สวัสดีค่ะคุณกวิน
เห็นด้วยและชอบมาก ๆ ที่คุณกวินตอบและเพิ่มเติมความชัดเจน....
อ่านแล้วยิ้ม ๆ มีความสุข....แต่ไม่ว่า ใครจะเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการดำรงตนเป็นคนดี นะครับ
เห็นด้วยค่ะ ชูให้สองมือเลยนะ....
(^___^)
"วัดคงคาราม
เป็นวัดที่มีมาแต่โบราณจะสร้างในครั้งใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด
จากการเล่าสืบต่อมาของชาวบ้านซึ่งมีเชื้อสายมอญพอจะจับเค้าได้ว่า
ในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยาต่อกับกรุงธนบุรีและต้นรัตนโกสินทร์
มีพวกมอญได้อพยพเข้ามาตามลำน้ำแม่กลองมาตั้งถิ่นฐานอยู่เหนือเขตอำเภอโพธาราม
(ในสมัยนั้นยังไม่ได้เป็นอำเภอ) ขึ้นไปจดใต้อำเภอบ้านโป่ง
และได้สร้างวัดนี้ขึ้นหรือวัดนี้อาจจะสร้างมาก่อนที่พวกมอญจะอพยพเข้ามา
และหลังจากเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ก็ได้ทำนุบำรุงเป็นวัดมอญสืบต่อมา
แรกเริ่มแต่เดิมทีวัดนี้ชื่อ “วัดกลาง” ภาษามอญเรียกว่า “เภียโต้”
มีความหมายอยู่สองนัยด้วยกัน
นัยแรกหมายถึงศูนย์กลางของชุมชนและเภียโต้เป็นชื่อวัดในสมัยที่มอญยังเป็นประเทศ
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดพระราชทานผ้ากฐินหลวงที่วัดนี้หลายปี
และได้พระราชทานนามใหม่เป็น “วัดคงคาราม” นัยที่สอง
ในสมัยหลังได้มีพระรามัญจากนครหลวงที่มีความรู้ความสามารถและมีคุณวุฒิมาเป็นสมภาร
ฝ่ายคณะสงฆ์จึงแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะใหญ่ได้ปกครองวัดตามฝั่งแม่น้ำแม่กลองทั้งสองฝั่ง
วัดนี้จึงได้เป็นวัดเจ้าคณะใหญ่ฝ่ายรามัญนิกาย แขวงเมืองราชบุรี
และเจ้าคณะได้รับการแต่งตั้งสมณศักดิ์เป็นพระครูรามัญธิบดีถึง 6
รูปด้วยกัน" (2)
ในหนังสือ โฉมหน้าศักดินาไทย
หน้า จิตร ภูมิศักดิ์ กล่าวว่า
"สตรีและเด็ก
ในสังคมศักดินาถูกเหยียดหยามลงเป็นมนุษย์ที่ต่ำกว่าเพศชายผ้านุ่งผ้าถุงของสตรีก็เป็นของที่สกปกต่ำช้าผู้ชายแตะต้องไม่ได้
นอกจากนั้นพวกเจ้าของที่ดินทั้งปวงยังบำเรอความสุขของตนโดยการใช้สตรีเป็นเสมือนวัตถุบำเรอความใคร่"
(3)
หากกาพย์กลอนคือเครื่องสะท้อนสังคม
สุนทรภู่ มหากวีกฎุมพี
ก็ได้สำแดงพฤติกรรมของกลุ่มคนภายในราชสำนัก ในยุคศักดินา ผ่าน
กาพย์พระไชยสุริยา ความว่า
"ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ
เข้าแต่หอล่อกามา" (4)
ข้าราชการ ในสมัยก่อน ก็ไม่ต่างไปจากในสมัยนี้
นั่นคือนิยมดูการละเล่นเต้นรำ การแสดงโขนละครดนตรี
และพึงพอใจเสพสุขอยู่ด้วยกาม
จิตร ภูมิศักดิ์
ยังได้กล่าวไว้อีกว่า "สภาพสตรี
สมัยศักดินาเหมือนสัตว์ตัวเมียที่คอยรองรับความหื่นกระหายของเจ้าที่ดิน
ระบบฮาเร็ม หรือ สาวสวรรค์กำนัลใน ในราชสำนัก และในบ้านผู้ดี
เป็นระบบที่แพร่หลายทั่วไปการที่ต้องถูกกักขังจนผิดธรรมชาติทำให้เกิดการ
เล่นเพื่อน (homosexual)
ในหมู่สตรีในราชสำนักและฮาเร็มของสำนักขุนนางระบาดทั่วไป
ชีวิตทางกามารมย์ของเจ้าขุนมูลนายเพิ่มความวิปริตวิตถารขึ้นเป็นลำดับเป็นต้นว่าการสำเร็จความใคร่ทาง
เว็จมรรค"
(2)
พฤติกรรม เล่นเพื่อน/หญิงรักหญิง
ที่เป็นหลักฐานชัดเจน ปรากฎอยู่ใน เพลงยาว เรื่องหม่อมเป็ดสวรรค์ ผู้แต่งคือ
คุณสุวรรณ
คุณสุวรรณ เธอเป็นธิดา
พระยาอุไทยธรรม (กลาง)
ราชสกุลบางช้าง
แต่บางตำราก็อ้างว่าเธอเป็นลูกสาว พระยาราชมนตรี(ภู่) ซึ่งเป็นต้นสกุล
ภมรมนตรี ในสมัย รัชการที่ 3 เธอได้ถวายตัวเข้ารับใช้ฝ่ายใน
และได้อยู่ที่ตำหนักของ พระเจ้าลูกเธอ
กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ
ซึ่งเป็นธิดาในรัชกาลที่ 3
ที่นี่เองที่คุณสุวรรณได้แต่งเพลงยาวเรื่อง
พระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ และเพลงยาวเรื่อง หม่อมเป็ดสวรรค์
รศ.ดร.ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต แสดงทรรศนะเกี่ยวกับ
เพลงยาวเรื่องหม่อมเป็ดสวรรค์ ไว้ใน วารสารรามคำแหง ปีที่ 11
ฉบับพิเศษ ความว่า
“เพลงยาวเรื่องหม่อมเป็ดสวรรค์
นี้คุณสุวรรณแต่งขึ้นเมื่อประมาณไม่ก่อน พ.ศ. 2384
เพื่อบันทึกเรื่องราวของเพื่อนๆ ในรั้ววัง และจำเพาะที่จะล้อ
“หม่อมเป็ดสวรรค์” มากที่สุดหม่อมเป็ดสวรรค์เป็นใคร?
“หม่อมสุด” และ “หม่อมขำ” เป็นหม่อมห้ามสองสาวของ
กรมพระราชวังบวรฯ มหาศักดิพลเสพ
สองหม่อมนี้มี ความสนิทสนมกลมเกลียวกันเป็นพิเศษ
เมื่อกรมพระราชวังบวรฯ สวรรคตแล้ว
หม่อมสุดเข้าไปรับราชการในพระบรมมหาราชวัง
ประจำอยู่ที่ตำหนักกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ต่อมาไม่นาน
หม่อมขำเพื่อนสาวก็ตามหม่อมสุดเข้าไปรับราชการอยู่กับกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพเช่นเดียวกัน
ตามประวัติกล่าวว่าหม่อมขำออกจะเป็นหญิงกรีดกรายไว้กริยา
ซึ่งคุณสุวรรณได้เขียนเอาไว้ว่า
“เดินเหินโยกย้ายส่ายกริยา
จึงชื่อว่า หม่อมเป็ด เสด็จประทาน”
ส่วนหม่อมสุด นั้น คุณสุวรรณ บรรยายไว้ว่า
ชื่อคุณโม่งโด่งดังฝีปากดี
จะพาทีกลางสนามไม่ขามใคร
พูดเล่นเฮฮาร่าเริงแรง
ถึงนายแฟง นายคงครู
ไม่สู้ได้
แหลมฉลาดปรีชาปัญญาไว
หนังสือไทยอ่านคล่องทำนองชาย
หม่อมสุดนั้นเป็นผู้ที่รู้หนังสือดี
กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพจึงมักจะโปรดให้อ่านบทกลอนถวายเมื่อบรรทมเสมอ
และที่เรียกว่าคุณโม่งแทนหม่อมสุดนี้ มีเหตุผลอยู่ว่า
คืนหนึ่งเมื่ออ่านหนังสือพระราชนิพนธ์ถวาย หม่อมสุด
สำคัญว่ากรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ บรรทมหลับ
ก็ดับเทียนแล้วเอาผ้าคลุมโปงกอดจูบหม่อมขำ (หม่อมเป็ด) ซึ่ง
นอนอยู่ปลายพระบาท คุณสุวรรณเขียนเพลงยาวบรรยายฉากนี้ไว้ว่า
ครั้นพระองค์ทรงพลิกพระกายกลับ
หมายว่าพระบรรทมหลับสนิทนิ่ง
ก็สมจิตคิดไว้ใจประวิง
ก็คลานชิงกันขยับดับเทียนชัย
เข้าชุลมุนวุ่นวายอยู่ปลายพระบาท
ก็คิดคาดเอาว่าคนหาเห็นไม่
จึงกระทำเอาแต่อำเภอใจ
ด้วยแสงไฟมืดมิดไม่มีโพลง
กระซุบกระซิบซุ่มกายอยู่ปลายพระบาท
อุตลุตอุดจาดทำอาจโถง
เอาเพลาะหอมกรอมหุ้มกันคลุมโปง
จึงตรัสเรียกคุณโม่งแต่นั้นมา
กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพบรรทมยังไม่หลับ
ทรงเห็นหม่อมสุดทำเช่นนั้นจึงประทานชื่อให้ว่า คุณโม่ง
เพราะชอบเอาผ้าคลุมโปงกอดสาวดังกลอนข้างต้นนั้นเอง
นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่กรมหมื่นฯ
ไม่ได้เอาผิดกับสองหม่อม เพียงแต่เรียกชื่อประชดเล่นๆ เท่านั้น
นอกจากนี้
ยังดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนี้ เหมือนกับสิ่งที่
หญิงรักหญิง (ญรญ.) เผชิญกันอยู่ในปัจจุบันนี้ เช่น การ
ที่อยากจะเปิดเผยความสัมพันธ์ และให้คนรู้ว่าเป็นแฟนกัน
แต่ก็ทำได้แค่เพียงคนใกล้ชิดเท่านั้น เพราะนึก
ออกว่าถ้าพูดออกไปจะมีปฏิกริยาอะไรกลับมาบ้าง
ดังคำกลอนที่เขียนไว้ว่า
ครั้งหนึ่งเป็ดสวรรค์กระสันจิต
บอกกับคนชอบชิดสนิทหน้า
ว่าคุณโม่งคู่ชีวิตมานิทรา
อยู่ในห้องของข้ามาหลายวัน
พูดแล้วก็ปรามห้ามปาก
อย่าพูดมากไปให้ฉาวคนจะกล่าวขวัญ
เจ้าจงช่วยปกปิดให้มิดควัน
เสร็จสั่งดังนั้นก็นิ่งไป
ความสัมพันธ์แบบหญิงรักหญิง จึงไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่รับมาจากตะวันตก
แต่มีอยู่มาก่อนแล้วในประวัติศาสตร์ไทยอย่างน้อยก็ประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์
ท้ายที่สุดวัฒนธรรมการเล่นเพื่อน ก็ได้แพร่ระบาดลงสู่รากหญ้า
อีกตัวอย่างหนึ่งที่จะขอยกมาก็คือบทกลอนของ สุนทรภู่ จากการศึกษาของ รศ.ดร.ชลดา
เรืองรักษ์ลิขิต
ได้แสดงให้เห็นว่าสุนทรภู่ได้กล่าวถึงเรื่องของหญิงรักหญิงเอาไว้หลายตอนด้วยกัน
ในที่นี่จะยกมาให้อ่านเพียงสองตอนเท่านั้น จากเรื่อง นิราศพระประธม ความว่า
ที่ปลูกรักจักได้ชื่นทุกคืนค่ำ
ก็เตี้ยต่ำตายฝอยกร๋องกร๋อยโกร๋น
ที่ชื่นเชยเคยรักเหมือนหลักประโคน
ก็หักโค่นขาดสูญประยูรวงศ์
ยังเหลือแต่ แม่ศรีสาคร
อยู่ ไปสิงสู่เสน่หา
นางสาหงส์
จะเชิญเจ้าเท่าไหร่ก็ไม่ลง
ให้คนทรงเสียใจมิได้เชย
ข้อความตอนนี้แสดงว่า แม่ศรีสาคร นั้นรักใคร่อยู่กับ นางสาหงส์ คำว่า
“สิงสู่” ในที่นี้แสดงว่าความรักที่แม่ศรีสาคร มีต่อนางสาหงส์
ถึงขั้นหลงใหลอยู่อย่างไม่ยอมจากมาหรือไม่ยอมอยู่ห่างไกล
นอกจากนี้ข้อความที่ว่า “จะเชิญเจ้าเท่าไรก็ไม่ลง”
แสดงว่าสุนทรภู่ก็มีจิตหมายปอง
นางศรีสาคร แต่ นางศรีสาคร ไม่สนใจสุนทรภู่ และไม่ยอมเลิกรัก
นางสาหงส์ ในเรื่องเดียวกันนี้
สุนทรภู่กล่าวถึงแม่ม่ายอีกคนหนึ่งที่รักผู้หญิงด้วยกัน
สุนทรภู่กล่าวไว้ว่า
สงสารแต่แม่ม่ายสายสวาท
นอนอนาถหนาวน่าน้ำตาไหล
อ่านหนังสือหรือว่าน้องจะลองไน
เสียดายใจจางจืดไม่ยืดยาว
แม้นยอมใจให้สัตย์จะนัดน้อง
ไปร่วมห้องหายหม้ายทั้งหายหนาว
นี่หลงเพื่อนเหมือนเคี้ยวข้าวเหนียวลาว
ลืมข้าวเจ้าเจ้าประคุณที่คุ้นเคย
ตีความได้ว่า ความรักของหญิงหม้ายคนหนึ่งที่มีต่อหญิงด้วยกัน
แม่หม้ายผู้นี้รู้รสความสัมพันธ์ระหว่างหญิงกับชายมาแล้ว
แต่เมื่อมารู้รสความสัมพันธ์ระหว่างหญิงกับหญิงกลับชอบใจมากกว่า
(5)
สวัสดดีค่ะ
- ได้ความรู้มาก
- และเคยได้ยินบ้างจากนิทานก้อม ( เรื่องเล่าของชาวอีสาน )
สวัสดีค่ะ
- มีหลายเรื่อง
- หาอ่านเองนะคะคนเก่ง
- ถ้าเป็นงานวิทยานิพนธ์บางเล่มก็จะมีแปลก ๆออกไปอีกมากมาย
- ส่วนใหญ่ก็วิถีชีวิตของคนทั้งในที่ลับที่แจ้ง
- ลองแนะนำเว็บนี้มาให้เพราะเห็นเป็นเรื่องเก่าๆ
ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะคุณกวิน
คุณกวินเขียนไว้หลากหลายเรื่องราวจังเลยค่ะ....คนไม่มีรากเขียนอะไรก็ตามที คุณกวินเขียนแล้วทุกทีเลย...^_^....
จะกลับมาอ่านละเอียดอีกทีค่ะ...
ขอบคุณค่ะ..^_^...
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านตามคำเชิญชวนครับ คนไม่มีราก บทความนี้เขียนปรับปรุงเพิ่มเติมนิดหน่อย จากบทความ รักหญิงของใหม่ของสังคมไทย?. เวปไซต์สะพาน, กลุ่มสร้างสื่อเพื่อความหลากหลายทางเพศ ครับ
ขอบคุณครูคิม ครับ
คุณกวินคะ
มาอ่านละเอียดอีกทีแล้วค่ะ...เรื่องหญิงรักหญิงมีมากนานแล้วในสังคมไทย เพียงแต่เราไม่ยอมรับ แต่ปัจจุบัน กลายเป็นของธรรมดา ใคร ๆ ก็สามารถที่จะแสดงความรู้สึก เปิดเผยเช่นนั้นได้...
