หมอเจ๊ คนสวย แซ่เฮ
พ.ญ. ศิริรัตน์ เอกศิลป์ สุวันทโรจน์

รำพึงรำพันไปเรื่อยๆ.....เพื่อฝึกการปล่อยวาง


ตัวตนของคนที่มีแรงจูงใจลงมือกระทำทุกสิ่งที่ตนเองเห็นควรกระทำโดยไม่คาดหวังว่า สิ่งที่ทำนั้นจะเป็นสิ่งที่คนอื่นๆเห็นคุณค่าหรือไม่ หากแต่ทำลงไปเพราะตัวเองมองเห็นว่าสิ่งนั้นมีคุณค่า และหากสิ่งที่ทำลงไปนั้นจะไม่มีใครเห็นคุณค่า ตำหนิด่าว่า ก็ไม่ทำให้ความภูมิใจที่ได้ทำสิ่งนั้นลดค่าลงไป จะไม่ลงโทษตนเองที่ได้ลงมือทำสิ่งนั้นลงไป มันเป็นทุกข์สุขอยู่ที่ใจของตนเองที่ยอมรับกับมันได้ ถ้าหากจะได้พบกับความทุกข์และความสุขที่เกิดจากการทำสิ่งนั้นๆลงไป

ฉันมีเพื่อนรุ่นพี่อยู่คนหนึ่ง เดิมเธอทำงานอยู่ในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เธอมีความสุขอยู่กับการทำงานพร้อมไปๆกับการมีความทุกข์กับการหารายได้เพื่อส่งเสียให้น้องๆได้ร่ำเรียนหนังสือให้เพียงพอ และในความทุกข์ที่เธอพบพานนั้น เมื่อเวลาล่วงพ้นมาแล้ว เมื่อได้เล่าขานถึงมันเธอกลับมีความสุขอย่างยิ่ง

 ฉันได้พบเพื่อนของพ่อคนหนึ่ง ท่านเป็นชายชราที่ชอบร่ำเรียนเขียนอ่าน ขณะที่วัยท่านล่วงเข้าร่วมแปดสิบปีแล้วท่านยังมีมานะที่จะพิมพ์และใช้คอมพิวเตอร์เขียนหนังสือบทความต้นฉบับส่งให้หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ด้วยความคิดที่ว่า ท่านเป็นคนรุ่นเก่าที่ยังสามารถจดจำเรื่องที่มีคุณค่าและสามารถค้นคว้าสืบสาวเรื่องของคนรุ่นทวดของฉันมาบันทึกไว้ให้คนรุ่นหลังอย่างฉันได้รับรู้ว่า ผู้คนในอดีตนั้นมีปูมหลังที่น่าเรียนรู้อย่างไร 

ฉันมีคนรุ่นเดียวกันที่ยังมีไฟทำงานอย่างไม่เคยท้อเลย จะดึกดื่นค่อนคืนแค่ไหนจะต้องใช้เวลามากอย่างไรในวันหยุดสุดสัปดาห์ เขาก็ยอมรับได้ที่จะทำงานให้แล้วเสร็จทันเวลา การทำงานของเขาสอนฉันว่า ที่ฉันเคยบ่นว่าฉันทำงานตรวจคนไข้หนักแสนหนักแล้วทำไมไม่มีใครเห็น ไม่มีใครสนใจให้กำลังใจฉันซะบ้างเลยนั้น มันเป็นความคิดของเด็กน้อยที่ไม่สู้โลกซะจริงๆ   

ฉันมีเพื่อนรุ่นน้องที่เคยเรียนอยู่ด้วยกันแล้วมีความทุกข์ ความสับสนในใจระหว่างที่เรียนด้วยกัน จนในที่สุดนั้น พรรคพวกร่วมรุ่นต้องบอกกันว่า ให้เธอหยุดพักเรียนไปก่อนเพื่อดูแลตนเอง เมื่อความทุกข์ในใจมันคลายลงแล้ว จึงให้เธอกลับมาเรียนต่อ  ต้องใช้เวลาถึง 1 ปีเพื่อให้เธอคลายทุกข์ที่เกิดขึ้น เธอจึงกลับมาเรียนต่อ ผลลัพธ์ทำให้เธอจบการศึกษาช้าไป 1 ปี 

ฉันมีคนร่วมงานที่สูงวัยกว่าคนหนึ่ง เล่าถึงเพื่อนของเธอให้ฟังว่าเดิมทำงานเป็นแค่ผู้ปฏิบัติงานธรรมดา  แต่ด้วยโชคชะตาจึงทำให้ได้ก้าวขึ้นมาทำหน้าที่เป็นผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานสำคัญในองค์กร  วันดีคืนดีเธอก็มาทำงาน วันดีคืนดีเธอก็หายไป  เธอไม่ได้หายไปไหนหรอก มีคนบอกว่า การไปราชการเพื่อประชุมทั้งปีของเธอนั้นมีจำนวนครั้งมากกว่าผู้บริหารสูงสุดของที่ทำงานของเธอซะอีก  ผู้คนในหน่วยงานของเธอบอกเล่าเพิ่มเติมว่า พวกเขายอมทำงานกันไปในขณะที่ไม่มีผู้บริหารอยู่ด้วยก็เพื่อให้เวลากับเธอ  พวกเขาบอกว่าเธอกำลังวิ่งหนีไปตั้งหลัก  พวกเขายินดีที่จะให้เธอหลบไปตั้งสติได้ 

และเช่นเดียวเพื่อนฉันก็ได้ยินจากผู้ร่วมงานหลายคนที่อยู่ในหน่วยงานอื่นๆของเธอที่บอกเล่าแตกต่างไปว่า พวกเขาทำงานไม่ได้ ไม่รู้จะทำงานต่ออย่างไรเมื่อได้รับมอบหมายให้ทำการด้านบริหารแทนเธอตามที่เธอได้มอบหมายไว้  จะติดต่อเพื่อถามไถ่ข้อตัดสินใจ จะติดตามเรื่องราวต่อเนื่องที่เกี่ยวพัน จะตัดสินใจเรื่องคน เรื่องเงิน ก็ไม่สามารถทำได้เลย จนกว่าเธอจะกลับมาทำงานต่อ แต่เธอมาเพียงแค่ 2-3 วันเธอก็ไปซะอีกแล้ว 

ฉันมีเพื่อนรุ่นน้องที่มีความปรารถนาดี ส่งหนังสือมาให้อ่านเพื่อประเทืองปัญญา ในหนังสือนั้นกล่าวถึงความไร้ระเบียบที่มีระเบียบไว้  หนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึงความเป็นองค์กรอัจฉริยะไว้ด้วย  ในความหมายจะหมายถึงอะไรบ้างนั้น  ฉันยังไม่ได้ทบทวนใคร่ครวญมันให้เข้าใจลึกซึ้งเท่าไร แต่จากการที่ได้อ่านมาแล้วและเชื่อมโยงไปสู่งานพัฒนาโรงพยาบาล  ฉันว่า องค์กรอัจฉริยะ มีความหมายหนึ่งที่โยงไปถึง ตัวตนของคนที่มีแรงจูงใจลงมือกระทำทุกสิ่งที่ตนเองเห็นควรกระทำโดยไม่คาดหวังว่า สิ่งที่ทำนั้นจะเป็นสิ่งที่คนอื่นๆเห็นคุณค่าหรือไม่  หากแต่ทำลงไปเพราะตัวเองมองเห็นว่าสิ่งนั้นมีคุณค่า และหากสิ่งที่ทำลงไปนั้นจะไม่มีใครเห็นคุณค่า ตำหนิด่าว่า  ก็ไม่ทำให้ความภูมิใจที่ได้ทำสิ่งนั้นลดค่าลงไป จะไม่ลงโทษตนเองที่ได้ลงมือทำสิ่งนั้นลงไป  มันเป็นทุกข์สุขอยู่ที่ใจของตนเองที่ยอมรับกับมันได้ ถ้าหากจะได้พบกับความทุกข์และความสุขที่เกิดจากการทำสิ่งนั้นๆลงไป

ดูเหมือนความหลังที่เกี่ยวกับคนรู้จักทั้งรุ่นพ่อ รุ่นพี่ รุ่นเดียวกัน และรุ่นน้องที่ได้รำลึกและบันทึกออกมานั้น จะเป็นบทยืนยันว่า การที่ตัวตนของเราได้พบทุกข์บ้าง สุขบ้าง มันเป็นเรื่องธรรมดาที่อยู่ภายใต้โลกใบนี้ ที่ไม่มีใครจะเปลี่ยนแปลงไม่ให้มันไม่มีไม่ได้เลย   

มิน่าละจึงมีคำสอนว่า "ให้รู้จักปล่อยวางซะบ้าง"  มองไปรอบตัวที่พบพานทุกข์และสุขอยู่ตลอดเวลานั้น หากเรายึดมันไว้ในมือไม่ปล่อย สุขและทุกข์คงกองโตขึ้นๆจนในที่สุดตัวเราเองที่ยึดมันไว้ก็จะจมลงไปอยู่ใต้กองของมันจนหายใจไม่ออกอย่างแน่แท้   

ในเรื่องของการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาล กูรูเคยบอกว่า การพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลนั้น หากทำแล้วมีความทุกข์ ความเครียดในกลุ่มคนทำละก็ ขอให้หยุดทำซะเถอะ แสดงว่าทิศทางที่กำลังทำอยู่นั้นมันผิดทิศผิดทาง   

การพัฒนาคุณภาพนั้นได้รับการชี้นำจากผู้บริหารสูงสุดว่าควรทำเพราะเห็นว่ามันเป็นประโยชน์แก่สาธารณะที่จะได้พึ่งพาร.พ. แต่ว่าคนทำงานกลับเครียดและทุกข์กับการพยายามทำมันให้ดีขึ้นโดยใช้วิธีเดิมๆ  ไม่ยอมรับวิธีใหม่ๆที่ถูกเสนอเข้ามาแทนที่ ด้วยเหตุผลในใจที่ตั้งไว้คือ  ไม่อยากเดินออกจากไข่แดง และดื้อตาใสที่จะไม่เดินออกไปทุกคราที่สามารถดื้อได้    จะทำบ้างก็ต่อเมื่อเข้าตาจน จำเป็นต้องให้คำตอบเรื่องงานคุณภาพที่คืบหน้าไปในเวลาที่ถูกเร่งรัดมาให้ด้วยวิธีเดิมๆอีกนั่นแหละ   ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่พบได้ 

เอาเรื่องนี้มาเล่าเพื่อที่จะแลกเปลี่ยนว่าหากคนที่ทำหน้าที่เป็นกระบวนกรขับเคลื่อนงานพัฒนาคุณภาพได้พบกับเหตุการณ์แบบนี้จะใช้หลัก ให้รู้จักปล่อยวางซะบ้าง ก็จะทำให้คนที่เป็นกระบวนกรมีความสุขมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับด้วยว่าจะได้รับความทุกข์กับคำถามที่ว่า ทำไมจึงปล่อยวางซะละ   

 

ธรรมชาติยุติธรรมเสมอในเรื่องของการสร้างความเป็นคู่กันให้เกิดขึ้น  มีบวกก็มีลบ มีทุกข์ก็มีสุข  จะเอาอะไรกับมัน  มันไร้สาระที่จะจับต้องจริงๆจังๆให้เหลือแค่ด้านเดียวได้  แล้วจะไปคอยจับเรื่องที่ไร้สาระเพื่อให้ได้อะไรละ

หมายเลขบันทึก: 207986เขียนเมื่อ 11 กันยายน 2008 22:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:33 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท