การที่เราสนใจเรื่องความเหลื่อมล้ำความรู้ ก็เพราะเราเอาประโยชน์เป็นตัวตั้ง
เพราะหากไม่เอาประโยชน์เป็นตัวตั้ง เราคงไปสนใจการเหลื่อมล้ำความบันเทิงแทน
การเกิดประโยชน์ มองให้ดี เป็นกระบวนการต่อเนื่อง
เวลาคิดเรื่องกระบวนการต่อเนื่อง ผมพยายามตั้งเป็นสมการที่อธิบายกระบวนการนั้นก่อน แล้วค่อยมาดูเจาะลึกถึงส่วนย่อย ๆ ในสมการอีกทีเพื่อตีความ
สมการบรรยายประโยชน์ ถ้าดูตั้งแต่ต้นจนจบ ก็จะเขียนได้ทำนองนี้
ประโยชน์
= การเข้าถึงโอกาส x การสามารถใช้โอกาสเป็น x การมุ่งหมายประโยชน์ x ธรรมชาติของสิ่งนั้นว่ามีประโยชน์หรือไม่
ที่เป็นการคูณ เพราะถ้าลองแทนค่าดู รายการไหนเป็นศูนย์ ผลสุดท้าย ก็คือไร้ประโยชน์ แม้อย่างอื่นจะผ่านหมดก็ตาม
และอีกอย่าง ลองสมมติว่า มุ่งหมายประโยชน์เรื่องการทำลายล้าง (ค่าติดลบ) แต่ทำในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์อย่างสิ้นเชิง ยิ่งทำยิ่งเปลืองตัว (ค่าติดลบเหมือนกัน) ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นผลดีได้เฉยเลย เพราะลบคูณลบ ได้เป็นบวกครับ ยิ่งสนับสนุนแนวคิดว่า ควรใช้การคูณ ไม่ใช่การบวก ในสมการนี้
กระบวนการที่ส่งต่อกันเป็นทอด ๆ แบบนี้ จุดอ่อน อยู่ที่ขั้นตอนที่ห่วยที่สุด ณ เวลานั้น ๆ
เช่น ถ้ายุคนี้ คนมีปัญหาเรื่องเข้าไม่ถึงโอกาส จุดอ่อนของการใช้ความรู้ให้เกิดประโยชน์ ก็อยู่ที่ตรงนี้
แต่สมมติว่าอีกสิบปีข้างหน้า เรื่อง IT ไม่มีปัญหาเพราะราคาถูกจนทุกคนเข้าถึง จุดอ่อน อาจไปอยู่ขั้นถัด ๆ ไป คือ เรื่องใช้โอกาสไม่เป็น คือมีความรู้แบบผิวเผินรู้ไม่จริงจนเปลี่ยนพฤติกรรมได้ หรือเรื่องไม่มีจุดมุ่งหมายเรื่องประโยชน์ คิดว่าความรู้มีไว้แค่เป็นใบเบิกทางการเข้าทำงาน
ลองมาดูกันทีละข้อนะครับ
ข้อแรกก่อน
ถ้าคนเรา เข้าไม่ถึงโอกาส ก็ถูกกันออกจากดงความรู้
ที่พูดเรื่อง digital divide ก็มักมีความหมายถึงประเด็นนี้เป็นหลัก
คือมีคนในสังคมที่ขาดโอกาสเดินผ่านประตูบานใหญ่ที่ชื่อ IT เข้ามาในดงความรู้
แต่ดงความรู้มีแต่ใน IT หรือเปล่า
คงไม่ใช่ มันมีความรู้ในตัวคนด้วย ซึ่งอาจจะสำคัญไม่แพ้กัน ตรงนี้ จริง ๆ ก็คือเรื่อง KM นั่นแหละ เพียงแต่ตอนนี้ กระแสมันซาไป คนเลยมองข้าม แต่จริง ๆ IT กับ KM นี่ เสริมกันครับ คือ ด้านหนึ่ง หาเองผ่าน IT อีกด้าน หามาผ่านคนอื่น (KM) และต้องมีส่วนที่สร้างใช้เองด้วย (ทำภายนอกคือวิจัยค้นคว้า ทำภายในคือการบ่มเพาะสติปัญญา)
