เลี้ยงลูกให้มีวินัย...เริ่มกันได้ตั้งแต่ยังเล็ก


การเลี้ยงดูเด็กนั้นเป็นศิลปะที่ต้องแลกเปลี่ยนกันจริงๆนะคะ เด็กแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันเลย วิธีการที่ตายตัวก็จะไม่มี ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเอามาปรับใช้ยังไง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเราต้องเรียนรู้ลักษณะนิสัยของลูกไปพร้อมๆกับวิธีการที่เราใช้ตลอดเวลา จากประสบการณ์ที่เลี้ยงลูกชาย 3 หน่อกันเองตลอดเวลา 16, 15 และ 11 ปีที่ผ่านมา คิดว่าสิ่งที่น่าจะเอามาถ่ายทอดเรื่องแรกๆก็คือการฝึกวินัยให้ลูกค่ะ อยากเอาสิ่งที่เราทำแล้วเกิดผลดีมาถึงปัจจุบัน มาบอกเล่าให้คุณพ่อคุณแม่ที่ลูกยังเล็กๆว่าทำได้ทันทีที่ลูกรู้จักมองหน้าเราเลยทีเดียว

ข้อแรกๆที่คิดได้ก็คือ เราต้องคุยกับลูกเสมอไม่ว่าเขาจะเล็กแค่ไหน และต้องบอกเหตุผลของการทำหรือไม่ทำอะไรให้ลูกรู้ (แม้ว่าจะคิดว่าเขาฟังไม่รู้เรื่อง) เช่น ถ้าเรากำลังทำอะไรค้างที่หยุดไม่ได้จริงๆ แล้วลูกร้อง ก็ต้องส่งเสียงบอกลูกว่า รอเดี๋ยวนะครับ แม่กำลัง...อยู่ ใช้วิธีนี้มาตั้งแต่เขายังแบเบาะค่ะ เมื่อเขาพอจะฟังรู้เรื่องมากขึ้นก็จะใช้วิธีนับเลข เช่น นับ 1 ถึง 5 นะครับเดี๋ยวมา แล้วเราก็นับเองนั่นแหละ วิธีนี้ลูกจะรู้จักรอคอย (แต่ต้องจำไว้ว่า ต้องทำให้ได้จริง ห้ามขี้โกง ถ้าบอกว่า ถึงเท่าไหร่จะมาก็ต้องทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องบอกเหตุผลว่าทำไมทำไม่ได้ ถึงจะใช้ได้ผล) อันนี้เห็นผลได้ตั้งแต่ลูกยังไม่ถึงขวบค่ะ และต้องทำอย่างที่พูดเสมอ ไม่หลอกลูกไม่ว่าเขาจะเล็กไหน แล้วคำพูดของเราจะศักดิ์สิทธิ์ค่ะ

ข้อสอง คือต้องสนใจสิ่งที่ลูกทำได้ดี ชมและชวนให้เขาทำสิ่งดีๆเพิ่มขึ้น ค่อยๆดึงลูกออกจากสิ่งที่เราไม่อยากให้เขาทำ เช่น ลูกกินแตงกวาได้แล้วดีจัง ไว้เราลองคะน้าบ้างเนาะ (ให้ของที่เราไม่อยากให้ลูกลองอยู่ห่างๆสายตาและความสนใจ ไม่ต้องห้าม) อันนี้ใช้ได้กับทั้งเรื่องกิน เรื่องแต่งตัว เรื่องจัดเก็บข้าวของ และใช้ได้ทั้งตอนเล็กๆ ขวบกว่าไปจนถึงโตๆ 10 กว่าขวบ

ข้อสาม มีส่วนร่วมกับสิ่งที่บอกให้ลูกทำและพูดในสิ่งที่ทำได้จริงๆชัดเจน อย่าพูดรวมๆที่ทำให้ลูกนึกภาพไม่ออกว่าทำยังไง การสื่อสารที่เป็นรูปธรรมจะทำให้เข้าใจง่ายกว่านามธรรม เช่น ไม่บอกลูกว่า ทำบ้านให้มีระเบียบหน่อยได้มั้ย ควรจะระบุไปเลยว่ามาจัดบ้านให้เรียบร้อยกันนะครับ เอาหนังสือไว้บนชั้น ตัวต่อใส่กล่อง อันนี้ก็ใช้ได้กับทุกเรื่อง ทุกวัย โดยหาคำพูดให้เหมาะกับวัยนั้นๆ แล้วจะพบว่าคุยกับลูกเข้าใจตรงกัน ไม่ใช่เราหมายความอย่างหนึ่งลูกทำอีกอย่างหนึ่ง

