ห่างหายไปจากการเขียนบันทึกเสียหลายวัน ทั้งเพราะงานในหน้าที่และมีอาการปวดหลัง ไม่อยากนั่งทรมานหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็เลยตัดใจ ให้หลังหายปวดค่อยว่ากัน คราวที่แล้วขึ้นมากทม.เพื่อนพาไปนวดแผนโบราณ อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดวันรุ่งขึ้นอาการปวดหลังข้างขวาก็หาย แต่พอกลับไปถึงภูเก็ตก็เริ่มมีอาการที่หลังด้านซ้ายเล็กน้อย แล้วก็หนักขึ้นเรื่อยๆ จนนั่งเขียนไม่ไหว เข้าห้องน้ำดูหุ่นตัวเอง อ้อ...พุงโย้มาข้างหน้า อิอิอิ ต้องลดน้ำหนักอีกแล้ว.....
อาทิตย์นี้เราไปบุกสุพรรณบุรี เปล่า..ที่สุพรรณฯไม่ได้มีความขัดแย้งเรื่องอะไรให้เราต้องไปแก้ แต่เรามากันที่โรงแรมสองพันบุรีเพื่อจะมาพูดคุยระดมสมองเพื่อหาทางแก้ปัญหาความขัดแย้งของบ้านเมืองในปัจจุบันโดยสันติวิธี ลุงเอกแบ่งกลุ่มนักศึกษาทุกคนออกเป็น ๙ กลุ่ม แล้วตั้งกลุ่มต่างๆขึ้นมาอีก ๕ กลุ่ม แบ่งเป็น กลุ่มนิติบัญญัติ,กลุ่มองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ(ศาล อัยการ ตำรวจ องค์กรตรวจสอบภาครัฐและการเมืองและใครก็ได้ที่สนใจ),กลุ่มพันธมิตรกับค้านพันธมิตร(ให้อยู่ด้วยกัน),นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน(ให้อยู่ด้วยกัน),กลุ่มนักวิชาการและ NGO และกลุ่ม โดยในเบื้องต้นให้เราแบ่งพวกจากกลุ่ม ๑-๙ ไปอยู่ที่กลุ่มย่อย ๕ กลุ่มดังกล่าว อิอิ งง ไหมครับ ถ้างง ก็อ่านใหม่อีกทีช้าๆ ใครอยากไปอยู่กลุ่มไหนก็ได้ แต่ขอให้กลุ่มหลักเป็นไปตามที่วางไว้ โดยกำหนดว่าเรื่องที่จะพูดคุยกันนั้น ขอให้พูดถึงการแก้ไขปัญหาระยะสั้น และในระยะยาว โดยจะมีวิธีการทำอย่างไร จะมีวิธีการฟื้นฟูและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างไร
จากนั้นก็สุมหัวกัน อิอิ คิดๆๆ พูดๆๆ เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจดังไปหมด และแล้วก็ได้ยินเสียงเฮ......เสียงมือที่มองไม่เห็น แปะๆๆ ฮา.....พันธมิตรมาแล้ว....
กลุ่มพวกเรามีศาล อัยการ ตำรวจ อาจารย์ ฯลฯ ได้ยินกลุ่มอื่นเสียงดัง กลุ่มศาลก็เลยบอกว่าศาลอยู่ครบองค์คณะ ศาลจะใช้อำนาจตามวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาให้กลุ่มข้างๆเงียบเสียงลงหน่อย..ฮา.....
ลุงเอกให้เวลาพวกเรา ๓ ชั่วโมง คุยกันสนุกสนานเรียกเสียงเฮ...เป็นระยะๆ....พวกเราเป็นกลุ่มข้าราชการจึงมักติดกรอบ พอคิดจะแก้ไขปัญหาพันธมิตรบุกทำเนียบ สิ่งแรกที่คิดคือ กระบวนการยุติธรรมจะต้องบังคบใช้กฎหมายอย่างจริงจังและเหมาะสม และพูดถึงทางออก ,เราพูดกันถึงว่า เรื่องของพันธมิตรกับรัฐบาลเป็นเรื่องการเมือง แล้วฝ่ายรัฐบาลเอากฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญามาใช้บังคับนี่ถูกแล้วหรือ......และศาลควรจะบังคับใช้กฎหมายแพ่งและหรืออาญาหรือไม่อย่างไร,เราพูดถึงการเพิกถอนหมายจับ,พูดถึงการที่อัยการจะใช้หลักเกณฑ์สั่งไม่ฟ้องคู่กรณีในกรณีที่ไม่เกิดประโยชน์แก่สังคมหรือรังแต่จะทำให้สังคมแตกแยก,เราพูดถึงการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ให้การชุมนุมทำได้แต่ต้องมีจำนวนไม่เกิน ๓๐๐ คน (ซึ่งกลุ่มอื่นเดินมาดูแล้ว สะบัดหัวกันไปตามๆกัน ฮา.....) แต่ความจริงเราหมายถึง คุณไปตั้งกลุ่มละ ๓๐๐ คน อยู่มัฆวาน อีก ๓๐๐ คน อยู่สนามหลวง อีก ๓๐๐ คนอยู่เมืองนนท์ อีก ๓๐๐ คนอยู่จตุจักร ฯลฯ อย่างนี้มันจะเห็นโครงสร้างของการประท้วง ขณะเดียวกันประชาชนก็ไม่เดือดร้อนจนเกินเหตุ ,เราพูดกันถึงการใช้กฎหมายเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทั้งฝ่ายผู้เสียหายและฝ่ายจำเลยให้ได้รับชดใช้ค่าเสียหายโดยชอบ
จนเวลา ๕ โมงเย็น ลุงเอกก็ปล่อยให้พักและนัดมาทานอาหารและฟัง Dinner Talk ตอนเวลา ๖ โมงครึ่ง วันนี้หัวข้อที่จะคุยกันคือ “รักร่วมเพศ” ดวลกันระหว่าง เจ๊ติ๋ม เจ้าแม่ทีวีพูล กับเลขา มท.๑ ศุภชัย ใจสมุทร กับคู่รักคู่แค้นพี่โสภณ องค์การ จากเดอะเนชั่น ฮากันระเบิดเถิดเทิง....จะเอามาเล่าก็กระไรอยู่ เก็บไว้ อิอิ กันในหมู่พวกเราดีกว่า...ฮา....
พอออกจากห้องประชุมมาก็เจอป้าจุ๋ม ป้าแห่งชาติ, อ.หมู แซ่เฮ,หลานจิ สาวเหน่อเมืองสุพรรณ,ดร.ขจิต อาจารย์เหน่อเมืองกาญจน์ กับครูพิสูจน์ ได้กอดกันถ้วนหน้า ครึกครื้น สักพักก็ได้ข่าวว่า ผอ.ประจักษ์กับครูลำดวนก็มาหาพวกเราด้วย เอ้า...กอด.....
ตกค่ำอีแซวจากบางลี่วิทยาก็มาสร้างบรรยากาศสนุกสนานให้พวกเราได้ชมกัน ทั้งรุ่นใหญ่รุ่นเล็ก มีทั้งเพลงแหล่ เพลงอีแซว เพลงเกี่ยวข้าว เพลงส่งข้าว เพลงลิเก แถมเพลงอีแซวที่เขียนบทโดยครูพิศุจน์ พูดถึงลุงเอก อัยการชาวเกาะ พ่อครูบาสุทธินันท์ ที่แดงเตือนใจ ดีเทศน์ น้องหญิงศิริบูรณ์ และอีกหลายท่าน แต่เนื่องจากวันนี้อีแซวบางลี่มีงานต้อนรับคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มาเยี่ยมสุพรรณ ก็เลยทำให้เด็กๆไม่มีโอกาสซ้อมบท และครูพิสูจน์ก็เขียนบทให้ไม่ทันเพราะงานเยอะจริงๆ แต่ท่านผอ.ประจักษ์ และครูพิสูจน์ ต่างก็อยากต้อนรับพวกเราก็เลยพาเด็กๆมาเหน็ดเหนื่อยกัน แต่เด็กๆก็มีความสุข และผมก็ทำเซอร์ไพรซ์ พอเพลงอีแซวบางลี่ร้องอำลาจบ ผมก็ขึ้นไปขอร้องเพลงแหล่ขอบคุณลูกหลานชาวบางลี่ เรียกเสียงฮือฮาได้เหมือนกัน อิอิ หลังเลิกงานลูกๆหลานๆบางลี่จองคาราโอเกะเพียบ สนุกสนานกันมากมายมหาศาล...ก็เลยเอาบรรยากาศมาให้ดูกันครับ...
