ตั้งแต่ได้เรียนรู้การสร้าง blog จากการแนะนำของน้องโต้ง สาวสวยแห่งหน่วยเวชศาสตร์ครอบครัว ร.พ.พุทธชินราชฯ ก็ได้รับมิตรภาพใหม่ๆยื่นให้เพิ่มขึ้นมากมาย จึงต้องขอบคุณทีมพุทธชินราชฯที่ช่วยเปิดสังคมใหม่ให้รู้จัก
เมื่อ 5 ปีก่อนการทำงานในร.พ. ด้านการรักษาของตัวเองจะเกี่ยวข้องอยู่ 2 field คือ การรักษาเด็ก และ การวางแผนดูแลสุขภาพเจ้าหน้าที่และวางกรอบการตรวจสุขภาพประจำปี การส่งเสริมสุขภาพที่เคยทำ ก็จะเป็นเรื่องวัคซีนและการป้องกันด้านอาชีวอนามัยในร.พ.เสียเป็นส่วนใหญ่ เพิ่ง 6 เดือนที่ผ่านมานี้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมสุขภาพเพื่อปรับพฤติกรรม จากนั้นจึงเข้ามาเกี่ยวกับการจัดระบบการดูแลคนไข้เบาหวานทั้งระบบในฐานะที่ปรึกษา
ก็เป็นเรื่องยากมากสำหรับตัวเองในฐานะหมอเด็กที่ต้องมาดูแลเบาหวานผู้ใหญ่ จำได้ว่า เคยรักษา DKA ในคนไข้เด็ก ครั้งสุดท้ายเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ความรู้เรื่องเบาหวานจึงต้องเคาะสนิมมากๆๆๆๆ เบาหวานและพฤติกรรมในเด็กก็ไม่เหมือนในผู้ใหญ่เสียด้วยซิ
การได้ทำงานเกี่ยวข้องกับการตรวจสุขภาพประจำปี ทำให้ได้คลุกคลีกับข้อมูลสุขภาพของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั้งในและนอกร.พ. ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า เรามัวแต่บอกกันให้ช่วยดูแลสุขภาพประชาชนและช่วยกันตั้งหน้าตั้งตาทำงานจนลืมดูแลสุขภาพพวกเรากันเองไป
ข้อมูลการตรวจสุขภาพประจำปี ปี 2550 ที่ได้ตรวจหมออนามัยไปแล้ว เชื่อไหมว่า 20 % ก้าวเข้าใกล้เส้นแดงของ metabolic syndrome และ 1% มีปัญหาเครียดรุนแรงจนต้องบำบัด
ข้อมูลนี้ ทำให้ต้องกลับมาทบทวนว่า ความเชื่อว่า ไม่จำเป็นต้องจัดบริการปรับพฤติกรรมสุขภาพให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพราะเป็นผู้ให้บริการปรับพฤติกรรมเองอยู่แล้ว และเดิมเจ้าหน้าที่ถูกสั่งให้เป็นแบบอย่างด้านสุขภาพอยู่แล้ว ย่อมมีสุขภาพที่ดี ควรเชื่อต่อไปหรือไม่ หรือ "คิดใหม่ เพื่อทำใหม่" ว่า "การเป็นแบบอย่างด้านการส่งเสริมสุขภาพของบุคคลสาธารณสุข" ควรมีนัยยะมากกว่าการทำตามคำสั่ง
หากควรเป็นนัยยะของการมีวิสัยทัศน์ต่อสุขภาพที่ตนเองพึงประสงค์และลงมือปฏิบัติเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์นั้น
เมื่อมีวิสัยทัศน์ต่องาน ใช้การมีสตินำทางในการทำงาน และมีวิสัยทัศน์ต่อสุขภาพของตนเองและใช้สติเตือนตนให้ปฏิบัติแล้ว ก็ต้องมีวิสัยทัศน์ต่อครอบครัวด้วย เพื่อการบริหารเวลาของชีวิตให้ลงตัว
เมื่อนั้น เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกคน ทุกวิชาชีพ ก็จะเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้เต็มความสามารถ
6 มกราคม 2550
ไม่มีความเห็น