ข้อสี่ อย่าห้ามโดยไม่มีทางเลือกให้และต้องบอกเหตุผลด้วยว่าทำไมห้าม ถ้าเป็นเรื่องร้ายแรงทั้งห้ามและ บอกเหตุผลและต้องป้องกันไปเลย เช่น ถ้าลูกวิ่งเล่นซนในบ้าน ชวนออกไปวิ่งข้างนอก ลูกขีดเขียนฝาผนัง คุยกันว่าเขียนกันที่ไหนดี แล้วจัดที่เอากระดาษมาปะให้เลย ลูกอยากเล่นปลั๊กหรือจับของร้อน ให้ลองกับของร้อนไม่มาก ส่วนปลั๊กก็หาที่ปิดปลั๊กไปเลย อันนี้ก็ใช้ได้ตั้งแต่ลูกฟังรู้เรื่อง เพียงแต่ใช้คำพูดให้ง่ายเหมาะกับวัย และรับฟังลูกด้วยว่าเขาเห็นยังไงกับสิ่งที่เราห้าม (เมื่อเขาสื่อสารกับเราได้)

ข้อห้า ให้วิธีปฏิบัติที่ดีให้ลูกเลือก ไม่มีทางเลือกที่ไม่เหมาะสมมาเป็นตัวเลือกและสอนให้ลูกวางแผนล่วงหน้า เช่น ถึงเวลาอาบน้ำแล้ว จะปิดทีวีเองหรือให้แม่ปิดให้ (ยังไงก็คือปิด) ถึงเวลาเก็บของเล่นแล้ว จะเก็บก่อนอาบน้ำหรือหลังอาบน้ำ (ยังไงก็ต้องเก็บ) คุยกันล่วงหน้าว่า จะดูทีวีจบเรื่องไหน จะเล่นนานเท่าไหร่ เมื่อใกล้ถึงเวลาก็บอกหรือถามว่า เหลืออีกกี่นาที จะช่วยให้ลูกเตรียมตัว วิธีนี้ก็ใช้ได้กับทุกเรื่อง เริ่มตั้งแต่อายุยิ่งน้อยยิ่งดี เพราะลูกจะรู้ว่าเขาเป็นคนตัดสินใจ แต่ตัวเลือกเป็นของเรา และสิ่งที่เรามีให้เขาคือทางเลือกที่ดีซึ่งเราเลือกแล้ว พอยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งให้เขาช่วยคิดตัวเลือกได้มากขึ้น ถึงตอนนี้เขาเป็นคนคิดเองได้เลยค่ะ

ข้อหก ให้เกียรติลูก อันนี้อธิบายยากหน่อย แต่หมายถึงการที่เราต้องฟังและพยายามเข้าใจสิ่งที่ลูกพูด อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจอะไรเวลาฟังลูกพูด อย่าตัดบท อย่าแปลความด้วยความคิดของเรา ข้อนี้ก็ใช้ได้ทุกวัยตั้งแต่ลูกพูดได้ และดูเหมือนจะเป็นข้อที่ทำยาก ต้องหัดตัวเองมากๆ เพราะยิ่งเราให้เวลา ให้โอกาสลูกได้พูดได้บอกสิ่งที่เขาคิดมากเท่าไหร่ เราจะเข้าใจลูกได้มากขึ้นเท่านั้น และเรายิ่งหัดทำได้เร็วเท่าไหร่ ลูกก็จะสื่อสารกับเราเร็วเท่านั้น ถึงตอนนี้มีคุณแม่ท่านอื่นๆมาบ่นว่าคุยกับลูกไม่รู้เรื่องแล้วก็เลยยิ่งอยากบอกเรื่องนี้เอาไว้ให้คุณพ่อคุณแม่ที่ลูกยังเล็กๆค่ะ  

มาถึงวันนี้ เราก็ยังคงเรียนรู้อยู่เสมอค่ะ ลูกเป็นตัวของตัวเอง เราเลี้ยงเขาได้แต่ตัว ความคิด ความต้องการเป็นของตัวเขาเอง แต่ก็เห็นแล้วว่าการหล่อหลอมให้ลูกมีระเบียบ วินัย มีเหตุมีผลนั้นเป็นสิ่งที่ต้องทำตั้งแต่เขายังเล็กๆ และเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องทำ เชื่อมั่นมาเสมอว่า การปลูกฝังลูกตั้งแต่เขายังเล็กๆให้ทำสิ่งที่ดี ที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่เราต้องทำ เพราะตอนนั้นลูกยังเล็ก เขาไม่รู้หรอกว่าอะไรดีไม่ดีกับชีวิตในวันข้างหน้า แล้วพอเขาคิดเป็นมากขึ้นๆ เราจึงจะปล่อยให้เขาคิดเอง แล้วเมื่อมาถึงวันนี้ คิดว่าสิ่งที่เชื่อมั่นเสมอมานั้นเป็นจริงค่ะ ก็เลยอยากเอามาบอกต่อ แลกเปลี่ยนกัน 

หมายเลขบันทึก: 180950เขียนเมื่อ 6 พฤษภาคม 2008 23:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน 2012 17:59 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

สบายดีนะครับ  แวะมาเยี่ยมดูบันทึกดีๆครับ

สวัสดีค่ะคุณโอ๋

คุณโอ๋ เลี้ยงลูกเก่งมากค่ะ พี่เองเลี้ยงลูกมาอย่างตั้งใจมากๆเหมือนกัน บางที ก็ผิดไปบ้าง แต่มาแก้ตัวที่หลานค่ะ

เคราะห์ดี ลูกเป็นเด็กมีเหตุผล ไม่ค่อยยุ่งยากอะไร และเป้นเด็กอารมณ์ดี ยิ้มง่าย โอบอ้อมอารี เผื่อแผ่

แต่มาถึงหลานนี่ มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง เช่น เป็นเด็กมีอารมณ์มากกว่า  ร่าเริงสนุกสนาน เส้นตื้นกว่า แต่บทจะงอแงก็มี

ส่วนเรื่องระเบียบวินัย พี่เห็นด้วย 100 % ต้องฝึกเด็กตั้งแต่ต้นเลย เด็กฝึกได้ค่ะ รับรอง

บันทึกของคุณโอ๋มีประโยชน์มาก คุณแม่แต่ละคน ต้องไปปรับใช้เอาเอง เด็กไม่เหมือนกัน ในรายละเอียด

 

  • โชคดีเป็นของน้องจริงๆ นะคะที่มีคุณแม่น่ารักอย่างพี่โอ๋(ของน้องหมออ๋อ)
  • มาเยี่ยมคารวะอย่างเป็นทางการค่ะ
  • ผูกปิ่นโตเลยนะคะ

พยายามแล้วค่ะพี่โอ๋ขา..

ขอบคุณที่สุดสำหรับกำลังใจ

และแรงบันดาลใจทั้งมวลค่ะ

ดร.วรภัทร์สอนไว้ว่า ให้คิดว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ตัวเล็ก ไม่ใช่เด็ก เพราะฉะนั้นเขารู้เรื่องหมดแหละ อย่านึกว่าเขาเป็นเด็ก

อยากให้ลูกเป็นอย่างไร ทำเป็นตัวอย่างให้ดู เป็นการสอนที่ดีที่สุดครับ

อยากให้ลูกบันทึก บันทึกให้ดู

อยากให้ลูกจดค่าใช้จ่าย จดให้เธอเห็น

จบข่าว

ขอบคุณ คุณปรีดิ์ผาติ Pที่มาอ่านบันทึกนี้และเพิ่มเติมเทคนิคดีๆของอ.วรภัทร์นะคะ และทำให้บันทึกนี้เวียนกลับมาอีกที เขียนเองอ่านเองอีกทีก็ยังเห็นจริงอย่างนั้นและอยากให้เราช่วยๆกันสร้างคนดีๆให้สังคมนะคะ

ถือโอกาสขอบคุณ คุณสิทธิรักษ์ น้อง กล้าเกื้อฝัน น้อง napa (เห็นชื่อแพลนเน็ตกับเจ้าตัวดุ๊กดิ๊กน่ารักทั้งหลายแล้วนึกออกเลยค่ะว่าต้องเป็นคุณตุ๊กแน่นอนเลย) ที่มาเยี่ยมเยียนให้กำลังใจกันตั้งแต่เข็นบันทึกออกมาใหม่ๆ มาอ่านแล้วนะคะ เพียงแต่ตอนนั้นมักจะไม่ค่อยมีเวลาตอบ ผ่านมา 6 เดือนเพิ่งมาขอบคุณก็ไม่สายนะคะ อิ..อิ...

สำหรับคุณพี่ศศิฯ ต้องบอกว่าชื่นชมกับสิ่งที่พี่เป็นแบบอย่างมากๆค่ะ พี่ใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบมากๆ การเข้ามาแลกเปลี่ยนกันนี้ต้องถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะ ได้รับคำชมจากพี่นี่ยิ้มแก้มปริได้เลยเหมือนกันนะคะ นอกเหนือไปจากความชื่นใจกับผลงานตัวเป็นๆ 3 หนุ่มรอบๆตัว นึกขอบคุณที่เขามาเกิดกับเราอยู่เสมอค่ะ

เหมือนลอกบทความความรู้ทั่วไปในหนังสือฝรั่งแปะเลย

อ่านความเห็นคุณ จะเอ๋ ซึ่งคงไม่ใช่สมาชิกประจำของเรา อยากบอกว่า ความรู้พวกนี้ไม่ใหม่เลยค่ะ สมัยลูกเล็กๆก็จะอ่าน Dr.Spork ประจำ วิธีการต่างๆที่ใช้ก็เป็นจิตวิทยาเด็กธรรมดานี่เองค่ะ เอาสิ่งที่ทำจริงๆและเห็นผลแล้วมาเล่าสู่กันฟังมากกว่าค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท