จำได้ว่าตั้งแต่เด็กจนโต สิ่งหนึ่งที่ทำไม่ได้ คือ เรื่องการตื่นนอนตอนเช้ามืด แม้จะพยายามอย่างไรก็ไม่สำเร็จ พอมาปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนตามมาคือ เรื่องเวลาการนอน จากเดิมที่เป็นคนชอบนอนดึกเป็นอาจิน ชอบทำงาน ทำกิจกรรมตอนกลางคืนต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่เด็กจนโตก็ว่าได้
"ตอนนั้นไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงในชีวิตเลย...ทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยดี ปกติเป็นคนทำงานมาก ไม่ค่อยหลับนอนเท่าไร หากจะนอนก็นอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง
พอมาช่วงหนึ่งของชีวิต...ที่ต้องทบทวนตนเอง พบว่าตนเองนั้นใช้ชีวิตผิด เวลาที่ควรนอนไม่นอนกลับมาทำงาน ระบบอวัยวะต่างๆ ในร่างกายก็ทำงานผิดปกติไป
เคยมีความสงสัยในตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมถึงได้มีการพูดถึงเรื่องการเข้านอนหัวค่ำ ตื่นแต่เช้า ซึ่งเป็นตัวความรู้ที่เป็นข้อมูลหรือ Data หรือ Information ก็ว่าได้ แต่ตอนนั้นไม่เกิดเป็นความเข้าใจที่ซาบซึ้งใจ พอเริ่มมีการตื่นรู้แห่งภายในมากขึ้น (Being Awake) การเปลี่ยนแปลงภายนอกก็เปลี่ยนไปตาม"
"ข้าพเจ้ามองว่า...ชีวิตเคลื่อนเข้าไปสู่สภาวะแห่งเป็นธรรมชาติมากขึ้น ร่างกายเราก็มีกลไกที่เป็นตามธรรมเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงได้เกิดมีนาฬิกาชีวิตเกิดขึ้น ซึ่งนาฬิกาชีวิตนี้สะท้อนให้เห็นถึงเวลาของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายเรา
แต่ ณ ตอนนั้นข้าพเจ้าไม่ได้คิดอะไรมากมายว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในตัวเองหรือไม่ ข้าพเจ้ามีหลายเรื่องที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กัน การปฏิบัติขัดเกลาและชำระล้างจิตใจตนเอง ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพภายนอก"
ข้าพเจ้าฝึกฝนและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอน หากว่าไปแล้วเหมือนเริ่มต้นเยียวยาตัวเองใหม่ จากเดิมที่นอนเกือบสว่าง เปลี่ยนมานอนสามทุ่ม ช้าอย่างมากไม่เกินห้าทุ่ม และตื่นแต่เช้ามืดประมาณตีสาม จากความเชื่อหนึ่งว่า "นอนหัวค่ำจะทำให้มีพลังตื่นตอนเช้า" ข้าพเจ้าจึงอยากทดลองทดสอบดู เพราะว่าการนอนดึก โหมทำงานหนักลึกๆ แล้วทำให้ชีวิตและร่างกายนี้ตึงเครียดโดยไม่รู้ตัว
"มะเร็งก็มักแอบมาตอนนี้แหละ หรือแม้แต่มะเร็งทางอารมณ์เองก็เช่นเดียวกัน"
แรกๆ การเข้านอนเร็วขึ้นทำได้ยากมาก แต่ด้วยความที่อยากรู้ จึงพยายามฝึก เริ่มนอนด้วยการกำหนดจิต พิจารณาลมหายใจ ทำอยู่อย่างนี้ประมาณหนึ่งเดือนเกือบสองเดือน ร่างกายปรับเวลาชีวิตใหม่กลายเป็นคนที่นอนหลับแบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น คือ พอจะนอนปุ๊บก็สามารถกำหนดจิตให้หลับ และเป็นการหลับลึกด้วย(Deep Sleep) ไม่มีทั้งฝันดีและฝันร้าย เป็นนอนหลับแบบรวดเดียวจบ ไม่กระสับกระส่าย แม้สิ่งต่างๆ รอบด้านจะเสียงดัง หรือมีการเคลื่อนไหวอันเป็นภาวะรบกวน แต่ข้าพเจ้าก็สามารถหลับได้ทันทีทันใด
