ปางปิ่นธเรศประเวศในถิ่นสินธุพิศาล เสวยโทมนัสดาล อดล
ฟองฟัดซัดสู่สมุทรทำรุดพิริยพล พ่างเพียงจะวายชนม์ ชิวาตม์
เหลือทนเหลือทุกข(ะ)เหลือจะถอน
อสปะสาส เหลือถวิลเทวษอนาถ อนิจ
อินทรวิเชียรฉันทร์ 11
นับในตำบลเบญ- จมหานทีธาร
ใหญ่โยชน์วิการประมาณ
ระเมียรหมายสุดสายตา
เหลือล้ำกำลังชน จะว่ายพ้นเถลิงถลา
ไหลเชี่ยวดูเกรียวชลา
แลคร่ำคลื่นคระครื้นโครม
เมื่อพระสมุทรโฆษเกาะขอนงิ้วทนลำบากอยู่ในทะเลมาได้ 7 วัน
ก็พบนางเทพธิดามีนามหนึ่งว่า นางมณีเมขลา ผู้มีหน้าที่รักษาท้องทะเล
กลับมาจากที่ประชุมเทวดามาตรวจท้องทะเลตามหน้าที่ของตน
ได้เห็นพระสมุทรโฆษว่ายน้ำอยู่ดังนั้น ก็รีบไปเฝ้าพระอินทร์ผู้เป็นเจ้าแห่งเทวดาทั้งหลาย
แล้วทูลความให้ทรงทราบฝ่ายพระอินทร์ได้ทรงฟังก็ร้อนพระทัย
ทรงติเตียนนางมณีเมขลาว่าไม่เอาใจใส่ในหน้าที่ตน
ทิ้งให้ผู้มีคุณความดีได้ความลำบากถึงปานนั้น
และตรัสว่าควรที่นางเมขลาจะรีบไปช่วยให้พ้นอันตรายทันท่วงที
นางมณีเมขลาจึงกลาบทูลว่า
ทั้งนี้เป็นด้วยวิทยาธรตนหนึ่งมาลักพระขรรค์ของพระสมุทรโฆษไปเสีย
ทำให้พระองค์เหาะไปในอากาศไม่ได้ จึงได้รับทุกข์ภัยเห็นปานนี้
แล้วก็ทูลเรื่องราวให้พระอินทร์ทรงทราบทุกประการ
เมื่อพระอินทร์ได้ทรงฟัง ก็ทรงพระพิโรธวิทยาธรนั้นพลันทรงถือตะบองเพชร
สำแดงฤทธิ์เหาะไปลอยอยู่เหนือศรีษะวิทยาธรนั้น พลางตรัสว่า
"ดูก่อนวิทยาธรผู้เป็นโจร
เหตุไฉนเจ้าจึงไปลักพระขรรค์ของพระสมุทรโฆษผู้ประกอบด้วยคุณความดีให้เธอต้องทุกข์ลำบากอยู่ในทะเลเห็นปานนั้น
ถ้าเจ้าไม่นำพระขรรค์ไปคืนให้เธอโดยเร็วแล้ว
เราจะตีศรีษะเจ้าให้แตกเป็น 7 เสี่ยงบัดนี้"
วิทยาธรนั้นได้ฟังก็มีความกลัวเป็นกำลัง
รีบนำเอาพระขรรค์ไปคืนให้แก่พระสมุทรโฆษซึ่งกำลังว่ายน้ำอยู้ท้องทะเลนั้นโดยเร็ว
เมื่อพระอินทร์เห็นวิทยาธรทำตามที่พระองค์ตรัสเรียบร้อยแล้ว
ก็ทรงยกโทษให้แก่วิทยาธรนั้น แล้วก็กลับคืนวิมาน
ฝ่ายนางพินทุมดี ถูกคลื่นซัดเข้าฝั่ง
เมื่อรอดชีวิตได้ปลอมตัวเป็นพราหมณ์หนุ่มอาศัยอยู่ ณ อาศรมกลางป่า
เมืองมัทราษฎร์
ฝ่ายพระสมุทรโฆษ ได้พระขรรค์คืนแล้ว
ก็ทรงเหาะขึ้นจากทะเลไปลงที่เมืองมัทราษฎร์
ด้วยดำริว่าจะพักผ่อนหาอาหาร แล้วจะเที่ยวสืบหาพระเทวี
เผื่อว่าพระนางจะเที่ยวเซซังมาอยู่ในเมืองนี้บ้าง
จึงทรงเปลื่องเครื่องประดับออกห่อผ้าซ่อนไว้ในที่แห่งหนึ่งแล้วทรงแต่งกายแปลงเป็นพราหมณ์
เสด็จเขาไปถามหาที่พักในเมืองนั้น
ชาวเมืองทั้งหลายก็บอกให้พระองค์ไปพักในศาลาที่พระนางพินทุมดีสร้างไว้
เมื่อเสด็จไปถึงศาลานั้น
ก็มีคนต้อนรับให้น้ำท่าอาหารอย่างบริบูรณ์
ครั้นพระองค์ได้เสวยอาหารอิ่มหนำแล้ว
ก็พิจารณาดูรูปภาพตามฝาภายในศาลานั้น
เห็นเป็นเรื่องเหมือนกับความหลังของพระองค์กับพระทวี
ก็ทรงกันแสงโศกเศร้า
ครั้นคลายโศกแล้วก็ทรงพระสรวล ฝ่ายคนเฝ้าศาลาเห็นแปลกประหลาด
จึงรีบไปเล่าให้พระเทวีฟัง เมื่อพระเทวีได้ทราบก็รีบออกมา
ครั้นเห็นพระสามีก็มีความปีติยินดีเป็นล้นพ้น
ตรงเข้าสวมกอดพระสามีพลางรำพันว่า "พี่ที่รักของน้อง
ตั้งแต่น้องพลัดพรากจากพี่มาหาสุขมิได้เลย
มีแต่เศร้าโศกอาลัยถึงพี่แทบว่าจะดำรงชีวิตไว้ไม่ได้ด้วยผลศีลผลทานของน้องบันดาลให้พบพี่ที่รักทันตาทีเดียว
น้องหมดทุกข์หมดโศกแล้ว เชิญพี่ขึ้นไปบนเรือนเถิด"
สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ 19
เสร็จสองขัติยาขมาสุภาษิต(ะ)บรรหาร ต่างตระกองสกนธ์ประสาน พิลาป
ชลเนตรธิเบศร์ถะถั่งพรั่งพักตรฺ(ะ)อร(ะ)อาบ
นัยนา นุ ผุดทราบ พระทรวง
สมุทรโฆษคำฉันท์ นั้น
กวีได้เน้นความหวั่นไหวทางอารมณ์ ของพระสมุทรโฆษและนางพินทุมดี
เมื่อต้องสูญเสียอาวุธวิเศษคือพระขรรค์
เหลือเพียงมือที่ว่างเปล่าและพละกำลังทางร่างกายและจิตใจเท่านั้น
ที่จะช่วยให้มุ่งหน้าต่อไปได้ และเมื่อต้องการข้ามทะเล
ทั้งสองพระองค์ก็ยังทรงได้รับทุกขเวทนา จากขอนไม้งิ้วอันมีหนามแหลมคมทว่าก็จำใจที่จะต้องเกาะขอนไม้งิ้วนี้เพื่อข้ามห้วงมหานทีสีทันดร
อุปมาได้ดั่งชีวิตมนุษย์ในปัจจุบันที่บางคนไร้ซึ่งฐานันดรศักดิ์
และทรัพย์ศฤงคาร ต้องทนทุกข์กับงานที่มีภาระหนักอึ้ง
ต้องอกหักจากความรัก หรืออยู่ร่วมกับคนที่ตนเองไม่ได้รัก
(เกาะขอนไม้งิ้ว) ฯลฯ
ก็ย่อมนำมาซึ่งทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสเช่นเดียวกันกับพระสมุทรโฆษและนางพินทุมดี
ทว่าแม้นจะมีความหวั่นไหว กลางห้วง โอฆสงสาร
แต่พระสมุทรโฆษก็ได้ปลุกความแข็งแกร่งในจิตใจของพระองค์
เพื่อขจัดความหวั่นไหวให้หมดสิ้นไป
ด้วยสองมือที่ว่างเปล่าไร้สิ้นซึ่งพระขรรค์วิเศษ พระองค์ได้ผจญกับ
ทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส ท่ามกลางพายุใหญ่ที่ครึกโครมปั่นป่วน
พระองค์สามารถพยุงพระชนม์ให้รอดพ้นภยันตรายใหญ่หลวงนี้ได้
ก็ด้วยความวิริยะกล้าหาญ
ไฉนคนในยุคปัจจุบัน
บ้างก็มีพระขรรค์วิเศษอยู่กับมือ (ฐานันดรศักดิ์ และทรัพย์ศฤงคาร)
แต่กลับนำมาใช้เฉือดเฉือนทำร้ายทำลายตนเอง ทำร้ายผู้อื่น
คนบางคน เป็นผู้ไม่มีพระขรรค์วิเศษ แต่กลับเฝ้ารำพึงรำพัน
อยากได้พระขรรค์วิเศษ ไม่ยอมใช้ความวิริยอุตสาหะของตนเอง
แหวกว่ายฝ่าคลื่นลมกลางทะเลหลวง
คนบางคน
เป็นผู้ไม่มีพระขรรค์วิเศษ แต่ถ้ามีความวิริยอุตสาหะ
ว่ายฝ่าคลื่นลมกลางทะเลหลวง แม้นต้องทนทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส
ต้องจำทนเกาะขอนไม้งิ้ว (อกหักจากความรัก
หรืออยู่ร่วมกับคนที่ตนเองไม่ได้รัก ฯลฯ
ได้รับความทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสก็ดี
ผู้เขียนเชื่อว่าสักวันท่านต้องถึงฝั่งมหานที
หมดทุกข์หมดโศกได้ในไม่ช้า เพราะความอดทน
และเพราะความวิริยอุตสาหะของตัวท่านเอง
กวินทรากร
เจริญพร
สวัสดีค่ะ
เข้าใจเรียกน้ำย่อยนะคะ....ชอบบทสรุปมาก
ไฉนคนในยุคปัจจุบัน บ้างก็มีพระขรรค์วิเศษอยู่กับมือ (ฐานันดรศักดิ์ และทรัพย์ศฤงคาร) แต่กลับนำมาใช้เฉือดเฉือนทำร้ายทำลายตนเอง ทำร้ายผู้อื่น
คนบางคน เป็นผู้ไม่มีพระขรรค์วิเศษ แต่กลับเฝ้ารำพึงรำพัน อยากได้พระขรรค์วิเศษ ไม่ยอมใช้ความวิริยอุตสาหะของตนเอง แหวกว่ายฝ่าคลื่นลมกลางทะเลหลวง
คนบางคน เป็นผู้ไม่มีพระขรรค์วิเศษ แต่ถ้ามีความวิริยอุตสาหะ ว่ายฝ่าคลื่นลมกลางทะเลหลวง แม้นต้องทนทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส ต้องจำทนเกาะขอนไม้งิ้ว (อกหักจากความรัก หรืออยู่ร่วมกับคนที่ตนเองไม่ได้รัก ฯลฯ ได้รับความทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสก็ดี
ผู้เขียนเชื่อว่าสักวันท่านต้องถึงฝั่งมหาหานที หมดทุกข์หมดโศกได้ในไม่ช้า เพราะความอดทน และเพราะความวิริยอุตสาหะของตัวท่านเอง
สวัสดีค่ะ
- อ่านแล้วเตือนตนเองด้วยบันทึก...เป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยม...เป็นหลักฐานยัน..และเผยแพร่ความคิด
ขอบคุณครับคุณพี่อาจารย์พรรณา
สวัสดีครับ
สวัสดีครับ ศศิชล ตอบช้าไปหน่อยนะครับพอดีไม่ค่อยได้เชคเมล gmial.com ยินดีที่ได้รู้จักครับ