ในยุคเดิมๆ เมื่อเราให้บริการสุขศึกษา เราจะนำเทคนิคครูสอนนักเรียนมาใช้ ดังนั้นเวลาเราประเมินผล "การรู้" และ "ไม่รู้" เราจึงพอใจกับผลที่ออกมา และบอกว่า เราทำหน้าที่ส่งเสริมสุขภาพสำเร็จแล้ว
ในยุคของการมุ่งผลสัมฤทธิ์ที่ยั่งยืน เราต้องคิดใหม่ ทำใหม่ คิดแบบเดิมๆไม่ได้แล้ว เพราะผลที่พบว่าคนเป็นโรคเรื้อรังเยอะมากอย่างเดี๋ยวนี้ พิสูจน์แล้วว่า ผลสัมฤทธิ์ที่เคยพอใจ นั้นไม่ได้แก้ปัญหา แต่เพิ่มปัญหา เพราะแม้แต่คนที่เคยสอนคนอื่นก็เอาตัวไม่รอดเป็นโรคเสียเอง พอจะแก้ไขให้ตัวเองอยู่กับโรคให้สบาย ก็พบว่าหาทางออกไม่ได้เช่นกัน ว่าจะแก้ยังไง ต้องพึ่งยา พึ่งหมอ อาการดีบ้าง เลวบ้าง ไปตามเพลงของตัวเอง
การบริหารความเสี่ยงยุคนี้ในวงการพัฒนาคุณภาพ มีการใช้ trigger tool ในการค้นหาความเสี่ยงของระบบที่มีผลต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย และเมื่อมีการทบทวนหา root cause น้อยคนนักที่จะวิเคราะห์พบว่า ถ้ารู้ไม่จริง การส่งเสริมสุขภาพก่อความเสี่ยงได้ โดยเฉพาะความเสี่ยงของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง อย่างเช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
ความจริงฉันเองเป็นหมอเด็ก ประสบการณ์ของตัวเอง คล้ายคุณหมอนิพัธที่จับพลัดจับผลู มาทำงานเกี่ยวกับคนไข้เบาหวาน ฉันจำได้ว่าที่ผ่านชีวิตหมอมาไม่ต่ำกว่า 2 ทศวรรษแล้วนั้น ฉันเคยดูแลคนไข้เด็กที่เป็นเบาหวานไม่เกิน 2 ครั้ง การมาทำงานกับโรคที่ไม่ชำนาญ และก็มีเรื่องยุ่งๆเยอะมากนั้น ทำให้ฉันตั้งคำถามกับตัวเองว่าฉันจะทำอย่างไรเขาจึงจะปลอดภัย ก็หมออายุรกรรมซึ่งเชี่ยวชาญโรคกว่าฉัน เขายังไม่ใคร่ไหวเลย
ด้วยภาระกิจในอีกหมวกหนึ่งในทีมนำคุณภาพ ฉันก็ต้องค้นหาวิธีจัดการปัญหาให้ได้ แล้วฉันก็มองเห็นวิธีจัดการว่า ต้องบูรณาการระบบบริการป้องกัน ส่งเสริม รักษา ฟื้นฟู ให้มี shared vision ร่วมกันที่ความปลอดภัยของคนไข้ มอง clinical risk ที่มีให้เห็นว่าแต่ละระบบมีส่วนร่วมทำให้เกิดอย่างไร ก็จะพบจุดอ่อนของแต่ละระบบ
วิธีคิดที่ใช้คนไข้เป็นศูนย์กลางนี่แหละ ที่ทำให้ฉันพบว่า มีความไม่ปลอดภัยแทรกอยู่ในกระบวนการส่งเสริมสุขภาพให้คนไข้ออกกำลังกายในกลุ่มเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ซึ่งทีมงานของฉันมองไม่เห็น ในเมื่อทีมงานของฉันมองไม่เห็น โอกาสพบ sentinel events ที่ไม่อยากพบก็มีเพิ่มขึ้น
นี้คือแรงจูงใจที่ทำให้ฉันบันทึกเรื่อง "ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ความหมายที่เข้าใจไม่ตรงกัน" ทั้ง 10 ตอน เหตุที่ทำบันทึก เพราะฉันเห็นว่า การปรับทักษะของทีมให้มีความเข้าใจพื้นฐานต่อการออกกำลังกายที่ตรงกัน เป็น core value สำคัญ ที่ส่งผลให้ shared vision ระหว่างผู้รับการรักษาและผู้ให้การรักษา คือ การออกกำลังกาย (ซึ่งเป็น core value อีกตัว) บรรลุผล เพื่อให้ teamwork (อีกหนึ่ง core value) ทำงานร่วมกันใน care process ให้บรรลุ vision ที่ฝันร่วมกันไว้ หาก core value 3 ตัวนี้ไม่เสริมกัน ความเสี่ยงก็จะเกิดขึ้นให้บริหาร
ฉันพบว่า ผู้ที่จะนำทฤษฎีการออกกำลังกายไปใช้จริงกับคนไข้ที่มีความซับซ้อนอย่างกลุ่มเบาหวาน ความดันโลหิตสูงนั้น มีสภาพเหมือนช่างตัดเสื้อ คือ ต้องชำนาญทั้งการตัดเสื้อเฉพาะคน และชำนาญการตัดเสื้อโหล การตัดเสื้อเฉพาะคนนั้นไม่ต้องพูดถึง หากตัดประณีตเท่าไรยิ่งสวยเท่านั้น เมื่อมาตัดเสื้อโหลก็ต้องเชี่ยวชาญด้วยว่า size S M L XL XXL ฯลฯ มีจุดสำคัญที่ต่างกันตรงไหน เพื่อตัดได้เสื้อสวย คนส่วนใหญ่ใส่ได้พอดี size ของตนเอง หากไม่ชำนาญพอ คนสั่งตัดก็จะกลับมาตำหนิ การฝึกให้ตัดเสื้อนั้นถ้าพลาด ยังมีโอกาสแก้ตัว แต่การให้บริการผู้ป่วย หากพลาดแล้ว โอกาสแก้ตัวแม้จะมี แต่ก็ต้องพบความทุกข์ใจมาก ทั้งผู้ป่วยและผู้ให้การรักษา จึงไม่ควรทำให้เกิดโอกาสพลาด
ทฤษฎีออกกำลังกาย คือ ทฤษฎีที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว การอธิบายอะไรที่เคลื่อนไหวให้น้องๆทีมงาน เข้าใจ น่าจะยกตัวอย่างที่จินตนาการเห็นภาพ ในบันทึกนี้ ฉันจึงจะยกตัวอย่างประสบการณ์จากคนไข้มาอธิบายไว้ หากการยกตัวอย่างในบันทึกเรื่องนี้ช่วยให้ใครอีกหลายคนที่ยังไม่ออกกำลังกาย ค้นพบวิธีการออกกำลังกายของตัวเอง และเริ่มทำ ฉันจะมีความสุขอย่างยิ่ง
19 มกราคม 2551
ไม่มีความเห็น