แสดงว่า ต้องมองแตกแขนงว่า การเข้าถึงดงความรู้ ควรเป็นดังนี้
การเข้าถึงโอกาส = การเข้าถึง IT + การเข้าถึงคนที่มีสติปัญญาความรู้ + การเข้าถึงความรู้และสติปัญญาในตัวเอง
ที่ต้องบวกกัน เพราะเป็นชิ้นส่วนย่อยที่ต้องเอามาต่อกัน จึงจะเป็นภาพเต็ม
กลับมาดูเรื่องการเข้าถึง IT อีกที
จะตอบโจทย์ข้อนี้ ต้องมองเรื่องนโยบายสาธารณะ ต้องมองเรื่องโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะที่รองรับ ต้องมองเรื่องเทคโนโลยีที่ประหยัด แต่คุ้ม ต้องมองเรื่องการเตรียมพร้อมคนที่เอื้อการเรียนรู้ขั้นแรก ๆ
คนกรุงเทพ มีโอกาสสูงเรื่องโครงสร้างพื้นฐานมากกว่าต่างจังหวัด เช่น มีแหล่ง hot spot ที่คนเข้าถึงง่ายตามที่สาธารณะ
hot spot นี้ หมายถึงบริเวณมีสัญญาณข้อมูลไร้สายที่ไวร้อนแรงได้ใจ
อย่าแปลว่า เป็นตำแหน่งที่ร้อนจี๋เพราะไปเผาอะไรเข้า (เผารถ หรือ หรือเผาอนุพันธ์อันดับหนึ่งของรถ มียางรถเป็นอาทิ)
แปลแบบนั้นไม่ได้ ถือว่าแปลผิดอย่างให้อภัยกันมิได้
ที่ผิด เพราะตำแหน่งเหล่านั้น ตอนนี้ เย็นหมดแล้ว (ไฟดับ)
....
...
ข้อสองบ้าง
ทีนี้ ถ้าคนเรา เข้าถึงโอกาสแล้ว แต่ใช้ไม่เป็น ก็ไม่ได้ความรู้
ตรงนี้ ไม่เกี่ยวกับ digital divide แล้ว แต่เป็น knowledge divide รึไม่ก็เป็น wisdom divide ซะมากกว่า
ถ้าใช้ไม่เป็น แม้ดูเผิน ๆ ได้ความรู้ แต่ก็จะเป็นได้ลูบได้คลำความรู้ซะมากกว่า
คือ ความรู้ลัดวงจร ไม่ยอมไหลผ่านสมอง แต่ไหลผ่านมืออย่างเดียว
ก็จะทำให้หลงทางอยู่ในเขาวงกตของความรู้
ตัวอย่างครับ ตัวอย่าง
ครูมอบหมายนักเรียนทำรายงานเรื่องน้ำพริก นักเรียนไปใช้ search engine สักพัก ก็พิมพ์มาส่ง ไวสายฟ้าแลบ
ครูก้มหน้าก้มตาตรวจ มีอุทาน "โอ้ ความดีของฉัน !"** สลับกับ "อุจจาระศักดิ์สิทธิ์ !!@"** เป็นระยะ
ครูตรวจเสร็จ ก็เรียกเด็กมาชมซึ่งหน้า
"เธอนี่เก่งนะ เขียนได้ฮามาก ครูชอบ ฮาแบบนี้นี่แหละ สเป๊คครูเลย***"
"ฮาตรงไหนครับคุณครู"
"ฮาตรงที่สนุกกว่าอ่านซับนรก*นะสิ"
*ซับนรก = subtitle ของซีดีเถื่อนที่แปลโดยมือระดับพระกาฬระย่อ (คลิกดูตัวอย่างที่นี่)
**แปลจาก "Oh ! my goodness !" และ "Holy Shit !!@"
... หลักฐานชิ้นนี้บ่งว่า ครูดูซีดีเถื่อนมากไป
*** ประโยคนี้ ซัดทอดอย่่างปฎิเสธไม่ได้ ว่าเสพติดซีดีเถื่อนจริง ๆ
นี่คือตัวอย่างไม่กี่บรรทัดของการบ้านดังว่านั้น
ลอนดอน, อังกฤษ - อี๋ร้อนพวกเขาให้ดวงตาน้ำ เชื้อชาติหัวใจของคุณ และคุณสามารถเปิดหน้าเจื่อนแดง.
(มาจากต้นฉบับ CNN: LONDON, England -- Painfully hot, they make your eyes water, your heart race and can turn your face embarrassingly red.)
เนื่องจากสาเหตุน้ำพริกสุดโต่งขับเหงื่อและเลือดวิ่งไปที่หน้านั้น cools ร่างกายลงเมื่อเหงื่อ evaporates ทำให้มันมีประโยชน์สำหรับการต่อสู้ร้อน.
(มาจากต้นฉบับ CNN: As the chili causes extreme sweating and blood rushing to the face, it cools the body down when the sweat evaporates, making it useful for combating heat.)
ขอบคุณ CNN.com สำหรับบทความเรื่องพริกทำให้ชีวิตซู่ซ่า (Chili peppers add spice to life) และขอบคุณ translate.google.com สำหรับการแปลที่เพิ่มความซู่ซ่าให้ชีวิต
ถ้ายังไม่จุใจเรื่อง google translation ขอเชิญอ่านที่นี่ต่อ หรือที่นี่ก็ได้ รับรองฮา
เด็กถ้าโตมาด้วยเส้นทางแบบนี้ ไม่ต้องไปหวังว่าจะเป็นพลเมืองที่เก่ง ไม่ว่าจะเรียนได้ดีกรีสูงขนาดไหนก็ตาม
...เอ๊ะ ทำไมถึงคิดว่าผมพูดพาดพิงคนที่เค้านินทากันทั้งเมืองเข้าล่ะครับ ?
...คิดแบบนั้นผมเสียหายนะครับ !...
คราวนี้ มาข้อสาม
มีโอกาสแล้ว ใช้เป็นแล้ว ต้องมุ่งหมายประโยชน์ด้วย
เพราะถ้าใช้ความเก่งไปในทางที่ผิด ก็จะสร้างปัญหา เบาะ ๆ ก็ต่อตัวเอง หนัก ๆ ก็ต่อสังคม
แบบนี้ เป็นปัญหาเรื่อง moral divide
ตัวอย่างอัปมงคลคงไม่ต้องเอ่ยถึง มีข่าวออกบ่อย
ถ้าสอบผ่านข้อนี้ ก็ถือว่า เป็นพลเมืองที่คุณภาพคับแก้ว
แล้วก็ ข้อสี่ ข้อสุดท้าย คือ ธรรมชาติของเรื่องนั้น เอื้ออำนวยไหม ให้เกิดประโยชน์
แต่ข้อนี้ พูดยาก เพราะมีตัวที่เราไม่สามารถคุมได้เข้ามากเกี่ยวข้องมาก เรื่องที่ดูเหมือนไม่มีประโยชน์ อาจหักมุมมีประโยชน์มากก็ได้ จึงขอตัดเรื่องนี้ออกไปจากการพิจารณา
ความเหลื่อมล้ำของโอกาสเข้าถึงความรู้ โดยตัวมันเอง เป็นส่วนย่อยของ ความเหลื่อมล้ำเรื่องการจัดการความรู้อย่างเหมาะสม
ความเหลื่อมล้ำของการจัดการความรู้อย่างเหมาะสม โดยตัวมันเอง ก็เป็นส่วนย่อยของ ความเหลื่อมล้ำของคุณภาพพลเมือง อีกต่อหนึ่ง
การลด digital divide (โดยจัดหาวัตถุสิ่งของ หนังสือหรือเนื้อหาวิชาการ) จึงเป็นกระบวนการที่ต้องเกิดควบคู่กับกระบวนการจัดการความรู้ (คือ เรียนรู้อย่างฉลาดให้เป็น) และเกิดควบคู่กับการปลูกฝังจิตบริการสาธารณะ เพื่อให้ครบกระบวนการของการสร้างประโยชน์ของความรู้
เขียนมาตั้งยาว จะบอกแค่ว่า แก้ปัญหา digital divide ไม่ใช่จบแค่วัตถุสิ่งของ (รวมถึงโครงสร้างรองรับพื้นฐานสำหรับการสื่อสาร) เพราะมันเป็นแค่ปฐมบทของปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น คือ กระบวนการเพิ่มคุณภาพพลเมือง
การเข้าถึงโอกาส = การเข้าถึง IT + การเข้าถึงกลุ่มคนที่มีสติปัญญาความรู้ + การเข้าถึงศักยภาพและสติปัญญาในตัวเอง
digital divide จำเป็นต้องแก้เร่งด่วน ณ เวลานี้ก็จริง เพราะคนจำนวนมาก ยังได้แค่ชะเง้อคอดูห่าง ๆ
แต่อีกสิบปีข้างหน้า ต่อให้ไม่ทำอะไรเลย การเข้าถึง IT ก็จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะราคาคงถูกมากจนเป็นเสี้ยวเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวันของคนทั่วไป เพราะราคาถูกลงเรื่อย ๆ แบบหารสอง ทุก 1-2 ปี ซึ่งจะทำให้แม้คนที่ฐานะไม่ดี ก็เข้าถึงได้ และเทคโนโลยีคงแพร่กระจายได้ทั่วประเทศแล้ว
เหมือนกับมือถือ ที่ยุคแรก คนต้องรวยมาก จึงจะขวนขวายหามาใช้ได้ (มีปัญญาหิ้วเครื่องหนักหลายกิโลกรัมเข้ามาใช้) จนถึงเดี๋ยวนี้ คนต้องจนมากแบบสุด ๆ จึงจะไม่สามารถหามาใช้
ฟังดูเหมือนยาวนาน แต่จริง ๆ แล้วห่างกัน 20 ปีเท่านั้นเองนะครับ
ผมจะไม่แปลกใจถ้าอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ใช้โทรศัพท์ล่ามสายเสียบเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไร้ฮาร์ดดิสก์ บูตเครื่องแล้วเราใช้งานเสมือนหนึ่งว่าโทรศัพท์เป็นฮาร์ดดิสก์ประจำเครื่อง (ทำไมจะไม่ได้ ศูนย์คอมพิวเตอร์ที่ มอ. เคยทดลองใช้หน่วยความจำโทรศัพท์เป็นฮาร์ดดิสก์จำลองสำหรับบริการ ftp server โดยใช้ระบบ linux ubuntu มาแล้ว) ทำให้เพิ่มความสามารถของโทรศัพท์ขึ้นมาอีกอย่าง (นอกเหนือจากการใช้พูด / ใช้ส่งแฟ้ม / ใช้เป็น internet gateway / ใช้บันทึกสมุดนัด / ใช้แทน usb drive เก็บแฟ้มงาน / ใช้เกทับคนอื่นว่าตรูรวย รุ่นนี้หรูสุด ๆ อ่ะนะ <-- รายการนี้ วัยรุ่นบอก สำคัญกว่าอย่างอื่นที่กล่าวมาก่อนหน้าหมดเลย !)
และจะไม่แปลกใจ ถ้าใช้โทรศัพท์แทนเครื่องคอมพิวเตอร์ได้เลย (ต่อจอ กับ คีย์บอร์ด ผ่านสาย) ในยุคถัดไปจากนั้นอีกพักหนึ่ง
นั่นเพราะแนวโน้มเทคโนโลยี มันมีการควบรวมสมรรถนะ (functional convergence) คือ เครื่องเดียว เอนกประสงค์มากขึ้นเรื่อย ๆ
...จนชวนให้คิดว่า สุดทางวิวัฒนาการของโทรศัพท์ คือโทรศัพท์รุ่นที่ใช้ซักผ้าได้...
ถึงตอนนั้น digital divide อาจไม่ใช่ประเด็นอีกต่อไป...
ถึงตอนนั้น สมการก็จะเปลี่ยนไป...
การเข้าถึงโอกาส = การเข้าถึง IT + การเข้าถึงกลุ่มคนที่มีสติปัญญาความรู้ + การเข้าถึงศักยภาพและสติปัญญาในตัวเอง
แต่การเข้าถึงกลุ่มคนที่มีสติปัญญาและความรู้ หรือการเข้าถึงศักยภาพและสติปัญญาในตัวเอง ช่องว่างคงยังถ่างอยู่ตลอดไปเช่นกัน...
ปัญหาที่จะตามมาหลังจากนั้น ใหญ่กว่า digital divide ครับ
เมื่อเรามีความเสมอภาคทาง digital มากขึ้นแล้ว ปัญหาที่จะตามมาก็คือ ความเหลื่อมล้ำที่จะสามารถหลุดออกมาจากเขาวงกต digital ได้
อ้างอิง: smiley ก๊อปมาจาก iannnnn.com
รับความรู้ ความคิด ครับ :)
มาเปิดมุมมอง เพื่อคิดต่อค่ะ ขอบคุณค่ะ
อยากให้อาจารย์ช่วยสังเคราะห์ เรื่องความเหลื่อมล้ำทางความรู้ หลังจากที่วิเคราะห์แล้วข้างต้น คิดว่าน่าจะได้ประโยชน์มาก รอติดตามอยู่ค่ะ
ผมลองสังเคราะห์ด้วยการจับคู่หมวดที่ gotoknow จะจัด forum กับกระบวนการแห่งประโยชน์
ประโยชน์
= การเข้าถึงโอกาส x การสามารถใช้โอกาสเป็น x การมุ่งหมายประโยชน์ x ธรรมชาติของสิ่งนั้นว่ามีประโยชน์หรือไม่
การเข้าถึงโอกาส
การสามารถใช้โอกาสเป็น
การมุ่งหมายประโยชน์
หมวดใช้โอกาสเป็น ชื่อดูกว้างเป็นทะเลไปนิ๊ดดดดดนึง เห็นแล้วรู้สึกเวิ้งว้างชอบกล คือเรื่องเดียว รับรอง คลุมทุกอย่าง แต่เวลาถกกลุ่มย่อย จะถกได้คลุมครบถ้วนตามชื่อไหม ไม่ค่อยแน่ใจ
ตรงการมุ่งหมายประโยชน์ ผมมองว่า ยังขาดอยู่ ถ้าจะว่าไปแล้ว เหมือนกับพูดถึงเรื่อง สิทธิ แต่ไม่ได้พูดเรื่อง หน้าที่ ถ้าจะมีเรื่องเกี่ยวกับจิตบริการสาธารณะใส่เข้ามา อาจทำให้ครบขึ้นหรือเปล่าก็ไม่รู้ ลองพิจารณาดูนะครับ
บันทึกนี้ อ่านแล้ว ดี ให้้ข้อคิด ในเชิงวิเคราะห์ได้ดีมากๆค่ะ
ตัวเอง ตอนนี้ มุ่งเน้น จะสร้างคนที่มีคุณภาพออกสู่สังคม ในระดับครัวเรือน คือ ลูกหลานของเราเอง
แต่ถ้าิพิจารณาในภาพรวมการเข้าถึงโอกาส ก็ยังมีความเ หลื่อมล้ำอยู่ค่ะ
พ่อแม่ที่เอาใจใส่เรื่องการศึกษาของลูกหลาน แ ละพอจะมีทุน จะสามารถให้โอกาสแก่ลูกหลานอย่างมีประสิทธิภาพกว่า และยังสามารถสร้างสิ่งแวดล้อมแห่งการเรียนรู้และสนับสนุนการศึกษาของลูกตนเองเพิ่มเติมได้ดีกว่า
ถ้าพิจารณาถึงด่านแ รกคือ การเข้าถึงโอกาส
ตราบที่สังคมมีรายได้ของประชาชนที่แตกต่างกัน คุณภาพการศึกษาของคน จะมาใกล้กันโ ดยเ ร็ว ก็ไม่ง่ายนักค่ะ
หากจะแก้ไขคุณภาพการศึกษาให้ใกล้เคียงกัน รัฐบาล ต้องเข้ามาจัดการอย่างแข็งขัน ไม่ปล่อยให้เ ป็นไ ปตามธรรมชาติ และต้องแก้ไขที่ต้นเหตุคือความไม่เป็นธรรมอันเนื่องมาจากโครงสร้างของเศรษฐกิจ คือจะต้องลดความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้น่ะค่ะ
ขอแ ลกเปลี่ยนแค่ประเด็นเดียวนี้ค่ะ
สวัสดีครับ พี่ Sasinand
สวัสดีครับคุณ wwibul,
ตามเข้ามาอ่านครับ :)
เรื่องเหล่านี้หากนำเอาใช้ในการอภิปรายกลุ่มย่อย น่าจะเกิดประเด็นทางรูปธรรมมากมาย และเป็นประโยชน์มาก ขอบคุณค่ะ
สวัสดีค่ะ...อาจารย์วิบุล
กะปุ๋มเข้ามาอ่าน พร้อมฟังและคิดตามค่ะ... และเกิดคำถามหนึ่งปรากฏต่อตนเองว่า...มันจะคล้ายกับเรื่องเก่ามาคุยในวงเล่าใหม่ไหม?
หากย้อนยุคไปเมื่อเกือบสิบกว่าปีที่ IT ยังไม่ได้เฟื่องฟู...โอกาสหรือแหล่งแห่งการเรียนรู้จะเฟื่องฟูในรูปแบบของสื่อและนวัตกรรมแบบหนึ่ง และก็มีการแพร่ของสื่อและนวัตกรรมนั้นมาก คล้ายกับ IT เป็นนวัตกรรมในยุคนี้...แล้วเราก็พบกับความล้มเหลวของการเข้าถึงความรู้นั้นเช่นกัน
ดังจะเป็นสภาพสะท้อนทั้งโลกเลยก็ว่าได้... ดั่งเช่น ขอยกตัวอย่างเรื่องการรณรงค์และให้โอกาสความรู้ทางด้านสุขภาพสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน หรือโรคเรื้อรังอื่นๆ มีสื่อและนวัตกรรมอย่างมากมายที่ถูกสรรค์สร้างออกมาเพื่อให้ผู้ป่วยและประชาชนได้เข้าถึงความรู้นั้น แต่...ความจริงแล้ว ...ปรากฏการณฺในปัจจุบันนี้สะท้อนให้เห็นแล้วว่าเกิดเป็นความล้มเหลวของการแพร่ขยายความรู้นั้น ผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรังไม่สามารถดูแลตนเองและป้องกันตนเองไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้... (นั่นน่ะหมายถึงเกิดการเข้าถึงความรู้แบบเทียมในอดีต ภาพจึงสะท้อนออกในปัจจุบัน)
คำถาม...จริงๆ แล้ว "จุดบอด/จุดอ่อน" คือ อยู่ตรงไหน ? อยู่ตรงที่ผู้คนเข้าไม่ถึงโอกาสแห่งการได้รู้นั้นจริงหรือ? ทั้งๆ ที่มีการแพร่ขยายสื่อและนวัตกรรมที่ถูกผลิตออกมามากมาย...และก็เช่นเดียวกัน หากเราส่งเสริมให้เกิดตัวแปรต่างๆ ตามที่อยู่หลังเครื่องหมายเท่ากับนั้น...จะเกิดประโยชน์จริงๆ ไหม? เป็นเรื่องที่ท้าทายและน่าสนใจหาคำตอบนะคะอาจารย์ หรือว่าน่าจะมีตัวแปร x... หรือ y... อื่นเพิ่มเข้ามาอีกอันเป็นตัวแปรที่ซ่อนรูปอยู่แล้วเราอาจคาดไม่ถึงได้...
คิดๆๆ คิดเล่นๆ กับตนเอง...ค่ะ...คิดออกมาเป็นภาพอักษร...น่ะค่ะ... :)
ด้วยความนับถือค่ะ
(^___^)
(พอดีเป็นประเด็นที่สอดคล้องกับเรื่องที่กำลังทำวิจัยอยู่ค่ะ... "การออกแบบสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ต่อการสร้างความรู้ของบุคคล" ก็เลยขออนุญาตมาแลกเปลี่ยนด้วยค่ะ)
คุณ Ka-Poom
... ...
(จะไปตายที่ไหนก็ไปเถอะเพ่...บ๊าย บ่าย จุ๊บ จุ๊บ) <- อันนี้แค่คิดในใจอ่ะครับ
ขออภัยและขอบพระคุณค่ะ... wwibul
(^__^)!!
มารับความรู้ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีครับ อาจารย์ wwibul และท่านทั้งหลาย
สวัสดีครับ อาจารย์ เด็กข้างบ้าน ~natadee
เรียนท่านอาจารย์ wwibul อีกครั้งครับ
(กดบันทึกไปแล้ว ตามไปอ่านดูก็ยังสื่อสารไม่ชัดตามเคย เป็นอย่างนี้มานานแล้วครับ กำลังหาทางแก้ไขอยู่ จึงขอ Post เพิ่มเติมครับ)
ข้อแรกก่อน
ถ้าคนเรา เข้าไม่ถึงโอกาส ก็ถูกกันออกจากดงความรู้
ประโยชน์
= การเข้าถึงโอกาส x การสามารถใช้โอกาสเป็น x การมุ่งหมายประโยชน์ x ธรรมชาติของสิ่งนั้นว่ามีประโยชน์หรือไม่
การเข้าถึงโอกาส การสามารถใช้โอกาสเป็น การมุ่งหมายประโยชน์ ขออนุญาต คัดลอกลงมาก่อน อ่านแล้วสามรอบ
ยังทำความเข้าใจได้ไม่แจ้ง ขอนำไปนอนคิดต่อ ;P
บันทึกนี้ เข้ากับชื่อบล็อกจริง ๆ ...(เป็น)เกลียว(เป็น)ขวั้น
สวัสดีครับ อาจารย์ เด็กข้างบ้าน ~natadee
ประเด็นที่ว่า "ผมกลับเห็นด้วยกับอังกฤษมากกว่าที่นำเครื่องเก่า ๆ มาใส่ Dos เพื่อการใช้งานโปรแกรมระบบงานบางอย่างที่ยังทำงานได้ดีสมัย Dos"
คุณหมอ ภูสุภา
ที่(พยายาม)คิดก็เพราะ พ่อและลูก สองคนเขาไปไกลกันในเรื่องไอที
มีการเท้าความถึงคอมพ์รุ่นแรก ๆ ที่มีขนาดเท่ากับครึ่งตัวอาคาร และใช้ภาษาคอมพ์อะไรนะคะ ดิฉันไม่มีทักษะทางนี้เลย เป็นเศษเสี้ยวของ user คือใช้คอมพิวเตอร์ได้ไม่สม(ครึ่ง)ราคาด้วยซ้ำ
เห็นหลานเราเองก็งง...> (คนนี้>ก่อกิจ วีระอาชากุล)
คิดพอให้..รู้ว่า คิด น่ะค่ะ อาจารย์ ;P