คุณธรรมจริยธรรม(๖)


ผมเคยไปฟังหลวงพ่อปัญญานันทะเทศน์ ท่านเทศน์เรื่องการทำความดี มีคนถามท่านว่า "หลวงพ่อหนูทำความดีเกือบตาย แต่หนูยังไม่เห็นชีวิตหนูดีขึ้น แต่คนอื่นทำแต่ความชั่วกลับได้ดิบได้ดีถูกลอตเตอรี่" หลวงพ่อท่านบอกว่า "เราทำความดีเราก็ได้ความดี แล้วเธอจะเอาพัดลมเหรอ" ทำความดีจิตใจเราก็ผ่องใสเป็นความสุข ความสุขมันอยู่ที่ใจไม่ใช่อยู่ที่ทรัพย์สินเงินทองของนอกกาย คิดๆแล้วก็จริงนะครับ พอเราให้ ในฐานะผู้ให้เราก็จะมีความสุขที่ได้เอื้อเฟื้อแบ่งปัน ลองอ่านเรื่องนี้ดูครับ ผมนำไปบรรยายแอบเห็นคนฟังน้ำตาซึม  อ้อ...ตอนนี้ไม่ตลกครับ.......

คุณธรรมจริยธรรม(๖)

บัณฑูร  ทองตัน

 

            วันนี้ จะเล่าให้ฟังถึงคุณธรรมอีกข้อหนึ่ง นั่นคือการให้ ที่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ก็เพราะว่า เดี๋ยวนี้ผู้คนในสังคมมักคิดว่า ถ้าเราให้ไปแล้วเราจะได้อะไรตอบแทนบ้าง คุ้มค่าไหม บางคนก็ไปอ้อนวอนขอโดยเอาของไปให้  ลองนึกดูซิครับว่าเคยทำไหม ใกล้ๆวันหวยออกก็จะเอาดอกไม้ธูปเทียนไปหรือเอาหัวหมู เอาไก่ต้ม ไปไหว้ที่ศาลเจ้า ศาลเพียงตา ฯลฯ แล้วก็ขอหวย  หรือพอหวยออกถูกหวยจึงเอาของไปเซ่นไหว้  แสดงว่าการให้ในการนั้นๆไม่บริสุทธิ์เพราะหวังประโยชน์ตอบแทน หรือได้ประโยชน์แล้วจึงให้  ในทางกลับกันถ้าฉันไม่ได้รับประโยชน์ฉันก็ไม่ให้

            เราเคยให้โดยไม่หวังประโยชน์ตอบแทนบ้างไหม ลองนึกดูซิครับ ที่ภูเก็ตเราจะเห็นอยู่ครั้งหนึ่งก็คือตอนสึนามิไงครับ ตอนนั้นผู้คนมากมายที่ให้โดยไม่หวังประโยชน์ตอบแทน ได้บุญมากมายมหาศาลเลยครับ แต่พอมาระยะหลังการให้เริ่มเพี้ยน ต้องถ่ายรูปเอาไปลงข่าว ฉันต้องบริจาคเป็นเงินเยอะเพื่อจะได้เป็นข่าวมีชื่อเสียงในวงสัมคม ถึงแม้ส่วนหนึ่งจะมีเจตนาดีจริงๆก็ตามแต่มันเป็นการให้ที่ไม่บริสุทธิ์ ผมมีเรื่องเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่ดีมาก อ่านแล้วซาบซึ้งน้ำตาคลอ....อ้อ ลอกเขามาเล่าจากอินเทอร์เน็ตไม่รู้ชื่อผู้เขียนครับไม่รู้จะให้เครดิตกับใคร.

มีเด็กชายคนหนึ่งเดินเร่ขายของตามบ้าน หวังที่จะเก็บเงินไว้เป็นทุนรอนสำหรับเล่าเรียนหนังสือ พบว่าตัวเองมี เงินเหลือติดตัวเพียง 10 เซนต์ เขาก็บังเกิดความหิวขึ้นมาตะหงิด ๆ จึงตัดสินใจที่จะบากหน้าเดินไปขอข้าวจากบ้านหลังถัดไป และแล้ว เขาก็รู้สึกประหม่าเมื่อมีอันต้องเผชิญหน้ากับสาวน้อยน่ารักที่ลุกขึ้นมาเปิดประตูบ้านเมื่อดูจากท่าทางอันหิวโซของเด็กชาย หญิงสาวจึงยื่นนมให้แก้ว หนึ่ง เด็กน้อยค่อยๆ ดื่ม แล้วถามว่า "จะให้ผมจ่ายตังค์เท่าไรดีครับ""ไม่หรอกจ๊ะ..เธอไม่ต้องจ่ายอะไรฉันหรอก" สาวน้อยตอบ "คุณแม่สอนฉันเสมอว่าไม่ให้รับเงินจากน้ำใจที่เราได้แสดงออกไปให้กับคนอื่น" ถ้าอย่างนั้น ผมก็ขอขอบคุณจากใจนะครับ" เขาตอบเมื่อ พ่อหนูเฮาวาร์ด เคลลี่ เดินจากบ้านหลังนั้นไป เขามิเพียงแต่รู้สึกว่า ร่างกายมีกำลังวังชาขึ้นหากแต่ความเชื่อมั่นในพระเจ้าและในมนุษย์ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย. มิไยว่าก่อนหน้านั้นเขาจะรู้สึกหมดศรัทธาในทั้งสองสิ่งนี้ไปแล้วก็ตาม

กาลเวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่ปรากฏ หญิงสาวผู้นั้นได้ล้มป่วย ลง คุณหมอในโรงพยายาลท้องถิ่นหมดหนทางจะเยียวยา จึงส่งเธอไปยังเมืองใหญ่ที่มีคุณหมอเฉพาะทางเพื่อรักษาโรคที่ไม่ค่อยได้พบเจออย่างนี้ คุณหมอเฮาวาร์ด เคลลี่ ถูกเรียกตัวมาเพื่อให้คำปรึกษาเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของผู้ป่วยรายนี้ เมื่อเขาได้ยินชื่อเมืองที่ผู้ป่วยถูกส่งมา ถ้าคุณสังเกต จะเห็นว่ามีประกายตาแปลกๆ อยู่ในดวงตาคู่นั้น ทันใดนั้น เขารีบลุกขึ้นและเดินตรงไปยังห้องพักของเธอ พลางสวมเสื้อกาวน์ไปด้วย... เขาสามารถจดจำเธอได้ในทันที...เมื่อกลับไปยังห้องทำงาน เขาก็พยายามหาหนทางที่ดีที่สุดเพื่อ รักษาชีวิตของเธอ นับจากวันนั้น คุณหมอก็เพียรดูแลเอาใจใส่ผู้ป่วย รายนี้เป็นพิเศษ...หลังจากที่ยื้อยุดฉุดกระชากกับโรคร้ายอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเขาก็ได้รับ ชัยชนะ

แล้วคุณหมอเคลลี่ก็ขอให้ฝ่ายการเงินของโรงพยาบาลส่งใบเรียกเก็บเงินของผู้ป่วยรายนี้มาให้เขาพิจารณาอนุมัติ เขาเขียนอะไรสองสามตัวลงบนขอบกระดาษใบนั้น แล้วฝากเจ้าหน้าที่ส่งผ่านไปยังผู้ป่วย เมื่อใบเรียกเก็บเงินเดินทางมาถึงเธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว ด้วยมั่นใจว่า ตัวเลขคงสูงมากจนเธออาจต้องใช้เวลาที่เหลือในชีวิตนี้ ชดใช้ค่ารักษาพยาบาลในครานี้  ในที่สุด เธอก็เปิดออกดู...พบอะไรบางอย่างที่ดึงความสนใจของเธอมาอยู่ตรงขอบๆ กระดาษแผ่นนั้น เธออ่านได้ใจความว่า "จ่ายหมดแล้วด้วยนมหนึ่งแก้ว" พร้อมกับลงชื่อกำกับไว้ หญิงผู้นี้อดไม่ ได้ที่จะหลั่งน้ำตาด้วยความชื่นชมยินดี ขณะหัวใจอันเปี่ยมสุข อธิษฐานว่า "ขอบคุณพระเจ้าที่ได้แผ่ความเมตตาของพระองค์มายังหัวใจ และอุ้งมือของผู้คนบนโลกนี้

แม้จะเป็นเรื่องที่พูดถึงพระเจ้า แต่หากมาเปรียบเทียบกับของเรา ผู้ใดทำดี ย่อมได้ดี  มีคนถามท่านเจ้าคุณปัญญานันทะ  ว่าดิฉันทำความดีมากมาย แต่ในชีวิตมีแต่เรื่องร้ายๆ ท่านเจ้าคุณปัญญาฯ ก็สอนสั้นๆว่า ทำความดีก็ต้องได้ดีสิ ทำความดีจะให้ได้พัดลมเหรอ การให้ในเรื่องนี้เป็นการให้ด้วยใจที่บริสุทธิ์ ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน แต่ผลลัพธ์ที่ได้มีค่ามหาศาล เราอยากจะให้แบบนี้บ้างไหม ถ้าอยากให้ก็ให้เลย เช่น ทำงานทุ่มเทให้สำนักงานบรรลุผลสำเร็จ ก็ไม่หวังจะได้สองขั้น เพราะถ้าหวังจะได้แล้วไม่ได้ก็จะรู้สึกน้อยใจ แล้วก็จะพาลหาเรื่องไม่ทำงาน  เคยช่วยเหลือสังคมมามากมาย แต่พอเจอปัญหา เหตุการณ์กลับปรากฏว่าสังคมช่วยเหลือแก้ไขให้เราไม่ได้ เราก็พาลโกรธสังคม มันถูกต้องหรือไม่  ถ้าเราคิดช่วยเหลือใครโดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน มันจะไม่เกิดความรู้สึกเหล่านี้เวลาเราทำบุญทำทาน เราคิดทำเพื่ออะไร ทำบุญ ๑๐ บาท เอามือจบท่วมหัว ขอลูกรวยถูกล๊อตเตอรี่รางวัลที่ ๑ ลองคิดดู ขอมากไปหรือเปล่าลงทุนแค่ ๑๐ บาทจะเอาเป็นล้าน หรือเห็นคนแก่ในสถานสงเคราะห์คนชราไม่มีญาติพี่น้องมาเยี่ยม เงินที่แกจะซื้อขนมคงไม่มีเอาเงินยื่นให้ ๕๐ บาท แกซาบซึ้งน้ำตาไหล เป็นบุญไหม พอให้แล้วรู้สึกสุขใจไหม นั่นแหละเขาเรียกว่าได้บุญทันที ทำความดีแค่นี้ก็ได้บุญมหาศาลแล้ววันนี้ เราทำความดีกันหรือยัง เราให้อะไรใครบ้างหรือยัง.......

หมายเลขบันทึก: 134326เขียนเมื่อ 3 ตุลาคม 2007 09:00 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 พฤษภาคม 2012 15:47 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

สวัสดีครับ

               แต่ละคนมาจากบริบทที่ต่างกัน ดังนั้นฐานความคิดย่อมต่างกัน เขาคงวางแผนที่จะได้ไปต่อไว้จึงทำตามนั้น แต่วันนี้ผมใส่บาตรตอนเช้า อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร และญาติพี่น้องแล้ว.... รู้สึกสบายใจทั้งวันครับ

  • สวัสดีครับคุณคำสุวรรณ์
  • ขอบคุณที่มาทักทาย
  • อนุโมทนาสาธุกับการทำบุญทำทานในวันนี้ครับ
  • ขอบคุณมากครับสำหรับเรื่องดีๆๆ
  • ดีใจที่ได้อ่านเรื่องธรรมมะแบบนี้
  • เขียนมาอีกนะครับ

ขอบคุณ อ.P

ที่ทำให้มีกำลังใจเขียนมากๆ

วันหลังจะเล่าให้ฟังเรื่องไปเรียนเขียนรูปครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท