ดูจิต..ในช่วงวิกฤติของชาติ


สวัสดีครับ...

เมื่อวันที่ 8 9 10 11 12 13 14  เมษายน 2552

ถือเป็นช่วงที่ยากที่สุดมากๆครับ  กับการตามรู้ตามดูจิต

 

เพราะเป็นช่วงที่

       -  จิตนั้นส่งออกนอกตลอดเวลา

       - จิตนั้นเกิดวิตก  วิจารณ์  และปรุงแต่งไปตามเรื่องราวที่เกิดผัสสะ  โดยเฉพาะทางหูและทางตาตลอดเวลา

        - เกิดความทุกข์  ความสุข  พอใจ  ไม่พอใจ ไปตามการรับรู้และการปรุงแต่ง

         - จิตนั้นเหมือนถูกส่งไปจมแช่..กับเรื่องราวทั้งหมด

        - จิตกระเพื่อมขึ้นลง อย่างรวดเร็ว  จนตามไม่ทัน

        - เกิดอาการล้า ทั้งทางกาย และใจ

         -...อีกหลายอย่างครับ...

 

 เมื่อทบทวน  และมองย้อนกลับไปแล้ว...

 โดยการพยามที่จะลดการเสพสื่อ และเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง

  เพราะรู้ว่าไม่มีพลังพอที่จะต้านทานการรู้ให้ทัน ไม่ปรุง...

 

  รู้สึกว่าจะได้ผล  เมื่อเราต้องทำงาน  เมื่อต้องคิดเรื่องอื่นๆ

  ก็เหมือนว่าจะเกิดความสงบ...

  เรื่องราวที่จิตต้องไปจมแช่อยู่หลายๆวัน  ก็เบาคลายจางลงไป....

   ความรู้สึกเลยเบา....ขึ้นมา  ไม่หนักเหมือนหลายๆวัน...

 

  สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น...

  เป็นเรื่องราวที่สลับซับซ้อนอย่างที่สุด

  สลับซับซ้อนต่อการรับรู้  และเรียนรู้

  เป็นเรื่องราวที่มีการวางเรื่องราว  ชั้น  ลำดับ  ตำเเหน่ง เวลา  ประเด็น ที่แสนจะดูสับสน...

 

  จนเหมือนกับบางครั้ง... เราก็ไม่สามารถตัดสินได้

  บางเรื่องก็คงต้องห้อยเเขวนต่อไป

 

  เรื่องราวที่เกิดขึ้นครั้งนี้คือสภาวะ Chaos

  ..ไร้ระเบียบ..อย่างมาก..

  ..จนเสมือนว่า.. จิตของเรานั้นไหล จมแช่ ติดกับ

  ..ไปกัยสภาวะนี้หรือไม่

  ..แน่นอน  เราเป็นส่วนหนึ่งของระบบ

 

  ..แต่ก็น่าจะสามารถ...เป็นส่วนหนึ่ง...ในระบบ

   ส่วนหนึ่ง..   ที่เห็นเรื่องราว ทุกๆอย่างตามธรรมชาติ

                   ตามความเป็นจริงมากที่สุด...

 

   มีผู้คนที่เกี่ยวข้อง....ขณะนี้

   กำลังถูกกระแสแห่งสภาวะนี้  กระทบ  เหวี่ยง  ครอบงำ รบกวน 

  จนถึงระดับผู้คนที่....เบาที่สุดคือ

    เห็น  รู้แล้ว  วาง....ด้วยจิตที่เท่าทัน  ด้วยจิตที่สงบ...

  (คนละเรื่องกับคนที่ไม่รับรู้...แต่เป็นรับรู้เต็มที่แล้ววางได้..)

 

 

  ....เรื่องราวที่ยิ่งใหญ่นี้  อาจจะไม่ใช่เพียงให้บทเรียน..

 ..หรือให้เราได้เรียนรู้... คือเป็นธรรมะ เป็นครูที่สอนใครคนหนึ่ง....  แต่เป็นบทเรียนที่สอนทุกๆคน...ที่สัมผัส..

 

 

 

 

 ....ย้อนกลับมาที่ตัวเอง...

 ....ห้วงเวลาที่ผ่านมาก็ถือว่าสอบตก

   ในการเป็นนักปฏิบัติน้อยๆ.... 

  เพราะไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้  วางไม่ได้...

  จนต้องปิดสื่อ  เพื่อหนี  และได้งานวันนี้มาช่วยดึงออก...

 

   แม้จะพยามดู..พยามใคร่ครวญ...

   แต่ถึงไม่ทันเลย  แต่การทบทวนและก็รู้ตามตอนนี้(ช้ามากๆๆ.  เพราะหลายวันแล้ว..)

 

   ก็เห็น...จิต  เห็นกิเลส..

   ที่กำกับ ควบคุม สะสม ยึดตึด...

   จิตที่ยึดเอาเรื่องราว จิตที่เป็นเจ้าของ.. จดจำ รู้สึก ปรุง

   ถ้าไม่ทันมันเลย  ก็จะเอาไม่อยู่

   เอาไม่อยู่จนแสดงออกทางกาย วาจาทั้งทางสุข ทางทุกข์

 

  ...ขอให้ทุกคนรู้เท่าทันจิตของเราเองต่อเรื่องราว...

  ...เมื่อเรารู้ทัน 

        - ไม่ว่ามันจะเกิดดับ สุขทุกข์..

        - พอใจไม่พอใจ

        - สมหวังไม่สมหวัง..

        - ดีชั่ว ตามที่เราตัดสิน

 

  ...ณ ตอนนั้น  สภาวะของการรู้ 

     แบบที่ใครก็ไม่สามารถอธิบายได้ 

     ก็จะเกิดขึ้นกับเราเอง....

 

    จำคำสอนหลวงพ่อปราโมทย์ที่ผมขึ้น desk top ไว้ในคอม รพ หลายที่...เพื่อเตือนใจนักเดินทางเเละเราเอง...

         ***

            หัดตามรู้กาย  ตามรู้ใจไปเรื่อยๆ

            จนจิตจดจำสภาวะธรรมได้

            นี่เป็นการทำสติปัฏฐานให้เกิดสติ

           มีสติรู้กายรู้ใจ  ด้วยจิตที่ตั้งมั่น  เป็นกลาง

                        ทำให้เกิดปัญญา

                   มีปัญญาแก่รอบก็เกิดวิมุติ

                  จิตก็จะปล่อยวางความถือมั่น

kmsabai  at ER..

คำสำคัญ (Tags): #ตามรู้ ตามดูจิต
หมายเลขบันทึก: 255811เขียนเมื่อ 16 เมษายน 2009 20:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:36 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

หยุดดูทีวีไปหลายวันเพราะดูแล้วอดรับเข้ามาไม่ได้ค่ะ พอแดงถอยก็อดดีใจไม่ได้ ตกลงจิตก็ไม่เป็นกลาง คงอีกนานเหมือนกันค่ะ

ขอบคุณที่แรกเปลี่ยนให้เรียนรู้ค่ะ

แวะมาดูจิตด้วยค่ะ ถ้าจิตส่งออก ใช้สติมารับรู้ค่ะ

ขอเอาใจช่วยนะครับ

ผมคิดว่าคงไม่มีใครที่ "สอบได้" "สอบผ่าน" โดยง่ายแน่ๆ 

แต่คงน่าจะมีสักวัน ที่เราคง "สอบผ่าน" หากเราคงยังมุ่งมั่น ขยันทำการบ้านไปเรื่อยๆ

ผมเองก็ "สอบตก" เช่นกันนะครับ การบ้านก็ไม่ค่อยได้ทำ แต่ก็พยายามทำเท่าที่เหตุปัจจัยจะอำนวย ทำเท่าที่พอจะนึกขึ้นมาได้ครับ

