จักรยาน...และการเดิน
...........................................................................
ดิฉันเคยเขียนเกี่ยวกับการใช้ชีวิต... ช้าลง หลายครั้ง แต่จำไม่ได้ว่าเขียนบันทึกไว้ที่ไหนบ้าง...
ณ วันว่างวันหนึ่งได้มีโอกาสติดตามกัลยาณมิตรท่านหนึ่ง และเพื่อนร่วมเดินทางเภสัชกรสาวสวย ไปดูจักรยาน ซึ่งเป็นจักรยานพับได้ หลากหลายรูปแบบ มีทั้งแบบคลาสสิคและแบบออกในแนว sport ซึ่งสำหรับตนเองเป็นคนที่ชอบที่จะใช้จักรยาน ค่อนข้างที่จะถูกใจจักรยาน DAHON ค้ำคอ ในแนวคลาสสิค และ Strida ในแนว sport
DAHON... ดูเธอสง่างาม สงบ ...นิ่ง นุ่มนวล หากแต่เข้มแข็ง
จักรยานพับได้ ค่อนข้างที่จะสะดวกในการพกพา และติดรถไปด้วยเพราะ สามารถนำเก็บไว้ท้ายรถเก๋งได้ ไม่เปลืองพื้นที่เท่าไรนัก กัลยาณมิตรที่ดิฉันติดรถไปด้วยนั้นท่านได้จักรยานมาหนึ่งคัน น่ารักใส่ท้ายรถได้พอดี ราคาไม่แพงมาก ท่านก็นำมาใช้ปั่นมาทำงานระหว่างที่บ้านและมาทำงานที่คณะฯ และใช้เป็นพาหนะในการไปไหนมาไหนในระยะทางที่ไม่ไกลมากในมหาวิทยาลัย
ดิฉันมองว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม เพราะเป็นหนึ่งทางเลือกของชีวิตและที่สำคัญช่วยโลกด้วยค่ะ ในท่ามกลางกระแสแห่งความวุ่นวายและความเจริญทางด้านเทคโนโลยี กับอีกแง่งามหนึ่งของชีวิตกับวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่เร่งรีบ เป็นการคืนชีวิตให้กับสังคมและโลก ช่วยในการลดมลภาวะและวิกฤตการณ์โลกร้อนได้
ยิ่งหากว่าบุคคลนั้นเป็น “ครู”... อาจารย์ เป็นแม่พิมพ์ที่งดงาม และเป็นผู้ให้ความสำคัญต่อ “ธรรมชาติ” ดิฉันมองว่านั่นได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างมหาศาล...ยิ่ง... ดิฉันนั้นมักยินดีและร่วมรณรงค์ในการคืนกลับสิ่งต่างๆ ต่อ “ธรรมชาติ”...และการใช้ชีวิตที่ช้าลง...แต่ทำคุณประโยชน์อย่างมหาศาลต่อ “โลก” ... มากกว่าการที่ไม่ลืมตาเงยหน้ามองความเป็นไปของสิ่งต่างๆ รอบด้าน
Strida...
ในส่วนตัวของดิฉันเอง...
หากอยู่ที่ยโสธรจะใช้การเดิน และปั่นจักรยาน...
และยิ่งตอนนี้อยู่ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น จะเดินค่ะ เดินออกจากบ้านไปออกกำลังกาย เดินไปซื้อของ เพราะการเดินในมหาวิทยาลัยเป็นการเดินที่ค่อนข้างสะดวกและทำได้ เพราะมีทางเดินและร่มไม้ไม่ร้อน... เวลามีคนถามว่าขับรถอะไรมา ดิฉันก็ตอบไปว่า “เดินมา” คนถามก็มักจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไร แต่ดิฉันก็ได้แต่หัวเราะไม่ได้อธิบายอะไรมากมายนักไม่ว่าจะเป็นการเดินก็ดี การใช้จักรยานก็ดี...
ต่างทำให้เรานั้นช้าลง...ต่อการพินิจพิจารณา...ความงดงามของ “ชีวิต”ในซอกมุมเล็กๆ... ของความคิดความรู้สึก
................................................................................................................
ณ วันหนึ่ง...
ดิฉันเดินออกจากบ้านแต่เช้ามืด แสงสว่างรำไร เสียงนกร้องขับขาน... เสียงไก่ขัน และเสียงเริ่มต้นของ “ชีวิต” อีกวัน... ดิฉันเตรียมพร้อมกับชุดกีฬาเพื่อ “วิ่ง” ... วิ่ง วิ่ง และวิ่งค่ะ
อากาศสดชื่นมาก ไม่มีรถวิ่งบนท้องถนน เป็นวันที่ดิฉันสามารถวิ่งได้ระยะทางไกลมาก เป็นการวิ่งทัวร์ในมหาวิทยาลัยเลยก็ว่าได้ วิ่งรอบและได้มีโอกาสไปทักทายเพื่อน และพี่...และกัลยาณมิตร
ได้ทิ้งตัว..ลงบนพื้นหญ้า...สัมผัสกับหยดน้ำค้างที่พรมอยู่บนพื้นผิวหญ้า...และดินแหงนมองท้องฟ้า...ใสกระจ่าง... และแสงตะวันที่เพียบไปด้วย คุณค่า “วิตามิน D”
นอนเป็นนานสองนาน... กับความเป็นธรรมดาของชีวิตในยามเช้า...
บางครั้งการที่เราไม่ต้องเร่งรีบกับอะไรมากมายในชีวิตนี้
ผลย้อนกลับทำให้คุณค่าอย่างมากมายต่อความเป็น “ชีวิต” ของเรา...
...........................................
เยี่ยมยอด ลึกซึ้ง ใน ความคิด และนอกเหนือความคิด ครับ
มองโลกในแง่ดีจังเลยค่ะ ..เห็นด้วย เราไม่เห็นจะต้องรีบเร่งในชีวิตมากมายเลยนิ บางทีรีบมากก็ลืมมองหาสิ่งสวยงามข้างทาง.. ถึงปลายทางเร็วไป อาจเสียดายก็ได้ ..
พี่แก้วอยู่ มข มานานมาก แต่ไม่ค่อยได้เดิน ไม่ค่อยได้วิ่ง
ตอนนี้ออกมาอยู่นอก มข แล้ว ได้แต่ขี่จักรยานไปซื้อกับข้าวหน้าหมู่บ้าน
ตอนนี้วิ่งไม่ไหว ได้แต่โยคะ หน้าบ้านค่ะ
^__^
อยู่ที่นี่ ได้จักรยานมาอันนึง ปั่นได้วันสองวัน เหนื่อยมาก แถวๆ นี้เป็นเนินสูงมั่กๆ จริงๆ ถ้าปั่นทุกวันคงแข็งแรง
สวัสดีค่ะน้องกะปุ๋ม
อยู่ในกรุงเทพก็แย่อย่างตรงที่ขี่จักรยานก็อันตรายมาก ถ้าอยากจะเดินหรือวิ่งที่อากาศดีๆ หน่อยก็ต้องไปสวนสาธารณะ.. แต่ก็ยังดีที่มีที่ให้ไปเดินชมสวนรับอากาศดีๆ บ้างค่ะ
เรื่องการใช้ชีวิตช้าลง พี่ก็ได้เริ่มปฏิบัติแล้ว พอเจริญสติแล้วจะเห็นเลยว่าชีิวิตมันช้าลงเอง ไม่ค่อยโดดตามสังคมหรือกระแสนิยมต่างๆแล้ว ดีมากเลยค่ะ พอมาอ่านที่น้องกะปุ๋มเขียน ก็รู้สึกว่ามีคนรู้สึกแบบเดียวกับเรา ทำให้รู้สึกดีมากค่ะ ^ ^
สวัสดีค่ะ น้องกะปุ๋ม
แวะเข้ามาเยี่ยมอีกครั้งค่ะ แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ
ได้ข้อคิดดีๆกลับไปทุกครั้ง ... ทุกวันนี้พยายามใช้ชีวิตช้าลง
อย่างที่คุณกะปุ๋มบอก รู้สึกดี ค่ะ คงเป็นอย่างที่ครูเอ บอกนะคะ
เราถึงจุดหมายช้าไปนิดหนึ่ง แต่เราได้ความสุขเพิ่มมามากมาย
ในระหว่างทางเดินนั้น .... คงยึดแนวทาง เช่นนี้ ... ต่อไปเรื่อยๆ
ดีใจจังเลยค่ะ...ที่มีแนวร่วมมากมายเข้ามาพูดคุยกันในเรื่องนี้
....
อยากจะพูดคุยอย่างละเมียดละไมไปทีละคน แต่...กะปุ๋มพิจารณาว่าอย่างนี้นั้นดีแล้ว ไม่พูดหากแต่ยิ่งเข้าใจในกันและกัน... จึงขอยกมือแทรกตัวเข้ามาพูดคุยต่อจาก P'niche แล้วกันนะคะ
จริงๆ แล้วเวลาที่มาอยู่ที่บ้านพักที่ขอนแก่น...กะปุ๋มไม่มีจักรยานแล้วค่ะ มีคันเก่าๆ คันหนึ่ง...เป็นคันที่รวมความรักค่ะ เป็นคันที่ได้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อสิบปีก่อน ที่เพื่อนที่ดีที่รักที่สุดคนหนึ่งซื้อให้ไว้ใช้ตอนเรียน ป.โทจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นนี่แหละค่ะ ...
เมื่อจักรยานคันนี้เขาแก่ตัวลง คุณแม่ก็เพียรนำไปซ่อมให้เมื่อเวลากลับบ้านที่ยโสธร... จนเมื่อสองปีก่อนนำเขากลับมาใช้ที่ขอนแก่นอีกครั้ง... ใช้ไปใช้มา...เจอรุ่นน้องที่มีความลำบากมากกว่า ... ลำบากต่อการที่ต้องพึ่งพาตัวเอง และการต่อสู้ภายในจิตใจ ในท่ามกลางความโดดเดี่ยว ที่มองไปรอบด้านไม่มีใคร กะปุ๋มก็เลยตัดสินใจยกจักรยานคันนี้ให้เธอไป และบอกกับเธอว่า "จักรยานคันนี้" จะทำให้เธอเข้มแข็งขึ้น และสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง แม้จะอยู่คนเดียวก็ตาม... แต่ขออย่างเดียวว่าขอให้เธอปั่นจักรยานคันนี้...ทุกวัน...
...
และทุกวันนี้... บ่อยครั้งที่ดิฉันได้แอบเห็นรุ่นน้องคนนี้ ปั่นจักรยานไปตามซอกซอยต่างๆ ในมหาวิทยาลัย... เพียงแค่นี้ก็รู้สึกมีความสุขแล้วค่ะ
(^_______^)
ปล. จักรยานในภาพนั้นเป็นของคนอื่นค่ะ...กะปุ๋มเพียงขอยืมปั่นเท่านั้นค่ะ...ตอนนี้เดินค่ะ...เดินมากขึ้น
มาชมชาวจักรยานด้วยกันครับผม