คราวหน้าจะเล่าให้ฟังว่า เราไปเยี่ยมโรงงานแตงโมแล้วเราได้แรงบันดาลใจอะไรกลับมา ปรัชญาการทำธุรกิจของแตงโมน่าสนใจมากๆ ใครไม่อยากรู้ก็ไม่ต้องอ่าน อิอิ เพียงแต่อยากจะบอกว่า นักธุรกิจเสื้อผ้าแตงโม สามีจบนิติศาสตร์ ภรรยาจบรัฐศาสตร์ แต่ทำไมจึงมาทำธุรกิจนี้ และที่สำคัญเขาคิดทำอะไรให้กับสังคม และมีวิธีคิดอย่างไร ถ้าไม่อยากรู้ไม่ต้องติดตามอ่านนะจะบอกให้.....
ขอบคุณน้องเอกที่เอารูปมาฝาก ผมก็ตั้งใจจะเขียนในสไตล์ผม น้องเอกก็น่าจะเขียนถึงตามสไตล์ของน้องเอก แล้วจะรออ่านเพราะงานของน้องเอกจะเป็นความละเมียดละไม แต่งานของผมมักจะเขียนในมุมมองของคนที่มองอะไรเป็นเรนื่องน่าสนุกไปหมด อิอิ เขียนงานวิชาการแต่ละเรื่องมักจะเพี้ยนๆทุกที..เอิ้กๆ
สวัสดีค่ะ
สวัสดีครับครูแม่มด อิอิ เห็นชื่อแล้วสงสัยว่าครูจะเป็นสาว สวย ดุ (เพราะสัมยเป็นนักเรียนครูคนไหนดุ เรามักจะเรียกว่าเป็นแม่มด อิอิ)
ว่าแต่ว่ากลับไปสุพรรณแล้วจะได้เจอครูแม่มดไหมครับ ขอบคุณที่มาเยี่ยมบันทึกครับ
สวัสดีครับคุณครูลำดวน
แค่ที่ยกโขยงกันมาพบนี่ก็สุดปลื้มกันแล้วครับ
นี่ขนาดมีงานนะครับ แล้วถ้าไม่มีงานพวกผมจะได้กลับบ้านหรือเปล่า อิอิ
ขอบคุณมากๆสำหรับการต้อนรับที่อบอุ่นครับ
ขอบคุณสำหรับการเผยแพร่ความรู้ หลายๆคนได้มาเรียนผ่านบล็อก
ยามที่เห็นนักศึกษาและคนรอบข้างมีความสุขลุงเอกก็มีความสุขด้วย อัยการเคยถามว่าลุงเอกเหนื่อยใหม ตอบได้ทันทีว่าไม่เหนื่อย เพราะใช้ชีวิตกับนักศึกษาแบบนี้มา กว่า 10 ปีแล้ว
การทำงานแบบนี้ เปรียบเสมือนนักมวย จะต้องคอยถอยเข้า ถอยออกเป็นระยะ ที่ไม่ห่างจากนักศึกษามากนัก การผูกใจนักศึกษาเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องใช้ความละเอียด ไปหาตำราที่ไหนก็ไม่มี
ถามว่าทำไมจัดกลุ่มแบบนี้ บอกได้ว่าเป็นเทคนิควิธีการเฉพาะตัว ห้ามเลียนแบบ คุณศิริบูรณ์บอกให้เขียนเป็นตำราหน่อยซี ก็ไม่ใคร่อยากเขียน กลัวพวกติดตำราจะมาว่าเอาทฤษฎีที่ไหนมาทำ
การจัดการเวทีนี้ใช้ความอ่อนตัวสูงมาก แข็งเมื่อไรหักทันที น้องๆที่สถาบันมาด้วยพยายามเอากฎวินัยมาใส่นักศึกษา ติดรูปแบบ ติดตำรา บ้าสั่งการ ไปไหนไม่ได้หรอกครับ ยิ่งปิดใจยิ่งไม่ได้อะไร
วันนี้สายการบินเสริมสร้างสันติสุข ได้ขึ้นสู่ท้องฟ้ากำลังปรับระดับ อีกไม่นานคงได้เสริฟอาหารแล้วครับ ก่อนที่ทุกคนจะหลับสบาย
นี่แหละความสุขที่แท้จริงของลุงเอก ที่พี่ ป้า น้า อาว์ น้อง หลาน ขอให้ลุงเอกพักผ่อนบ้าง ดูแลสุขภาพ ตราบใดนักศึกษายังคงอยู่ลุงเอกป่วยไม่ลง เพราะชีวิตช่างมีแต่ความสุข
คนที่ตะแง๊วๆ กระแซ๊วลุงเอกตลอดเวลา คือไอ้หนูโก๊ะจิจัง จะสอบก็โทรมาเอาพร โดนคนด่าก็มาอ้อน อึนๆก็ให้ช่วยปลอบ ประกาศผลสอบก็โทรมา บ้าๆบอๆก็ไม่หยุด นี่แหละเลยตั้งชื่อให้โก๊ะจิจัง "สวยใส ไร้สติ"
ขอบคุณ อ.ขจิต มากๆครับ
จะเอาไปฝากพี่แดงให้และขอบคุณแทนที่แดงด้วยครับ
สวัสดีครับลุงเอก
ผมประทับใจตอนที่พอถามหาอาสาสมัครฝ่ายวิชาการ ที่ยกมือกันเพียบ มองหน้าก็เห็นนักวิชาการตัวจริงที่พร้อมจะช่วย ผมสังเกตเพื่อนๆก็รู้ว่าเพื่อนเรียนมาถึงจุดหนึ่งที่เริ่มคิดถึงการแก้ไขความขัดแย้งอย่างจริงจัง อยากทำอะไรให้เป็นรูปธรรมในนามของรุ่น ผมว่าลุงเอกมาถูกทางแล้วครับ และพวกเราเริ่มปรับทิศทางกันแล้ว และที่ประทับใจอีกอย่างคือการลงพื้นที่ภาคใต้ที่หลายท่านไม่กล้าลงไปเพราะรู้ว่าอันตราย แต่ก็ยังมีหน่วยกล้าตายอีกจำนวนกว่าครึ่งที่เต็มใจลงไปศึกษาหาความรู้ ผมว่าสถาบันเราน่าจะภูมิใจที่เรามีนักศึกษาที่ตั้งใจศึกษาเรียนรู้อย่างจริงจังนะครับ
เมื่อวานตอนเที่ยงป้าจุ๋มพาผม,พ่อครู,อาเหลียงและอาหยง ไปทานอาหารเที่ยงกัน ป้าจุ๋มโทร.ไปหาโก๊ะจิจัง อวยพรให้สอบได้เพราะรู้สึกเป็นกังวล แล้ววนให้ผลัดกันอวยพร ผมบอกให้ตั้งนะโมสามจบ แล้วท่องคาถา
"สอบได้เป็นของตลก สอบตอบเป็นของธรรมดา เรียนไปก็ไร้ค่า ตายห่าก็ลืมหมด" โก๊ะจิจังหัวเราะหายเครียด อิอิ