ขอบคุณครับสำหรับผลสอบที่นำมาเฉลยให้ฟัง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ครับ

เป็นเหมือนกันหลาย ๆ อย่างเลยค่ะ

หลายวันมานี้ ออกตัวเลยว่านั่ง นิ่ง พยายามสวดมนต์ดึงตัวคิดอยู่ติดบ้าน(ในใจ) แต่เรามีสังคม พบคนรู้จักแม้ว่าค่อนข้างเก็บตัวกันทั้งสองคน+เด็กหนึ่งคน ไม่วายต้องพูดคุยถามไถ่ แล้วใจเราก็แกว่ง

วันนี้อ่านของอาจารย์วิจารณ์ พานิช คิดว่า ถ้าเราจดเป็นบันทึก วิเคราะห์ และถ้าไล่เลียงขึ้นไปในอดีต...

ประชาชนที่เป็นส่วนใหญ่ของประเทศ ยังไม่มีความรู้ ยังไม่เข้าใจประชาธิปไตย

แต่มวลชนส่วนหนึ่งถูกดึงมาเป็น.เบี้ย..หรือ..หมากตัวหนึ่ง
ไม่ได้เลียนแบบคำพูดใคร เพราะปิดตา-ไม่ค่อยอ่าน นสพ.,เปิดหูบ้างเพราะคนที่บ้านเปิด หากเอาประสบการณ์มา คิด ดูค่ะ (เคยเป็นผู้ชุมนุม-ม้อบในพฤษภาทมิฬ)

ครั้งนี้พี่ว่าคล้ายจรยุทธ์ของ.....ในช่วงพฤษภาทมิฬ

หากเป็นเพราะไม่มีจุดยืน(ที่น่าเชื่อถือ)
หากเป็นเพราะ ท่าทาง การไร้มารยาท..จนเกินไป
หากเป็นเพราะ ต่อสู้เพื่ออะไร..ไหนคำตอบ

ไม่เชียร์ใครนะคะ เพราะอยากให้มีการให้ ความรู้ให้มากกว่านี้ก่อนแก่ชนส่วนใหญ่(ตัวเราด้วย)

อย่างน้อยน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงความคิด หรือเข้าใจกันบ้างว่า การไปยึดติดตัวบุคคล ไม่น่าจะถูก เรื่องสังคม การเมือง โดยเฉพาะระบอบประชาธิปไตย รากฐานระบบ ระบอบต้องแน่น และชัดเจน

 

เฮ้อ พี่ว่า มาลงที่ ความรู้นั่นแหละค่ะ

จัดการการให้ความรู้..ให้ได้

ไม่มีใครชนะ และโชคดีที่ไม่มีความรุนแรงกว่านี้

 

 

ไทยเราทั้งผองต่างหาก

แพ้ไปแล้ว...

สวัสดีครับพี่P ภูสุภา

...^_^...

พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านว่า..ถ้ารู้ไม่ทัน  อย่างน้อย รู้ตามก็ยังดีครับ

...

เรามารู้ตามกันก่อน

..แล้วค่อยๆรู้ทันมากขึ้นๆ...

 

ขอบคุณมากๆครับที่ร่วมแบ่งปัน..

ผมเชื่อว่า...

   จิตของมนุษย์นั้นมีแสงสว่างในตัวเสมอ....

   แต่อาจจะมีกรรมมาบังหรือมีวิบากที่ต้องใช้...

   ..แต่จิตนั้นก็พยามเรียนรู้และซึทซับความดี

   ..การโผล่ปรากฏ  หรือการรู้นั้นจะมาด้วยตัวของมันเอง  เมื่อเหตุ และปัจจัยพร้อมครับ...

 

   ...เป็นเช่นนั้นเอง...

  • สาธุค่ะ
  • หากเราคนไทยรู้จักตามรู้ตามดูภายในของตน คงพ้นวิกฤติค่ะ

สวัสดีครับอาจารย์ P  พ.ญ. อัจฉรา เชาวะวณิช

ขอบคุณมากครับ..^_^

 

...เพราะดูแล้วอดรับเข้ามาไม่ได้ค่ะ

..เป็นคำที่อธิบายสภาวะจิตที่เกิดดับรวดเร็ว ปรุงแต่งจนเราไม่ทัน  แบบที่ผมเป็นครับ...

สวัสดีค่ะน้องหมอ

พี่เองก็ติดตามดูข่าวในทีวี กับดูใจของตัวเองไปด้วยเหมือนกัน

ปิดทีวีเป็นระยะ เพราะถ้าซ้ำซากก็ไม่อยากดู ดูเพียงเพราะจะได้วางแผนการเดินทางได้ถูกต้อง ถ้าจำเป็นต้องออกไปนอกบ้าน

ดูเหมือนจะไม่สนใจในความเดือดร้อนของบ้านเมืองมากนัก แต่รู้ตัวดีว่าออกไปช่วยใครไม่ได้ ได้แต่ลดภาระของสังคมในส่วนของเราเท่านั้น

งานนี้ได้ดูความคิด และความเห็น ที่นำไปสู่ความเชื่อของคนเป็นจำนวนมาก ได้เห็นทั้งคุณงามความดี ความชั่วและความเลวทราม กิเลส โมหะ โทสะ และโลภะของคนต่างๆ ทั้งที่อยู่บนถนน บนเวที ต่างประเทศ ที่สถานีโทรทัศน์ ฯลฯ

บางครั้งก็ได้ยินได้ฟังเรื่องที่ตัวเองคิดว่าเป็นไปไม่ได้ และไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นเลย

คนเราหลงไปกับความคิด ความเชื่อ โมหะต่างๆ มากจริงๆ

เห็นแล้วก็ได้แต่สะท้อนใจ บางครั้งก็สงสาร แต่ก็เข้าใจว่าคนเราทำมาต่างกัน แต่ละคนมีกรรมเป็นของตนเอง ไม่มีใครช่วยใครได้อย่างแท้จริง มีแต่ัตัวของตัวเองแต่ละคนเท่านั้น

เจริญสติ เจริญธรรม ปฏิบัติหน้าที่ที่จำเป็นของเรากันต่อไปนะคะ

ธรรมรักษาค่ะ

สวัสดีครับท่านอาจารย์ P  กมลวัลย์

..แต่ก็เข้าใจว่าคนเราทำมาต่างกัน แต่ละคนมีกรรมเป็นของตนเอง ไม่มีใครช่วยใครได้อย่างแท้จริง มีแต่ัตัวของตัวเองแต่ละคนเท่านั้น

...

..อ่านแล้วเกิดความรู้สึกกระทบไปในใจของเราแบบบอกไม่ถูกครับ

..เป็นจริงดังนั้น...

..เหมือนอะไรหล่นไปจากจิตของเรา  เหมือนตัวตนถูกกระแทกด้วจสัจธรรม...

...มันหดหู่ที่สุดครับ  ที่กรรมแต่ละคนแตกต่างกัน 

...และไม่มีใครช่วยเราได้เลย...แม้จะมีวัตถุทางโลก สบายทางโลกมากมาย...แต่ก็มิได้นำพาโอกาสดีงามนั้นเข้าสู่ภายใน...

...เป็นการตอกย้ำเรื่องตนเป็นที่พึ่งของตนมากครับ..

ผมก็เกิดอาการไม่อยากดูข่าวมากเกินเพราะอินมาก เป็นห่วงคนไทยด้วยกันน่ะครับ

การจะเกิดปัญญาต้องอาศัยความเพียรเป็นเจ้าเรือน ในกรณีที่เราเริ่มตื่นแล้ว

ผมก็จะฝึกตนเองต่อไปครับ เป็นกำลังใจให้คุณหมอด้วยนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท