง จะว่าไปแล้วก็คือ เหมือนกับต้องทิ้งความเป็นจิตวิญญาณทางสังคมออกไปเลย
*ขอบคุณอย่างยิ่งค่ะสำหรับศิลป์อรรถกถาธิบายเพิ่มเติม ที่เคลื่อนจินตนาการของพี่ไปตามรูปถ่ายและรูปเขียนงดงามของอาจารย์ ซึ่งคลี่รายละเอียด และความหมาย ภายใต้ความมืดที่ไม่มืดอย่างที่เห็น..เหมือนดั่งคำกล่าวของ Em' ile Zola :
" He knows how to covey his impressions "
* เมื่อคืนนี้ พี่ได้กลับไปเปิดหนังสือรวบรวมผลงานศิลป์ ที่เคยชมชอบงานศิลป์ประเภทสีสันสวยงาม เป็นภาพในสวนบ้าง..ริมฝั่งน้ำบ้าง..ในทุ่งหญ้าบ้าง..แต่ครั้งนี้ ได้เลือกหาภาพย้อนแสงที่เคยมองผ่านๆ..ได้พบภาพสีทึมๆ ที่ต้องกลับมาเพ่งพินิจตามแนววิพากษ์ของอาจารย์..ได้เห็นความลึกซึ้งที่แอบแฝงมากขึ้น..
*ขอบคุณค่ะที่ช่วยให้เกิด "ตาถึง" งานประเภทนี้..
Camille's Souvinir of Italy
Renoir's Interpretation of Corot,1897
*พี่ขอกลับมาสนทนาต่อด้วยความประทับใจในมุมมองของอาจารย์ เรื่อง แสง-เงา และภาพนี้ของ Monet ที่พี่ชื่นชอบมากค่ะ..รายระเอียดทุกจุดเสริมความสมบูรณ์ของทุก subject อย่างลงตัวที่สุด
*จากภาพศิลป์ ที่พี่เลือกมาอีก ๒-๓ ภาพ ที่พี่มีความเห็นว่า ภาพเหมือนของสตรีเหล่านี้ ศิลปินได้ใช้จินตนาการของ ความมีชีวิตชีวา เพื่อแต่งแต้มความงดงามอย่างธรรมชาติ ชวนให้เพ่งพินิจครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งกว่ามองภาพถ่ายที่แห้งแล้งกว่ากันมากในเกือบทุกมิติ..สมดังคำกล่าวของ Em' ile Zola ข้างต้นด้วยค่ะ
Renoir's Madmoiselle Marrie
Renoir's Rapha Maitre'1871
Renoir's Lise (Woman with Parasol) 1867
ที่มา : หนังสือรวมภาพศิลป์ของ Renoir: Painter of Happiness
สวัสดีครับพี่นงนาทครับ
ความท้าทายอย่างหนึ่งของ กลุ่ม theory คือการลงไปเรียนรู้กับพื้นที่ ชีวิตจริงๆ นอกจากความคุ้นชินในตำรา เเละ อ้างอิงวาทกรรมบังคับที่มีกลิ่นเนยนม
เสน่ห์ของ PAR ก็คือ เห็นพลังที่เชื่อมกันระหว่าง คน กับ คน การผุดบังเกิดของความรู้ใหม่ที่ช่วยกันสร้างบรรยากาศของการเรียนรู้ ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า ทฤษฏีจะเติบโตเมื่อเราอยู่กับความจริงที่เป็นพลวัต
Unfalsifiable Theory-ism ครับ
ผมรู้สึกคัดจมูกเลยและความคิดทึบๆชอบกล วิธีหนึ่งที่แก้ได้ผลคือเปล่าขลุ่ยหรือเล่นกีตาร์แหกปากร้องเพลงเพื่อออกกำลังปอดและบริหารทางเดินของลงหายใจส่วนบน แลเวก็ได้อยู่กับตัวเองเพลินๆไปด้วย จนถึงเพลงนิทานหิ่งห้อยของศุ บุญเลี้ยง ผมเพิ่งเคยเอาเพลงนี้มาร้องเต็มๆด้วยตนเอง เคยแต่เล่นกีร์ต้าให้คนอื่นร้อง ไม่เคยฟังเนื้อร้องถนัดๆและเห็นรายละเอียดเลย พอร้อพักผ่อนเล่นแล้ว เนื้อเรื่องในนิทานเพลงหิ่งห้อย ก็ทำให้นึกถึงภาพเขียนแนวเล่นกับแสง-เงาและไรแดด รวมทั้งภาพเขียนแนวย้อนแสงแบบ Sillhouette ......วิธีคิดในเนื้อเพลงถ่ายทอดไว้ว่า......