"กระบวนการเรียนรู้ตรงนี้ข้าพเจ้าได้นำมาใช้ในการเยียวยาผู้ป่วยที่เป็นโรคนอนไม่หลับด้วย เมื่อก่อนเราอาศัยแต่ทฤษฎีมาใช้ในการบำบัดช่วยเหลือผู้ป่วย แต่ ณ ตอนนี้เราสามารถนำข้อจากการปฏิบัติเรียนรู้ด้วยตัวเองมาใช้ในการเยียวยาสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคนอนไม่หลับ โดยที่ไม่ต้องพึ่งพิงยานอนหลับเลย
จิตเรามักปรุงแต่งความคิดอยู่เสมอ...และตลอดเวลา ยากที่จะห้ามไม่ปรุงให้คิดได้
การใช้ลมหายใจมาเป็นจุดสนใจในการหยุดการคิดปรุงแต่งแห่งความคิดนี้ สามารถช่วยเยียวยาอาการนอนไม่หลับได้ และได้ดีทีเดียว เพราะเป็นสภาวะที่ทำให้จิตได้พักจริงๆ
การพักมีสองอย่าง...หนึ่งร่างกายต้องการพัก สองจิตต้องการพัก -----> ดังนั้นในการดำรงอยู่ของชีวิตควรให้ทั้งจิตและร่างกายนี้ได้พัก"
กำไรที่ได้จากการมีเวลานอนที่เปลี่ยนไป หน้าตาจะสดใสขึ้น ผิวพรรณและรอยเหี่ยวย่นหายไป เป็นไปได้ว่าตามทฤษฎีว่าไว้ว่าช่วงสามถึงสี่ทุ่มเป็นช่วงที่เมลาโทนินทำงาน และเป็นช่วงเวลาของกระบวนการตามธรรมชาติที่ร่างกายต้องซ่อมแซมตัวเอง ในตำราบอกว่าเข้านอนเวลานี้จะทำให้ไม่แก่เร็ว... (ข้าพเจ้ามองว่าเป็นของแถมที่ได้รับ)
การตื่นนอนแต่เช้ามืด มานั่งทำงานนี้ทำให้สมองปลอดโปร่งมาก คิดสร้างสรรค์งานต่างๆ ได้เยอะเลยทีเดียว งานที่ต้องใช้ความคิดอย่างมากก็ทำได้อย่างลื่นไหลมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อนที่พยายามโหมงานอย่างหนัก ซึ่งงานก็เสร็จเหมือนกันได้ผลลัพธ์คล้ายกัน แต่สิ่งที่มากกว่านั้นที่ไม่เท่ากัน คือ สุขภาพของคนทำงาน และประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นในการทำงาน อย่างหลังเป็นการทำงานอย่างมีความสุขมากกว่า ไม่ค่อยมีความรู้สึกตึงเครียดมากเท่ากับการทำงานในแบบแรก
จำได้ว่าสมัยที่เรียนปริญญาเอกทางด้านจิตวิทยาให้คำปรึกษานั้น ตอนนั้นข้าพเจ้าอาจหาญเรียนปริญญาโททางการพยาบาลควบคู่ไปด้วย เมื่อย้อนกลับไปมองการทำงานของตัวเองที่นอนน้อย ทำงานมาก แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นคือ ความตึงเครียด อย่างเห็นได้ชัดมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเกิดขึ้น เครียดแล้วออกมาทางด้านการกิน ------>
"ตอนนั้นน้ำหนักเพิ่มเยอะมากจากเดิมหนักสี่สิบห้ากิโลกรัมพุ่งพรวดเป็นห้าสิบกว่าเกือบหกสิบ หน้าตาแม้ดูมีความสุข สนุกสนาน แต่ก็บ่งบอกร่องรอยของความมีอายุ มีสิวเต็มหน้า การเคลื่อนไหวไม่คล่องตัว
ระบบต่างๆ ในร่างกาย error ไปหมด ระบบภูมิคุ้มกันโรคต่ำลง ป่วยง่าย เป็นไข้บ่อย อาการประจำของความเจ็บป่วยคือ ไมเกรน และนอนหลับไม่สนิท
จิตเริ่มเคลื่อนเข้าสู่ความหดหู่ ความอดทนทางด้านอารมณ์ลดลง..."
ข้าพเจ้าบอกกับตนเองว่าสภาวะนี้ดูท่าจะไม่ไหว ... เราต้องรีบเยียวยาตัวเอง สภาวะดังกล่าวข้าพเจ้าปล่อยให้ตัวเองเป็นไปเกือบสองปี ระหว่างนั้นกลับมาทำงานที่ต้นสังกัดด้วย และเข้าเรียนหลักสูตรปริญญาเอกทางด้านเทคโนโลยีการศึกษา ซึ่งเป็นการทำงานไปด้วยและทำปริญญาเอกใบที่สองนี้ไปด้วย ข้าพเจ้าเริ่มตระหนักแล้วว่าจะใช้ชีวิตเช่นเดิมไม่ได้ จะต้องปรับเปลี่ยน จึงได้เริ่มทดลองสิ่งต่างๆ ด้วยตนเองอีกครั้ง... จนมาเห็นผลลัพธ์มาถึงทุกวันนี้
________________________________________________________________________________
"เกิดเป็นความตระหนักในตนเองว่า การเยียวยาที่ยอดเยี่ยมที่สุด คือ แนวทางธรรมชาติ"
สวัสดีค่ะกะปุ๋ม
พี่จะปฏิบัติเรื่อง การนอนแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยอดหลับอดนอน แม้กระทั่งเวลาสอบ ก็จะไม่เคยนอนดึก นอกจากคุยกับเพื่อนสนิทจนเพลิน แต่การตื่นเช้าเป็นนิสัย
เพราะแม่พี่เขาจะฝึกเราตั้งแต่เด็กค่ะ
มาทักทายค่ะ คุณกระปุ๋ม
เคยนอนดึก เพราะหมกมุ่นกับการทำงานหลายๆด้าน โดยที่ไม่สนใจสุขภาพของตัวเอง บางทีกว่าจะได้นอนข้ามเลยไปวันใหม่ มีเวลานอนแค่ 3-4 ชั่วโมง พอล้มตัวก็หลับสนิท แต่ตื่นขึ้นมาแล้วก็ไปทำงานประจำต่อได้อีก
จนกระทั่งเดี๋ยวนี้รู้ตัวว่าร่างกายสู้ไม่ไหวแล้ว จึงพยายามเข้านอน ประมาณ 3 - 4 ทุ่ม แรกๆก็นอนไม่หลับ นั่งสมาธิก็ไม่ได้ผล เพราะยิ่งนั่ง จิตยิ่งปรุงไปทั่ว สุดท้ายต้องใช้วิธีฟังเทปธรรมะ จนกระทั่งหลับได้
เดี๋ยวนี้นอนหลับ ตื่นประมาณตีสามตีสี่ แต่ก็ไม่ได้ลุกมาทำงาน ฟังรายการธรรมะ คติธรรม ข้อคิดชีวิตหลายๆรายการ จนประมาณตีห้าครึ่งจึงได้เวลาทำงาน รู้สึกว่ามีความสุข ไม่เครียด สมองปลอดโปร่ง หน้าตา ผิวพรรณสดใสขึ้นค่ะ การเยียวยาที่ยอดเยี่ยมที่สุด คือ แนวทางธรรมชาติ เหมือนที่คุณกระปุ๋มบอกค่ะ
เพิ่งมาตามอ่านสี่ตอนรวดจ๊ะ ^ ^
ดีมากเลยที่เอาประสบการณ์ปฏิบัติมาเผยแพร่ พี่ชอบมากเลย
ยังทำไม่ได้มากเท่ากระปุ๋ม แต่ก็เพียรพยายามอยู่ พยายามระลึกรู้อยู่เสมอ
รู้ได้ว่าเมื่อใดมีสติเมื่อนั้นสบายใจทุกที ^ ^
ขอบคุณนะคะ
สวัสดีค่ะ...พี่แก้ว :
สวัสดีค่ะ คุณ NU11 :
"...มันเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องเยียวยาตัวเราเอง การเยียวตัวเรา หมายถึง เราเยียวยาใจ ซึ่งการเยียวยาใจ ทำให้จิตชุ่มชื่นส่งผลต่อร่างกาย..." ถอดบทเรียนของคุณสุภาพร พันธ์พฤกษ์
พี่ตุ๋ยคะ :
ขอบคุณค่ะ
(^_____^)
กะปุ๋ม
สวัสดีค่ะคุณ Ka-Poom
สวัสดีค่ะพี่คนไม่มีราก :
แก้ให้ได้นะคะ...ถึงยากอย่างไรก็ต้องทำค่ะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ
(^____^)
กะปุ๋ม
สวัสดีค่ะคุณ
"...ความเคยชินที่ว่านี่ก็เป็นอาการของกิเลสอย่างหนึ่งเหมือนกัน ดังนั้น หากเราต้องการถึงสู่นิพพานและละไปจากวัฏสังสารนี้ ก็ต้องพ้นจากกิเลสทั้งสิ้นทั้งปวง..."
^__^ พี่ "คนไม่มีราก" คะ :
ขอบคุณค่ะ
(^_____^)
กะปุ๋ม
เพิ่มเคล็ดลับอีกอย่างหนึ่งที่กะปุ๋มนำมาใช้ค่ะ...
พี่ "คนไม่มีรากคะ"...
พรุ่งนี้เราจะมาคุยผลที่ได้เรียนรู้นี้ร่วมกันนะคะ เดี๋ยวกะปุ๋มตามไปคุยที่บ้านพี่ก็ได้ค่ะ...
(^____^)
พี่คนไม่มีรากคะ :