บางทีก็กลายเป็นแฟชั่นไปเสียอีก โดยเฉพาะในโรงเรียนหญิงล้วนค่ะ ทั้งที่บางทีก็ไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น แต่คนที่เข้มแข็ง ห้าว เก่ง ก็ถูกมองและยกให้เป็น ทอม ไปเสียแล้ว จนต้องเล่นตามบทบาทไปก็มีค่ะ
(^__^)
เล่นเพื่อน @ 168727
สวัสดีครับ คนไม่มีราก บทความนี้กวินเขียนโดยมีแรงบรรดาลใจมากจาก การอ่านหนังสือ โฉมหน้าศักดินาไทย ของ จิตร ภูมิศักดิ์ จากนั้นกวินจึงลองค้นคำว่า เล่นเพื่อน ซึ่งเป็นคำที่แปลกหูแปลกตา ที่จิตร ภูมิศักดิ์ ไม่ได้ขยายความเอาไว้ในหนังสือ จึงพบว่ามีนักวิชาการได้เขียนขยายความเอาไว้แล้ว จากนั้นกวินจึงได้นำมาเขียนเพิ่มเติมเพื่อเชื่อมโยง ความคิดของจิตร ภูมิศักดิ์ กับบทความทางวิชาการที่ได้อ่านข้างต้นครับ จะได้เห็นว่า กาพย์กลอนคือเครื่องสะท้อนสังคมในยุคนั้นๆ เราสามารถมองเห็นประวัติศาสตร์ และทรรศนะบางอย่างของกวี งผ่านทางกาพย์กลอนได้
ในเรื่องประเด็น โรงเรียนหญิงล้วน ชายล้วน นั้น ที่นครสวรรค์เอง ก็มีเช่น โรงเรียนนครสวรรค์ ชาวบ้านเรียกว่าโรงเรียนชาย เพราะสมัยก่อนเป็นโรงเรียนชายล้วน ต่อมาจัดการศึกษาในรูปแบบ สหศึกษา เช่นเดียวกัยนกับ โรงเรียนสตรี จังหวัดนครสวรรค์ ก็เป็นโรงเรียนหญิงล้วน แต่ต่อมาจัดการศึกษาในระบบสหศึกษา กวินจึงได้เห็น เด็กผู้ชายบางคนเข้าเรียนที่โรงเรียนสตรีประจำจังหวัด ซึ่งจากการพูดคุยกับเด็กนักเรียนโรงเรียนสตรีฯ นักเรียนบางคนก็ได้ให้ความเห็นเอาไว้ว่า ปัญหาเรื่องนักเรียนเป็นทอมเป็นดี้ ลดลง ดังนั้น จึงพออนุมานได้ว่า สภาพสังคม การกล่อมเกลาทางสังคมนั้นส่งผลต่อพฤติกรรมของคนอุปมาเหมือนกับต้นไม้ที่ปลูกข้างหน้าต่าง ย่อมจะเบี่ยงเบนยอดและใบ เข้าหาแสงสว่างฉันใด เด็กนักเรียนชายล้วนหญิงล้วน ก็ย่อมเบี่ยงเบนพฤติกรรมเข้าหาเพื่อนผู้เปรียบเสมือนแสงสว่าง แห่งชีวิตและจิตวิญญาณ (ผู้เป็น Hero หรือ Idol ของตน) ก็ฉันนั้น
แต่ไม่ว่า ใครจะเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการดำรงตนเป็นคนดีในสังคม นะครับ
สวัสดีค่ะคุณกวิน
เห็นด้วยและชอบมาก ๆ ที่คุณกวินตอบและเพิ่มเติมความชัดเจน....
อ่านแล้วยิ้ม ๆ มีความสุข....แต่ไม่ว่า ใครจะเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการดำรงตนเป็นคนดี นะครับ
เห็นด้วยค่ะ ชูให้สองมือเลยนะ....
(^___^)
ขอบคุณครับคนไม่มีราก
ขอบคุณครับ