...........เรื่องราวกล่าวขานมานาน
ว่าใครได้จับหิ่งห้อยมาเก็บเอาไว้ใต้หมอน
นอนคืนนั้นจะฝันดี จะฝันเห็นดวงดาวมากมาย
ฝันเห็นเจ้าชายเจ้าหญิง ฝันแสนสวยงาม......
..........................................................
..........................................................
.................หลังจากแอบไปจับหิ่งห้อยเอาเก็บไว้ใต้หมอนแล้วคืนหนึ่ง
รุ่งเช้า ก็ไม่ยักฝันเห็นอะไร เด็กน้อยเลยรีบไปค้นดูที่ใต้หมอน.....
พลันก็พบกับหนอนตัวหนึ่งนอนแทนหิ่งห้อย อยู่ในกล่อง
ไม่สวยเหมือนตอนเป็นหิ่งห้อยเกาะบนต้นลำพูและส่องแสง...........
คุณยายของเด็กน้อย เห็นเด็กมีประสบการณ์และรับรู้ต่างๆได้ดีแล้ว
ก็เลยอบรมสอนคิดสอนหลักชีวิตให้ว่า.......
การมองเห็นความงาม
ต้องเห็นความเป็นทั้งหมดตามความเป็นจริง
อย่าขังความจริงเพียงให้ไม่เห็น
ก็เป็นการไม่ขังความงาม
ได้อารมณ์และหลักคิดเช่นเดียววิธีคิดในศิลปะของแสง-เงามากเลยทีเดียวครับ การเห็นโอกาสในวิกฤติ การเห็นโอกาสสร้างความสุขในการแก้ไขความทุกข์ การเห็นน้ำหนักบนแสงสว่าง และการเห็นสีสันกับความสว่างรื่นรมย์ในเงา ก็เป็นมรรควิถีศิลปะแนวหนึ่งที่น่าสนใจ ลึกซึ้ง.
* พี่มาขอแก้คำผิด 2 ที่ในความเห็น ที่ 7 และ 9 ค่ะ :
Em' ile Zola :
" He knows how to convey his impressions "
Renoir's " Among the Roses (Madame Le'on Clappison,1882)"
* ในโลกใบนี้ มีความงามของธรรมชาติหลากหลายเกินกว่าจะหยิบจับได้หมดในช่วงชีวิตหนึ่ง ซึ่งสำหรับพี่แล้ว..ยังเป็นเสมือนเด็กน้อยกับหิ่งห้อย ที่ต้องเรียนรู้แง่มุมความงามรอบตัวอีกมากมาย..ขอบคุณอาจารย์มากค่ะที่เปิดโลกทัศนศิลป์ที่ G2K แห่งนี้..
*เมื่อเช้านี้ แสงแดดสดใสมาก พี่เก็บดอกชบาสีเหลืองจากบ้านมาฝากค่ะ...
*พี่เพ่งพินิจภาพเขียนของอาจารย์ที่งดงามครบทุกมิติตามที่ได้บรรยายไว้ทุกประการ..เก็บมุมสวยทั้งแสง-เงา-อากาศ ได้ดั่งที่อยากจะแสดงออกอย่าง"แม่นยำ" ตาม theme ที่ต้องการ..ไม่หลุดเลอะเกินเลยแม้แต่น้อยนิด..ทั้ง texture ของกลีบดอกไม้ ตะกร้าหวาย และองค์ประกอบอื่นทุก subject ที่กลมกลืน..สุดยอดจริงๆค่ะ..
*ศิลปินคิดเหมือนกันได้..ผู้ชมเห็นต่างกันได้..แต่มารวมลงอยู่ด้วยความสุขที่รื่นรมย์ในความงดงามนี้เหมือนกันๆนะคะ..
Renoir's Flowers in a Vase ,1886
ที่มา : หนังสือรวมภาพศิลป์ของ Renoir: Painter of Happiness
สวัสดีค่ะ อาจารย์วิรัตน์