วันที่ 25 มิถุนายน 2551 เจ้านายนัดมาว่า ให้นัดบรรดาผู้สมในสมนอกกับการทำงานในระบบงานประกันสุขภาพถ้วนหน้ามาประชุมกัน แล้วก็ได้เรื่องโอกาสพัฒนาตนเองโดยบังเอิญ การประชุมที่นัดหมายกันได้ดิบดีทุกฝ่ายทุกงานแล้ว เป็นอันต้องเลื่อนซิครับคุณท่าน เรื่องไม่เป็นเรื่องที่ทำให้ต้องเลื่อนมาจากเรื่องติ๊ดเดียวเอง คือ เลขานุการคณะทำงานไม่อยู่ซะได้นี่ คุณเธอให้ข้อมูลว่า ไม่รู้ว่าวันนี้มีการนัดประชุมกัน
พระที่เคารพนับถือท่านหนึ่งเขียนหนังสือสอนไว้ว่า งานคือชีวิต ชีวิตคืองาน การทำงานดูแลครอบครัวก็คืองาน การทำงานดูแลชีวิตตนเองก็คืองาน การทำงานตามหน้าที่ที่ทำให้มีรายได้ก็คืองาน คนหนึ่งคนควรหมั่นฝึกฝนที่จะทำให้งานเหล่านี้เป็นเรื่องราวที่ส่งเสริมผลทางบวกให้กับตนเองแบบชนะ-ชนะทุกด้าน ซึ่งจะทำให้ตนเองมีความเจริญรุ่งเรือง ที่เล่าเรื่องโอกาสพัฒนาตนอยู่ดีๆ แล้วออกไปเรื่องคำสอนของพระนั้นหนา ใช่ว่าฉันจะเพ้อเจ้อนะค่ะ ฉันว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันกับที่มาที่ไปของจุดอ่อนที่เกิดขึ้นค่ะ
ถามกันไปถามกันมา ถึงสาเหตุที่เธอไม่รู้ ก็ได้ข้อมูลว่า เธอได้ยินแล้วว่า มีผู้ใหญ่บอกว่า จะมีการประชุมกัน ฟังแล้วเธอคิดว่า ไม่เกี่ยวกับเธอ เพราะไม่มีผู้ใหญ่ที่สำคัญที่สุดสั่งการเธอ เธอจึงลาไป
อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ ท่านที่เข้ามาอ่านอย่าเพิ่งลงโทษเธอนะค่ะ ในฐานะกระบวนกร ฉันว่าเธอไม่ผิดนะค่ะ เพราะเธอไปทำงานค่ะ ทำงานของชีวิตครอบครัวไงค่ะ เธอลาเพื่อพาสามีไปพบหมอที่มอ.ตามนัด และมันช่างบังเอิญตรงวันนัดประชุมซะนี่ เห็นไหมละค่ะว่าเธอไม่ผิดค่ะ ฉันเอาเรื่องนี้มาถอดเล่ากันก็เพราะ อยากจะบอกว่า ตอนแรกที่ฉันได้ฟังว่า เธอลาไปไม่อยู่ ฉันคิดค่ะว่า ทำไม๊ ทำไม ทำไม เธอถึงทำลงไปได้ ทำไมไม่รับผิดชอบนะ จะไปไหน รู้แล้วทำไมไม่ทักถามขอเลื่อนนะ ลาไปเฉยเลย ไม่สนใจรึเปล่านะ เรียนรู้ตัวเองว่า ไอ้ที่ว่าไว้นี่คือความคิดที่เกิด ส่วนความรู้สึก คือ เซ็งค่ะ
ความรู้สึกที่มา เกิดจากความเร็วของการแขวนสิ่งที่ฟังไว้ ช้ากว่าการลงมือตัดสินค่ะ วันนี้มาทบทวนต่อว่าทำไมแขวนไม่ทัน อ้อ! คว้าอาวุธผิดค่ะ แทนที่ความคิดจะคว้าการมองเชิงบวกมาใช้ หยิบผิดซะนี่ค่ะ เออ! นี่ถ้าหมั่นเติมความคิดว่าให้คว้าการมองเชิงบวกมาใช้ร่วมให้เป็นนิสัย น่าจะคานความคิดที่ด่วนสั่งตัดสินความได้ทันนะนี่ พอบันทึกถึงคำตัดสินความ แวบนึกถึงอัยการชาวเกาะเลยค่ะ แล้วนำถึงคำนี้ค่ะ ความยุติธรรม เฮ้อ! อายหม.... ซะแล้วฉัน ขอบคุณน้องนะค่ะ ที่ทำให้ฉันได้รู้จักจุดอ่อนของตัวเองอีกแล้วครับท่าน
นอกจากเรื่องนี้แล้ว เธอยังเป็นกระจกส่องให้ฉันได้รับกลับด้วยว่า หากว่าเราให้ใจเอียงด้าน การทำงานของเราก็มีปัญหาค่ะ หาควรไม่ที่จะทำงานเพียงแค่ให้ใจกับครอบครัว ให้ใจกับตัวเอง แต่ละวางการให้ใจกับคนอื่น ละวางกับการให้ใจกับงานที่ตนรับผิดชอบค่ะ
อันที่จริง การให้ใจกับคนอื่นนั้นใช่จะเป็นเรื่องยาก รับรู้บทบาทแห่งตนเองแล้วก็เล่นบทนั้นให้ถูกและเหมาะควรกับกาลเทศะอยู่ในร่องในรอยของกติกาที่สังคมการงานได้มอบงานให้ ทำงานตามบทบาทหน้าที่งานที่ได้รับมอบให้ดี ชนะใจตน ชนะคนอื่นแล้วตัวเองก็ชนะใจคนอื่นด้วย ตามบทบาทที่กำหนดไว้ก็โอเคแล้วค่ะ
น้องเป็นกระจกส่องให้ฉันเรียนรู้คำสอนของพระภิกษุที่นับถือ ในประเด็นจุดอ่อนที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ค่ะ การทำงานดูแลชีวิตตนเองก็คืองาน การทำงานตามหน้าที่ที่ทำให้มีรายได้ก็คืองาน
สำหรับการเรียนรู้ในบทกระบวนกร ฉันมองว่า นี่คือผลงานการพัฒนาคน หรือถ้าใช้ภาษาทางงานบริหาร นี่คือ ผลงานของระบบ HRD โยงเข้ามาสู่เรื่องนี้ เพราะฉันว่า ระบบ HRD มันแฝงอยู่ในระบบงานทุกระดับและทุกงาน การใช้รูปแบบฝึกอบรมอย่างที่ทำๆกันมา โดยไม่มีบทสะท้อนให้ผู้เรียนได้รู้ตนว่าเรียนรู้อะไร คือจุดอ่อนสำคัญที่ต้องพัฒนาในระบบที่ว่านี้ ถ้ากระบวนกรยังไม่ฝืนความคุ้นชิน ทำไปแบบเดิมๆ คือ บอกๆๆๆๆและบอกๆๆ เล็คเชอร์ๆๆๆๆๆ แน่ใจหรือค่ะว่า จะสำเร็จผลที่คนจะพัฒนาตนเอง แน่ใจหรือค่ะว่า คนรู้แล้วจะลงมือทำ แน่ใจแล้วหรือค่ะว่า พูดแล้วได้ทำอย่างที่พูด อะไรจริงอะไรไม่จริง เป็นเรื่องเตือนใจที่กระบวนกรเองก็ควรพัฒนาตนให้ประเมินผลได้ค่ะ เป็นการประเมินเพื่อเรียนรู้และนำมาใช้ใหม่เพื่อพัฒนากระบวนงาน การประเมิน และการพัฒนาวิธีและเทคนิคให้สอดรับกับผลลัพธ์ที่คาดหวังผลจากการทำงานของตนค่ะ
เห็ดหลินจือที่เอาภาพมาประกอบเรื่องนี้ ต้องการสื่อให้เห็นมุมมองเรื่องความจริงค่ะ ลองถามตัวเองดูนะค่ะว่า ตัวเราให้นิยามความจริงว่าอย่างไร ถ้ามีความเห็นต่างเรื่องความจริง จะสรุปด้วยกันอย่างไรให้ต่างคนต่างชนะในประเด็นของการทำงานตามบทบาท ผลลัพธ์ของการมองมุมต่าง มันส่งผลสะเทือนไปถึงเรื่องขวัญและกำลังใจในการทำหน้าที่ตามที่มอบหมายให้ไปทำงานซะด้วยซิค่ะ รากปัญหามีอยู่แค่ ไม่พูดทำความเข้าใจ สะท้อนกันให้รู้ว่า เข้าใจตรงกันแล้วไหม แค่นี้เองค่ะ เห็นมั๊ยค่ะว่า อีแค่การพูดจาก็ต้องมีตัวชี้ไว้วัดเลยค่ะ แล้วมันไม่ใช่การพัฒนาคุณภาพหรือไรค่ะนี่
หมายเหตุ สมใน = คนใน สมนอก = คนนอก
สวัสดีค่ะ อ.หมอเจ๊
อ่านเรื่องนี้แล้วก็เอามาเปรียบเทียบกับภาพพจน์ของอัยการเลยครับ
พออัยการส่งเรื่องกลับ ก็ถุกด่าว่าเข้าข้างอีกฝ่าย ชี้แจงเหตุผลก็ไม่ได้กลายเป็นว่าไปเปิดช่องให้ฝ่ายผู้ต้องหาเห็นจุดอ่อน ที่สำคัญคือประชาชนไม่รู้ข้อมูลจริงก็จะเชื่อในเรื่องร้ายไปก่อน เฮ้อ..เราก็ยังต้องฝึกการคิดในเชิงบวกแบบที่พี่หมอว่านั่นแหละครับ
หมอเจ๊ขา
ดีแล้วค่ะที่ไม่ตำหนิครู
ครูต้อยเคยทำอย่างที่หมอเจ๊คิด งานมาก่อน เลื่อนนัดคุณหมอ บ่อยๆจนคุณหมอไม่อยากนัด ด้วยเห็นแก่งานราชการ
สุดท้ายบ้างานคิดว่าฉันซิแน่ ฉันนี่คือผู้เสียสละ
งานเสร๊จทุกครั้ง สำเร็จดังใจหวัง
ผู้บริหารชื่นชอบ แต่ไม่ให้ความชอบ
เพราะท่านชื่นชอบงานไม่ใช่ชื่นชอบตัวเรา เอิ๊อกๆ
สุดท้ายเมื่อร่างกายเราไม่ไหว คนที่บ้านเท่านั้นแหละที่ดูแลเรา
นายเขาเพียงต้องการให้งานเขาบรรลุเท่านั้นเอง
ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาคิดถูกต้อง ไม่ผิด
เราซิไม่ประมาณตนเอง ไม่ดูสังขาร ไม่กล้าทิ้งงานไปเอง
ครูต้อยคิดว่าเพื่อนร่วมงานของคุณหมอเจ๊ทำถูกแล้วค่ะ