ปีกมาร(๔)


หลักการครองรักครองเรือน
ปีกมาร ()                                                 อัยการชาวเกาะ

            คราวนี้เราลองมาดู พ่อลายสือบ้าง เพราะนอกจากจะมีสิทธิถูกภูฉายฟ้องเรียกค่าทดแทนแล้ว ในแง่ศีลธรรมยิ่งไปกันใหญ่เลยทีเดียวเชียวละครับพระเดชพระคุณ ก็รู้อยู่ทั้งรู้อยู่ว่าเขามีสามีและยังไม่ได้หย่าขาดจากกัน ยังไปจับมือถือแขนเขา โอบกอดเขา นี่แหละเขาว่า ความรักทำให้คนตาบอด  ที่มันตาบอดเพราะไม่คิดดูสิ่งดี เห็นกงจักรเป็นดอกบัว และความใคร่นี่มันไม่เข้าใครออกใครเลยจริงๆนะครับ

            สมัยก่อน เราเคยแปลศีลห้าข้อสาม กาเมสุมิจฉาจาร เวระมณีสิกขา ปะทังสมาธิยามิ ว่าห้ามผิดลูกผิดเมียเขา ชัดเลยนะพ่อเสือ..พ่อเคยคิดถึงแง่ศีลธรรมบ้างไหม ผมว่าคนเราสมัยนี้ไม่ค่อยมีความยับยั้งชั่งใจกันเลยมันถึงเกิดเหตุเด็ก ม.๒ หนีพ่อไปนอนกับผู้ชายด้วยความเต็มใจ โถ..อายุแค่ ๑๒ ขวบ จะรีบไปถึงไหนกันละลูก

            ความจริงแล้วในเรื่องการอยู่กินกันเป็นสามีภริยา ไทยเรากับชาวตะวันตกก็ไม่เหมือนกัน ของไทยเราจะต้องจัดการแต่งงานตามประเพณีก่อน ชายหญิงจึงจะไปอยู่ด้วยกัน แต่ชาวตะวันตกเช่น อเมริกา เขาจะอยู่กันก่อน เมื่อเห็นว่าไปด้วยกันได้จึงจะแต่งงาน ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่างานแต่งงานบางงาน เจ้าบ่าวเจ้าสาวมีลูกตามหลัง บางทีเจ้าสาวท้องค่อนข้างโตแล้ว แต่จะไปว่าเขาผิดของเราถูกก็ไม่แน่หรอก   ถ้าไปขั้วโลกซึ่งมีพวกเอสกิโม เวลาใครไปบ้านเขาเขาจะให้เรานอนกับเมียเขา ถือเป็นการให้เกียรติ เพราะแขกจะได้รับความอบอุ่น เราจะไปตำหนิว่าชาวเอสกิโม มั่วเซ็กซ์ได้หรือ…..

            ตอนที่ผมแต่งงาน มีญาติคนหนึ่งเขียนไว้ในสมุดอวยพรสั้นๆว่า ขอให้รักกันเหมือนวันแรกรัก ผมว่ามันเป็นปรัชญาชีวิตที่น่าสนใจ เพราะคนเราเมื่อแรกรักกันใหม่ๆจะไม่มีใครสังเกตความบกพร่องของอีกฝ่ายหนึ่ง จะมองแต่สิ่งดี ผิดนิดผิดหน่อยก็ดูเป็นเรื่องน่ารักไปหมด แต่พอแต่งงานไประยะหนึ่ง ความผิดนิดผิดหน่อยที่เคยไม่ใส่ใจก็จะกลับกลาสยเป็นความรู้สึกว่าผิดซ้ำซากน่าเบื่อหน่ายขึ้นมา หากคู่สมรสทุกคู่ยังคงรักกันเหมือนวันแรกรัก ผมว่าคงไม่เกิดการหย่าร้างเป็นแน่

            ผมไปอ่านหนังสือชื่อ ครองเรือนครองรักของหลวงวิจิตรวาทการ ยังชอบใจในทฤษฎีแห่งการเปรียบเทียบ ซึ่งท่านบอกว่า หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเป็นเรื่องเปรียบเทียบ ในสมัยที่ยังไม่มียวดยานพาหนะใช้เครื่องยนต์กลไก รถม้าก็เป็นพาหนะเร็วที่สุด ในถิ่นที่ที่ไม่มีคนรู้หนังสือเลย คนที่พออ่านออกเขียนได้ก็เป็นนักปราชญ์ ถ้าโลกนี้ไม่มีคนประพฤติชั่ว ก็ไม่มีคนดี เพราะคนทุกคนจะกล่าวเป็นคนธรรมดาไป ถ้าท่านผู้อ่านที่เป็นชาย เกิดความรู้สึกว่าภรรยาของท่านไม่สวยก็เพราะเหตุอย่างเดียว คือท่านไปเห็นภริยาคนอื่นที่สวยกว่า แต่ถ้าท่านพาภรรยาของท่านเข้าไปอยู่ในหมู่คนป่าหรือแขกนิโกร ภริยาของท่านก็เป็นเทพอัปสร สตรีที่มีสามีเสพย์สุราเป็นอาจิณ ดื่มทุกวันเมาทุกวัน ถ้าเพียงแต่เขาลดการดื่มการเมาให้น้อยลง คือดื่มและเมาสัปดาห์ละ ๒ ครั้ง ภริยาก็จะดีอกดีใจเห็นสามีเป็นคนดีขึ้นมาทันที แต่สตรีที่มีสามีเสพย์สุราไม่เป็น ไม่เคยแตะต้องสุราเลย เผอิญไปเมาเข้าสักครั้ง สตรีผู้นั้นจะเสียอกเสียใจ เห็นว่าสามีของตัวชั่วไปเสียแล้ว สตรีที่มีสามีโหดร้ายทารุณแก่ภริยาอยู่เป็นเนืองนิตย์ ถ้าเผอิญเขาใจดี เอาอกเอาใจภริยาเขาสักพักหนึ่ง ภริยาจะปลาบปลื้มว่าสามีของตัวเป็นคนดี แต่ถ้ามีสามีซึ่งเอาใจภริยาอยู่ตลอดเวลา พอไปขัดใจเข้าสักครั้งเดียวก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ ภริยาอาจจะเห็นสามีเป็นคนโหดร้ายเหลวไหลไปทีเดียวและท่านก็บอกว่าที่หยิบยกเอาทฤษฎีดังกล่าวมาบอกเล่านั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ได้มุ่งหมายที่จะให้ความคิดเห็นแก่ท่านผู้อ่าน ว่าเราต้องประพฤติไม่ดีเสียก่อน เมื่อเริ่มชีวิตสมรสแล้วจึงประพฤติดีภายหลัง ข้าพเจ้ามีความมุ่งหมายแต่เพียงว่า ในระหว่างเวลาที่คนเรารักกันก่อนแต่งงานกันนั้นไม่ควรทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าตนเป็นคนดีไปทุกอย่าง ไม่ควรทำให้คู่รักตั้งความหวังมากเกินไป สำหรับความดีของตัว

            อ้าว.....แล้วผมจะทำไงดีละนี่ ภรรยาผมเชื่อไปแล้วว่าผมเป็นคนดีทุกอย่าง...ฮิฮิ......อ่านหนังสือของพลวงวิจิตรวาทการแล้ว ย้อนกลับมาดูเรื่องปีกมาร จะเห็นได้ว่าก่อนแต่งงาน ศลัยลาตั้งความหวังกับภูฉายไว้มาก เห็นเขานอนหนุนตักแม่ก็เป็นปลื้มว่าผู้ชายคนดีรักแม่มาก เมื่อเราแต่งงานกับเขาแล้ว เขาต้องรักเราเหมือนกับที่เขารักแม่ เพราะเราเป็นคนเพศเดียวกับแม่เขา และปรากฏว่าศลัยลาคิดผิด เพราะคาดหวังกับภูฉายไว้มาก  คำอธิบายของหลวงวิจิตรวาทการสามารถอธิบายเรื่องปีกมารได้เป็นอย่างดี

