ถ้าแพทย์จบใหม่ รู้แต่เรื่องในตำรา เมื่อจบมาเป็นหมอเต็มตัว จะรักษาคนไข้ได้อย่างไร ไม่เข้าใจจริงๆ
วันนี้ หลังกลับจากการไปร่วมประชุมทำความตกลงเกณฑ์การจัดการกองทุนระดับอำเภอร่วมกับอำเภออื่นที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดไม่นาน ก็มีโทรศัพท์จากหน้าห้องผอก.มาถึง ขอเชิญเข้าพบทีมอาจารย์แพทย์จากร.พ.รามาธิบดี ฉันค่อนข้างงง! เพราะส่วนใหญ่ฉันจะไม่ใคร่ได้เกี่ยวดองหนองยุ่งเชิงระบบกับเรื่องการฝึกแพทย์โดยตรง
อาจารย์บอกว่า มาขอเยี่ยมศิษย์ทุนแพทย์ชนบทที่จบมาจากร.พ.รามาธิบดีเพื่อประเมินผล ครั้งนี้เป็นการมาของ field หมอจิตเวช นิติเวช ต่อๆไปก็จะเวียนสาขาอื่นๆมา ปีนี้ ร.พ.เรามีน้องที่จบทุนแพทย์ชนบท 2 คน การลปรร.ระหว่างอาจารย์กับน้อง 2 คนไม่ใคร่มีเรื่องราวอะไรมาก เพราะน้องตอบว่า ความรู้ที่เรียนมาเอามาใช้งานได้ การใช้เวลาของบ่ายนั้น จึงกลายเป็น การลปรร.ระหว่างรุ่นพี่แพทย์ที่ร่วมพบอาจารย์เสียมากกว่า
ความรู้ที่ได้จากการลปรร.
- การชันสูตรศพ เป็นเรื่องที่แพทย์เท่านั้นลงความเห็นได้ การตรวจหลักฐานประกอบอื่นๆทางวิทยาศาสตร์ เพื่อใช้ด้านกฎหมาย(นิติวิทยาศาสตร์) เป็นเรื่องของนิติวิทยาศาสตร์
- คนที่จบนิติวิทยาศาสตร์ ยังไม่นับเป็นผู้เชี่ยวชาญที่จะได้รับการรับรอง
- คนที่รู้นิติวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถตรวจศพแทนแพทย์ได้ แต่ช่วยแพทย์ตรวจศพได้
- หากศพอยู่ในที่ซึ่งไม่สะดวกในการตรวจ แพทย์สามารถสั่งเคลื่อนย้ายศพได้ และให้สั่งได้เมื่อพนักงานสอบสวนที่กฎหมายกำหนดไปครบทุกฝ่าย (3-4 ฝ่ายรวมแพทย์แล้วแต่กรณี)
- แพทย์ที่ไปชันสูตรศพในเรือนจำ ควรรอให้มีพนักงานสอบสวนที่กฎหมายกำหนดครบทุกฝ่ายแล้ว จึงลงมือพิสูจน์ศพ หากมีไม่ครบทุกฝ่ายแล้วลงมือก่อนเป็นความเสี่ยงสำหรับตัวแพทย์เอง และหากรอแล้วก็ไม่ครบทุกฝ่าย แพทย์สามารถปฏิเสธการตรวจศพนั้นได้
- คณะแพทย์รามาฯ สามารถจัดหลักสูตรนิติเวชระยะสั้น ไว้รองรับให้ตามที่ร้องขอ ติดต่อโดยตรงได้เลย
- ไม่จำเป็นต้องตรวจทางนิติเวชในกรณีที่เกินศักยภาพ เช่น การ่ผ่าตรวจศพ การพยายามระบุสาเหตุตายทั้งๆที่บอกไม่ได้ กรณีเกินศักยภาพ ให้เขียนความเห็นไว้ในใบชันสูตรศพว่า ไม่สามารถให้ความเห็นสาเหตุตายได้ แนะนำส่งต่อเพื่อตรวจเพิ่มเติม
- กรณีตำรวจให้ร.พ. ส่งศพไปตรวจเพิ่มเติมให้ สามารถปฏิเสธได้ เพราะกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจนว่า ผู้มีหน้าที่ส่งต่อศพเพื่อตรวจเพิ่มเติมคือ ตำรวจ
- การให้ความเห็นเกี่ยวกับบาดแผลคดีที่ยังไม่ลงความเห็น หากแพทย์ที่ดูแลคนไข้ โยกย้ายไปแล้วจากร.พ.นั้นๆ แพทย์อื่นๆให้ความเห็นแทนได้ โดยให้ระบุว่า ความเห็นที่ให้ได้จากเวชระเบียน กรณีต้องไปเป็นพยานศาล ก็ให้การตามที่เวชระเบียนบันทึกไว้ หากมีกรณีต้องตอบเกินกว่าที่มีบันทึกเวชระเบียน สามารถตอบได้ว่า ไม่ทราบเพราะไม่ใช่ผู้ดูแลคนไข้เอง
- ปัจจุบัน โรงเรียนแพทย์พัฒนาแพทย์ภายใต้หลักสูตรที่แพทยสภากำหนด ขอบเขตของการเรียนการสอน ไม่อนุญาตให้นักเรียนแพทย์ลงมือปฏิบัติการใดๆกับผู้ป่วย ให้เรียนให้สอนด้วยตำราและบทเรียนเท่านั้น
- การพัฒนา Therapeutic skill, investigative skill, และ Operative skill ที่จำเป็นสำหรับโรคที่พบบ่อยซึ่งนักเรียนแพทย์เมื่อ 20 ปีที่แล้วสามารถทำกับคนไข้ได้ ปัจจุบันห้ามฝึกให้ทั้งหมด ให้ส่งออกมาฝึกตามร.พ.ที่แพทยสภารับรองให้เป็นที่เพิ่มพูนทักษะแพทย์ อย่างร.พ.กระบี่นี่แหละ
- ถ้าอยากเปลี่ยนอะไรเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนการสอนของแพทย์ ให้เสนอได้ที่แพทยสภา โรงเรียนแพทย์เปลี่ยนแปลงหลักสูตรเองไม่ได้
- การพัฒนา communication skill ได้มีการแทรกไว้อยู่แล้วในวิชาสอนต่างๆ
ฉันไม่ใคร่เข้าใจวิธีคิดของแพทยสภาเท่าไร คนที่เก่งที่สุดในวงการแพทย์น่าจะเป็นอาจารย์ในโรงเรียนแพทย์ แต่แทนที่อาจารย์แพทย์จะเป็นคนสอนแพทย์ในเรื่องทักษะต่างๆก่อนปล่อยแพทย์จบออกมา กลับบอกว่า คนที่จะสอนให้นักเรียนแพทย์มีทักษะต่างๆได้ดีกว่าโรงเรียนแพทย์อยู่ตามร.พ.ต่างจังหวัดที่ไม่ใช่โรงเรียนแพทย์ แล้วถ้าเกิดแพทย์รุ่นพี่ในต่างจังหวัดที่จะเป็นครูไม่ได้เรื่อง หรือไม่ว่างสอน เพราะงานบริการรัดตัวเยอะ นักเรียนแพทย์จะได้เรื่องละหรือ แล้วใครคือผู้รับผล แพทย์หรือประชาชน
29 กุมภาพันธ์ 2551