หากจะว่าไปแล้ว เมื่อพูดถึง R2R หรือ Routine to Research อันที่เรารู้กันในนามของการพัฒนางานประจำด้วยการทำวิจัย สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ไม่ได้หมายถึงการขีดวงเพียงแค่การผลิตงานวิจัยออกมาหนึ่งเรื่อง สองเรื่อง สามเรื่อง หรืออีกหลายๆ เรื่อง...
ข้าพเจ้าจึงใคร่ครวญและดูว่า ตนเองอาจจะทำงานลำบากในเชิงระบบ หรือในเชิงที่เป็นทางการ (formal) เพราะวิถีทางของข้าพเจ้านั้นมองเพียงแค่ในระดับของการปรารถนาที่อยากให้คนหน้างานเกิดปิติสุขจากการทำงานประจำของตนเอง และเป็นปิติสุขจากการที่เขาได้ใช้ศักยภาพทาง "ปัญญา" ที่มีอยู่มาแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนางานที่ทำอยู่ทุกวัน
ซึ่งกระบวนการหรือศักยภาพทางปัญญานั้น คือ การผ่านกระบวนการคิดอันเป็นเหตุและเป็นผล เพราะเมื่อใดที่บุคคลสามารถคิดอย่างเป็นเหตุและผลได้ จะทำให้เขามองเห็นปรากฏการณ์ได้ชัดเจนขึ้น ภายใต้ความเป็นเหตุและเป็นผลตาม จากเกิดการคิดสงสัยและก้าวไปสู่การแสวงหาคำตอบ แบบไม่มั่ว ไม่ใช้อารมณ์เป็นฐานหากแต่ใช้เหตุและผลนำทางหลัก พร้อมใช้ "ใจ" ร่วมลงไปในกระบวนการ
ขอแค่ได้ทำงานหนึ่งวัน และเป็นวันที่ผ่านปัญญาและหัวใจ
ไม่ใช่การทำงาน เพื่อ...ล่าบางสิ่งบางอย่างที่มาลวงล่อให้คนหน้างานเข้าไปติดกับดัก
การขับเคลื่อน R2R ในทัศนะของข้าพเจ้าอาจไม่ได้คิดวงเพียงแค่งานทางด้านสุขภาพหรือสาธารณสุข หากแต่สามารถเกิดขึ้นได้สำหรับคนทำงานทุกคนที่ทำงาน ผู้พ้นโทษและได้รับโอกาสการทำงาน แม้เพียงเป็นคนทำความสะอาด ก็สามารถที่จะนำกระบวนการ R2R มาใช้ได้ (โอกาสและความสร้างสรรค์ "คนเรือนจำ" ) เพราะเมื่อไรที่เขาได้ผ่านการบ่มเพาะการทำงานที่ผ่านการฝึกฝนกระบวนการคิด และใช้ใจร่วมด้วยแล้วเขาจะรู้สึกได้ว่า งานที่เขาทำนั้นเป็นงานที่มีคุณค่า มีความหมาย มันส่งผลที่ยิ่งใหญ่ของการดำรงชีวิตอยู่ของคนคนนั้น
ทำงานเพื่องาน...
หากเราร่วมกันบ่มเพาะผู้คนให้ใช้ใจนำทางร่วมกับการบ่มเพาะทางปัญญา แล้วเชื่อแน่ว่าจะทำให้ชีวิตแห่งการดำรงอยู่ของผู้คนเป็นการดำรงอยู่อย่างเต็มเปี่ยม โดยไม่ต้องหวังในเรื่องโลกธรรมแปดของการล่ารางวัล ชื่อเสียง และเกียรติยศ เชิดชู...มาเป็นตัวล่อให้ผู้คนได้ก้าวเดิน...
มุมมองของข้าพเจ้าจึงมองว่า R2R นั้นไม่ใช่เรื่องเฉพาะของคนสาธารณสุขเท่านั้น หากแต่เป็นเรื่องของคนทุกคน ที่เกิดมามีความพร้อมต่อการเรียนรู้ และมีหัวใจที่พร้อมต่อการบ่มเพาะในความหมายของความเป็นมนุษย์...
ดังนั้น R2R สำหรับข้าพเจ้าแล้ว จึงไม่ได้หวังเพียงให้คนหน้างานผลิตงานวิจัยเท่านั้น... ผลงานวิจัยเป็นเพียงผลพลอยได้ แต่สิ่งที่ผู้คนได้มากกว่านั้น คือ ความหมายของการเกิดที่เปี่ยมด้วยการได้ใช้ปัญญาอันมีบาตรฐานมาจาก "จิตใจ" ที่ดีงามเท่านั้นเอง
๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๓
ต่อยอดจากบันทึก
ตอนนี้ ...ผมมีความรู้สึกอยากเขียนบล็อกครับ
จุดเริ่มต้น รู้จักอาจารย์กะปุ๋ม แล้วรู้ว่าอาจารย์เขียน..ตามไปอ่าน รู้
สึกทึ่งความคิดของอาจารย์..อ่านแล้วเบาสบาย..เกิดความคิดใหม่
เห็นรูปภาพแล้ว..เหมือนอยู่ให้เหตุการณ์ครับ
พอมาเขียนตอนแรก ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไร แต่พอเขียนแล้ว มันสบายใจ เหมือนบันทึกการเดินทางของผม และเพื่อนร่วมเดินทาง
เก็บเอาไว้อ่านเอง และถ้ามีคนอื่น ๆ หลงทาง เข้ามาอ่าน
ภาวนาว่า... ให้คนอ่านเกิดความรู้สึกเหมือนที่ผมอ่านงานอาจารย์กะปุ๋ม (เพียงเล็ก ๆ ก็พอ)
ขอบพระคุณอาจารย์กะปุ๋ม ที่ทำให้ผม เห็นศักยภาพของผม (เพียงเล็ก ๆ ไม่มาก)
และเกิดความรู้สึกดี ได้เพียงนี้ครับ
ดีจัง.....ที่ได้เข้ามาเรียนรู้ ช่วงนี้ยุ่งกับงานนโยบาย เลยไม่ได้แวะเข้ามาค่ะ ยังระลึกถึงเสมอ