            ความจริงแล้ว เมื่อเรามามองที่กฎหมายครอบครัว เราจะเห็นว่าความจริงแล้วกฎหมายครอบครัวบางมาตราก็เหมือนเป็นคำสอนการใช้ชีวิตคู่อยู่ในตัว ลองมาดูมาตรา ๑๔๖๑ เขาว่า

          สามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา          สามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน

ทั้งกฎหมายยังบอกถึงความเสมอภาคระหว่างสามีภริยาเอาไว้ ตามมาตรา ๑๕๓๓ ซึ่งบอกว่า

            เมื่อหย่ากันให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากัน

กฎหมายยังสอนให้คนรู้จักกตัญญูต่อบิดามารดาให้รู้จักเคารพบิดามารดาบุพการี ซึ่งบอกว่า

            ผู้ใดจะฟ้องบุพการีของตนเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญามิได้ แต่เมื่อผู้นั้นหรือญาติสนิทของผู้นั้นร้องขอ อัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้

หรืออีกมาตราหนึ่งก็บอกว่า บุตรจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา

            กฎหมายของไทยเราจึงมีเรื่องราวให้น่าศึกษา กฎหมายยังบอกถึงประวัติศาสตร์ได้ด้วย หากไปดูกฎหมายเก่าในอดีตจะเห็นว่า กฎหมายจะให้เกียรติผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ผู้หญิงจะต้องตกอยู่ในอาณัติของผู้ชาย เพียงแค่ทะเลาะกัน ผู้ชายเอามีดฟันเสาเรือนก็ถือว่าหย่ากันแล้ว ถ้ากฎหมายนี้ยังใช้ถึงปัจจุบัน คงจะหายากที่บ้านเรือนหลังไหนปราศจากรอยมีดที่เสาเรือน เพราะผู้ชายคงหาเรื่องทะเลาะกับเมียทุกวัน ฮะฮ้า……

            ผมตั้งใจในการเขียนบทความว่าจะเขียนบทความที่เน้นความสนุกสนาน มีหลักกฎหมายให้ศึกษา และจะมีเรื่องของคุณธรรมจริยธรรมสอดแทรกในตอนสุดท้ายของเรื่อง เขียนไปเขียนมาชักมีความรู้สึกว่า เราแก่ขึ้นทุกวันหรือเปล่าที่ต้องมาคอยพล่ามบอกคนรุ่นใหม่ว่า ทำอย่างนี้สิดี ดูคนรุ่นก่อนเขาทำสิมันดีนะ แต่ด้วยความเป็นจริงในสังคมนี้ ผมมองคนรุ่นหลังว่า คนรุ่นใหม่ชักมีความอดทนอดกลั้นน้อยลง กว่าคนรุ่นพวกผม  แต่พวกเขาก็กล้าแสดงออกมากกว่าคนรุ่นพวกผม มันก็คงต้องเลือกเอาว่าเราต้องการให้คนรุ่นใหม่มีความมั่นใจในตนเองสูง แต่เขาอยากทำอะไรต้องปล่อยให้เขาทำ เพราะมิฉะนั้นจะเป็นการปิดกั้นความคิดของเขา หรือว่าเราต้องการคนรุ่นใหม่ที่มีความมั่นใจปานกลาง มีระเบียบวินัย รู้จักเคารพผู้ใหญ่ มีสัมมาคารวะ มีศีลธรรม ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ไม่วู่วาม มีเหตุผล รู้จักคิดวิเคราะห์ คิดเป็นทำเป็น ผมว่าผมต้องการคนแบบนี้นะ แล้วคุณล่ะ ต้องการคนแบบไหน….แต่อย่าฝันให้มากนะ….มันหายาก.. 
หมายเลขบันทึก: 131727เขียนเมื่อ 25 กันยายน 2007 21:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 20:37 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

มารายงานตัวว่าอ่านจบอีกหนึ่งเรื่องค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท