ผมสองจิตสองใจว่าจะเขียนเรื่องพระจันทร์สีรุ้งดีไหม แต่พอดูละครไปบ้างไม่ดูบ้าง เพราะรำคาญเรื่องราวในละคร เกี่ยวกับเรื่องความจำของพระเอก เกี่ยวกับการแสวงหาผลประโยชน์ของแม่พระเอก เกี่ยวกับแฟนของนางเอก เมื่อคืนดูตอนพระเอกกราบพระแล้วมันก็ขัดลูกตา ทำไมไม่ให้พระเอกกราบพระประธานในโบสถ์แบบเบญจางคประดิษฐ์ล่ะ ให้พระเอกก้มกราบแบบผู้หญิงกราบมันดูขัดๆยังไงไม่รู้ ผมว่าผู้จัดไม่ควรละเลยเรื่องพวกนี้ หรือตอนพระเอกจะขับรถไปหาพ่อทั้งๆที่ร่างกายอ่อนแอ แม้จะให้น้าป้อออกมาตะโกนบอกตอนพระเอกขับรถออกไปว่า ง่วงอย่าขับนะ....ผมก็ว่าถ้าเราจะช่วยกันรณรงค์เมาไม่ขับ ง่วงไม่ขับ ก็ให้พระเอกแอบงีบที่ปั๊มน้ำมันหรือจุดตรวจ เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดี แต่ถ้าอยากให้พระเอกเกิดอุบัติเหตุไปนอนโรงพยาบาลก็ให้มีรถขับตัดหน้าพระเอกจนพระเอกต้องหักหลบแล้วเกิดอุบัติเหตุน่าจะดีกว่า แต่ก็ไม่เถียงนะ หากผู้เขียนบทจะอ้างว่าก็เพราะง่วงแล้วยังฝืนขับจึงแสดงให้เห็นว่ามันจึงเกิดอุบัติเหตุ เพียงแต่ผมมองต่างมุม เลยตัดสินใจว่า เขียนเรื่องนี้ก็ได้ เพราะมันก็มีเรื่องที่อยากทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อกฎหมายอยู่บ้างเหมือนกัน
งั้นเรามาดูเรื่องย่อกันก่อนตามธรรมเนียม ความจริงพระจันทร์สีรุ้งหากจะย่อให้สั้นที่สุดก็คงจะบอกได้ว่าเป็นเรื่องของอารักษ์พ่อกระเทย ที่เอาตะวันลูกของอรดี (หมอนวด)ซึ่งไม่คิดจะเลี้ยงแต่คิดจะเอาไปทิ้งเพราะกำลังจะไปอยู่เมืองนอกกับสามี มาเลี้ยงด้วยความทนุถนอม จนกระทั่งได้ดิบได้ดีสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ และเป็นนักร้องดัง และได้พบกับแม่ซึ่งกลับจากต่างประเทศเนื่องจากสามีฝรั่งตายได้มรดกมากมายจนเข้ามาสู่แวดวงไฮโซ โดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ แต่ต่อมาฝ่ายแม่รู้ว่าตะวันคือลูก พอดวงตกติดการพนันจนเป็นหนี้มากมาย ตะวันเกิดอุบัติเหตุความจำเสื่อมก็เลยถือโอกาสโหนความดังของลูก อาศัยชื่อเสียงของลูกหากินได้อีก และปกปิดความเลวร้ายในอดีตของตัวเองและพยายามกีดกันพ่อบุญธรรมที่เลี้ยงดูลูกมา ตลอดจนกีดกันคนที่เคยรู้จักอดีตของตน แต่ในที่สุดตะวันก็เริ่มจำอดีตได้ กลับมารักกับปลายฟ้า และเมื่อรู้ความจริงก็จะกลับมาหาพ่อในขณะที่หัวใจของรักษ์แทบแตกสลายเมื่อลูกออกมาให้สัมภาษณ์ตามที่แม่ป้อนข้อมูลว่าพ่อเป็นกระเทยที่แอบมาหลงรัก และศศินก็เอาข่าวเรื่องนี้ไปบอกนักข่าวเพื่อทำลายชื่อเสียงของตะวัน รักษ์กำลังป่วยหนักพอรู้ว่าตะวันเกิดอุบัติเหตุก็ไปเยี่ยม พอกลับมาก็เจอนักข่าวมาสัมภาษณ์ก็เลยให้สัมภาษณ์ว่าตนไม่ได้เป็นอะไรกับตะวัน อย่าทำให้ตะวันเสื่อมเสียชื่อเสียงกับเรื่องนี้อีกเลย ตะวันรู้ซึ้งถึงความรักที่พ่อมีต่อตนเองจึงกลับมาหาพ่ออยู่ในอ้อมกอดพ่ออีกครั้ง ในขณะที่พ่อกำลังจะตาย
ผมว่าย่อออกมาแค่นี้ก็พอรู้เรื่องแล้วนะครับ ผมขอเจาะไปที่ตอนที่แม่พระเอกคลอดลูกแล้วหนีออกจากโรงพยาบาลและกำลังจะเอาลูกไปทิ้งกองขยะ ถ้าใครดูละครเรื่องนี้คงจำได้ว่าอรดีเอาลูกมาที่กองขยะแล้วแต่ตอนนั้นมีคนเดินเข้ามาก็เลยทิ้งไม่ได้ต้องอุ้มลูกออกไป ถ้าอรดีเอาลูกวางทิ้งไว้แล้วเดินจากไป ความผิดก็จะเกิดขึ้นทันทีเพราะมันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๐๙ ที่ระบุว่า
“ผู้ใดทอดทิ้งเด็กอายุยังไม่เกินเก้าปีไว้ ณ ที่ใดเพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
แต่ในละครยังไม่ได้ทิ้ง รอบนี้อรดีจึงรอดตัวไป แต่ที่หยิบเรื่องนี้มาเขียน เพราะเป็นห่วงสังคมที่เด็กคลอดออกมาแล้วขาดคนรับผิดชอบ ผู้ชายที่ทำให้เขาท้องก็ไม่รับผิดชอบ ตัวแม่ที่อุ้มท้องอยู่ก็ไม่รับผิดชอบในชีวิตที่ตัวเองเกิดมา เหมือนที่มีข่าวในหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยๆ ในละครเรื่องนี้ อรดีมีเหตุผลที่จะทิ้งลูกเพราะตนจะตามไปอยู่กับสามีฝรั่งที่ต่างประเทศ (แต่มันไม่ใช่เหตุผลที่ถูกต้องเลยนะ...) ดูละครเรื่องนี้แล้วนึกถึงเรื่องการทำแท้งของหมอแป๊ะ (ธนพันธ์ ชูบุญ ที่เขียนเรื่องนี้ เพราะเราบอกไม่ให้เขาทำแท้ง แต่เมื่อเขาคลอดมาเขาไม่พร้อมที่จะเลี้ยง คราวนี้เป็นภาระของใคร ของพ่อแม่เด็กหรือก็เปล่าเพราะทิ้งไปแล้ว และถ้าเด็กที่เกิดมาเป็นเด็กเกเรที่สร้างปัญหาให้กับสังคมใครควรรับผิดชอบ คนที่คัดค้านการทำแท้ง หรือใครดี อ่านบันทึกหมอแป๊ะที่นี่ครับ)
คราวนี้อรดีจึงเดินไปที่สะพาน มองไปที่ลำคลอง ดูในเรื่องแล้วผมเชื่อว่าท่าทางที่แสดงออกก็คืออรดีอยากจะโยนเด็กลงน้ำเพื่อจะได้หมดปัญหา (ทำไมไม่หนีออกจากโรงพยาบาลคนเดียวก็ไม่รู้นะ...) พอตัดสินใจจะโยน อารักษ์ก็โผล่เข้ามาเห็นพอดีจึงยื้อแย่งเด็กกัน ในที่สุดเด็กก็ตกน้ำลงไป จะโทษใครละทีนี้ ถ้าอารักษ์มาเป็นพยานให้ตำรวจว่าเห็นพฤติกรรมของอรดีที่ทำท่าจะโยนเด็กลงน้ำ แล้วมีพยานประกอบว่าเห็นอรดีอุ้มลูกอยู่ที่กองขยะในลักษณะที่จะทอดทิ้งเด็กไว้ที่กองขยะ และพอเห็นว่าเด็กตกน้ำแล้วก็หนีไปเฉยๆแทนที่จะร้องขอความช่วยเหลือ หรือวิ่งไปหาคนมาช่วย ถ้าเด็กตาย ผมจะฟ้องอรดีว่าฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน (ซึ่งมีโทษถึงประหารชีวิต) ถ้าเด็กไม่ตายเหมือนในละครผมก็จะฟ้องว่า อรดีพยายามฆ่าลูกตัวเองโดยไตร่ตรองไว้ก่อน(ซึ่งมีโทษเพียง ๒ ใน ๓ ของโทษเต็ม ซึ่งก็ต้องปรับโทษประหารชีวิตมาเป็นโทษจำคุก ๕๐ ปี แล้วลงโทษ ๒ ใน ๓ ของ ๕๐ ปีนั่นแหละครับ)
ทีนี้เรามาดูว่า ถ้าอรดีทิ้งลูกไว้ที่กองขยะแล้วเด็กถูกมดกัด เด็กไม่ได้ดูดนม ไม่มีอาหารว่างั้นเหอะ หรือถูกสุนัขกัดเด็กเล่นจนเด็กตาย ความผิดของอรดีจะเป็นอย่างไร
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๘ บัญญํติว่า
“ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 306 หรือมาตรา 307 เป็นเหตุให้ผู้ถูกทอดทิ้งถึงแก่ความตาย หรือรับอันตรายสาหัสผู้กระทำต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 290 มาตรา 297 หรือมาตรา 298 นั้น”
ซึ่งหมายความว่า ถ้าไม่ได้เจตนาฆ่า แต่เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เช่นเห็นอยู่แล้วว่ามีมดเยอะ ให้มดกัดจะได้มีคนสงสาร แต่ปรากฏว่าเด็กร้องอยู่นานไม่มีใครได้รับรู้มดก็กัด ไม่มีอาหาร จนเด็กตาย ก็ต้องระวางโทษสามปีถึงยี่สิบปี
ถ้าเจตนาทำร้ายโดยเล็งเห็นผล กรณีไม่ตาย เนื่องจากเล็งเห็นผลว่ามดต้องกัดเด็ก แต่ปรากฏว่ามดมันรุมกัดถูกตาเด็กบอด หรือหมากัดจู๋เด็กขาดไม่สามารถต่อไปทำให้เสียอวัยวะสืบพันธุ์ กรณีนี้ถือว่าบาดเจ็บสาหัส ก็ต้องมีโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี
และถ้าไตร่ตรองไว้ก่อนคือคิดอยู่แล้วว่ามันจะเป็นยังงั้นยังงี้ตามที่วางแผน ก็ต้องระวางโทษตั้งแต่สองปีถึงสิบปี
เขียนเล่าเรื่องนี้มาบอกกล่าวกันไว้ ว่าใครที่คลอดบุตรอันไม่พึงประสงค์อย่าทอดทิ้งเด็กแบบนี้ครับ เพราะมันผิดกฎหมาย ถ้าทิ้งไว้โดยที่ยังมีคนดูแล เช่นที่โรงพยาบาล แล้วแอบแว๊บบบ...แต่ยังมีพยาบาลดูแล เฮ้อ...ไม่อยากแนะนำเลย พับผ่า....
อิอิอิ
หนุกตามเคย
ฮั่นแน่ ท่านแฟมิลี่แมน ดูเรื่องนี้ด้วย ...
ด้วยอยู่ชมรมคนรักน้องฟ้า พอเห็นชื่อบันทึก จึงคิดว่าจะได้เห็นภาพพระจันทร์ ไปซะนี่ ...
ท่านอัยการรักษาสุขภาพนะคะ
ท่านก็แฟนละครตัวยงเหมือนกันนะครับ
สวัสดีค่ะ
น้องกอ น้าอึ่ง น้องปู ท่านเบดูอิน
อิอิอิ ดูละครไปรำคาญความไม่สมเหตุสมผลไปก็เลยอดไม่ได้ที่ต้องหยิบมันมาเขียน โยนเด็กแรกเกิดลงน้ำ เสียงดังตูม เด็กไม่ร้องเลยแสดงว่าจมน้ำ แม่เด็กหนีไป สักพักเสียงเด็กร้อง เจออีกทีอยู่บนกอผักตบชวา แล้วมันปีนขึ้นกอผักตบตอนไหนว้า....
สวัสดีครับพี่คิม
เด็กๆแบบนี้เขาน่าสงสารนะครับ บางทีเราเห็นเด็กเกเรเราก็รู้สึกโกรธเกลียด โดยที่เราไม่รู้ว่าเขาได้รับความเจ็บปวดอะไรมาบ้าง เขาว้าเหว่ เขาเหงา เขาอยากได้กอดอันอบอุ่น ยิ่งเขาแสดงอาการแห่งความรุนแรง ความรักก็ห่างเขาออกไปเรื่อยๆ ใครควรเป็นผู้รับผิดชอบ แต่หากมีผู้เข้าใจเขา ให้ความอบอุ่นแก่เขาอย่างจริงใจ มันก็พอจะช่วยเยียวยาจิตใจเขาได้ เหมือนอย่างที่พี่คิมเจอไงครับ
ปกติติ๋วไม่ชอบดูละครเพราะความจำไม่ดีค่ะ...จำตัวละครไม่ค่อยได้ แต่ท่านพี่เอามาเล่าให้รู้ข้อกฎหมายด้วยเลยสนุกดีค่ะ...
...ที่แน่ๆ...ติ๋วสรุปว่า...ท่านพี่ขี้ฟ้องชะมัด เอะอะก็จะฟ้องๆๆ...เดี๋ยวน้องจะไปฟ้องแม่แหละ...ฮาๆๆๆ
น้องติ๋ว
ใครๆก็รู้กันทั้งนั้นแหละว่าพวกอัยการเป็นลูกอีช่างฟ้อง ฮ่าๆ
แต่สมัยผมเป็นอัยการจังหวัด ผู้ต้องหามาสำนักงานอัยการ เตรียมหลักประกันมาเต็มที่ ปรากฏว่าผมสั่งไม่ฟ้องเฉย เพราะพิจารณาแล้วว่าเขาไม่ผิด ผู้ต้องหาเดินออกจากสำนักงานแบบงงๆ เพราะยังไม่ได้วิ่งคดีเลยปล่อยซะแล้ว..ฮ่า
สวัสดีครับท่านเอื้องแซะ
แม่แบบอรดีคงมีแต่ให้ชั่วบริสุทธิ์แบบนั้นคงมีน้อย อย่างน้อยก็ต้องมีความรักลูกอยู่บ้าง ไม่ใช่จงเกลียดจงชังแบบในละครเสียทั้งหมด อย่าทอดทิ้งลูกนะดีแล้ว ถึงไม่มีปัญญาเลี้ยงแต่แอบๆมาดูบ้าง หมามันยังรักลูกของมันเลย ทำไมคนถึงเกลียดชังลูกได้ขนาดนั้น
หน้าสำนักงานผมเป็นศาลาประชาคม มีทหารมาตั้งจุดตรวจก่อนเข้าไปในบริเวณศาลาประชาคม ผมยังพูดกับเพื่อนเลยว่าขนาดไม่มีเหตุการณ์อะไรรุนแรงในภูเก็ต พอเราเห็นทหารมารักษาการณ์อยู่ใกล้ก็รู้สึกแปลกๆ เข้าใจความรู้สึกคนในสามจังหวัดภาคใต้มากขึ้นครับ
อ.ขจิต ครับ
การวินิจฉัยเกณฑ์ในการพิจารณาว่าจำคุกหรือปรับ หรือจะทั้งจำทั้งปรับ อยู่ที่ศาลครับ แต่ส่วนใหญ่จะดูถึงพฤติกรรมการกระทำ ผลกระทบที่เกิดขึ้น อายุ ความรู้ ความรู้ผิดชอบของผู้กระทำ หลายเรื่องครับ อย่างกรณีอรดี(แม่ของพระเอก) ถ้าศาลมีข้อมูลทั้งหมดที่เราเห็นในละคร ผมเชื่อว่าพฤติกรรมอย่างนี้ต้องจำคุกครับ ส่วนที่ทั้งจำทั้งปรับก็ไม่ได้หมายความว่าจะโดนสองเด้งเสมอไป เพราะเท่าที่เห็นศาลมักจะลงโทษแบบนี้ครับ "จำคุก ๓ เดือน ปรับ ๕,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด ๒ ปี" แล้วก็ปล่อยตัวจำเลยไป อิอิ
เอ ที่ไปเยี่ยมมาไม่ใช่ที่นี่นี่นา
ใช่ไหมท่าน ฮ่า ฮ่า.....
อิอิ หมอแป๊ะ ผมก็ไปมาหลายที่ อิอิ