การทำงานประจำให้เดินไปได้ด้วยดี จนได้นวตกรรมใหม่ๆมานั้น มีเบื้องหลังที่น่าสนใจเรียนรู้แนวทางความคิดที่เกิดขึ้น ความคิดคือรากของวัฒนธรรมที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จและความล้มเหลวที่เกิดขึ้น
เรื่องราวในการสนทนาที่ผู้คนมีต่อกันในชีวิตประจำวันเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงออกในวิธีคิด ส่วนการลงมือกระทำการใดๆลงไปของผู้คนเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงออกมาของความคิด ดอกลัดดาวัลย์ที่มีคนนำมาอวดฝีมือในเว็บ
ในรากศัพท์ที่มาของความคิด มีคำว่า “ความคิดเชิงวิพากษ์” และ “ความคิดเชิงสะสม” คำ 2 คำนี้มาจากภาษาอังกฤษ 2 คำ ที่มีความหมายแปลได้ตรงกัน และคำ 2 คำนี้เมื่อมาปรากฏอยู่ในระบบงานใด ก็จะทำให้เกิดการวัฒนธรรมของการทำงานนั้นๆ
critical ที่แปลได้ว่า เชิงวิพากษ์ กับ collective ซึ่งหมายถึงเชิงสะสม ทำทีละน้อย อย่างค่อยเป็นค่อยไป สะสมเป็นผลใหญ่ ฉะนั้นแท้จริงแล้ววิธีคิดทั้ง 2 อย่างนี้จึงเป็นรากของวัฒนธรรมการทำงานที่ปรากฏขึ้นในระบบงานใดๆ ซึ่งมีรูปธรรมที่จับต้องในรูปของ “สไตล์การทำงาน”
ดอกแก้วที่มีคนนำมาให้ดูในเว็บเช่นกัน
ก่อนที่ใครๆจะแสดงสไตล์ในการทำงานออกมา ฉันเชื่อว่าจะมีการใช้ "หลักฐาน" และ "เหตุผล" มาเป็นหลักในการโต้แย้งก่อนสรุปออกมาเป็นการลงมือทำ การคิดใช้ “หลักฐาน” และ “เหตุผล” ยัง "เปิดโอกาส" ให้กับการโต้แย้งโดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องฐานะทางสังคมด้วย คนที่เกี่ยวข้องกับสไตล์การทำงานนั้นๆสามารถลุกขึ้นมาตั้งข้อสงสัยและโต้แย้งได้โดยไม่ต้องกังวล หากระบบเหตุผลของตนรัดกุม หลักฐานน่าเชื่อถือ และมากพอ ก็ไม่ควรต้องเครียดเมื่อต้องตอบคำถามว่า จะทำกิจกรรมนี้ไปทำไม มีเหตุผลอะไร มีหลักฐานอะไรสนับสนุนบ้าง มีทางเลือกใดให้ตัดสินใจได้บ้าง คาดว่าผลจะเป็นอย่างไร
ก่อนลงมือทำงานสไตล์ใดๆก็ตามในงานที่มีผู้คนมากหลายเกี่ยวข้องและรับผลจากสไตล์เหล่านั้น ผู้รับผิดชอบควรนำเรื่องที่จะ ลงมือทำไปปรึกษาผู้นำที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะลงลึกเข้าไปสู่การลงมือทำที่แท้จริงพร้อมหลักฐานและเหตุผลที่นำมาซึ่งการตัดสินใจ เพราะส่วนนี้จะบอกให้รู้ว่าหลักฐานที่ใช้สนับสนุนการตัดสินใจนั้นควรเชื่อถือเพียงใด และยิ่งสามารถอภิปราย (Discussion) ก็จะชวนสนใจพอๆกับส่วนของผลงาน ด้วยว่าระบบเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังผลที่ออกมาสามารถอธิบายได้
การนำเรื่องไปปรึกษาก็คือการหาคนช่วยเหลือและตรวจสอบว่า สิ่งที่จะทำ สอดคล้องกับระบบเหตุผลที่เราได้สถาปนาไว้อย่างมั่นคงแล้วหรือยัง และแน่นอนว่าเมื่อมีการปรึกษา ก็จะมีการให้คำปรึกษา การให้คำปรึกษาจึงไม่ใช่การบอกว่า ทำอย่างนี้ไม่ได้ ทำอย่างนี้สิดี และหากผู้ให้คำปรึกษานั้น เป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนร่วมรับผิดชอบในผลงานที่เกิดขึ้น การบอกให้ทำอย่างนี้ อย่างนั้นที่ว่า คือข้อเสนอแนะที่ผู้ให้คำปรึกษาได้บอกเป็นนัยๆว่า ควรทบทวนหลักฐานและเหตุผลที่ตัดสินใจให้มั่นใจอีกครั้งก่อนการลงมือ ด้วยเข้าใจระบบเหตุผลและได้ผ่านหูผ่านตามามากกว่าจึงรับรู้ว่าผลที่จะเกิดขึ้นนั้น จะส่งผลอย่างไร กระบวนการทั้งหมดที่เล่ามานี้ใช้ความคิดเชิงวิพากษ์ทั้งสิ้น
ทุกหน่วยงานต่างก็มีความฝันที่จะได้ผลการบริหารงาน ที่เรียกว่า “งานได้ผล คนเป็นสุข” บทเรียนรู้ประสบการณ์ที่ได้สะสม จากส่วนเล็กๆค่อยเป็นค่อยไป เติมลงไปในเรื่องใหญ่ๆ ทำให้ความคิดเชิงสะสมที่ค่อยๆทำด้วยความเชื่อว่า ผลงานที่ตนทำนั้นเป็นส่วนหนึ่งของวงการ เป็นผลงานส่วนเล็กๆ ที่ค่อยๆ เติมไปบนเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้น ถือว่าเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ใดๆ ด้วย จากการที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากความว่างเปล่า ทุกเรื่องล้วนอาศัยฐานจากงานชิ้นก่อนๆที่ทำมาแล้วทั้งสิ้น
วิธีคิดเชิงสะสมจึงไม่มีคำว่า “ข้าเก่ง one man show” และไม่มีแม้แต่ “เพื่อท่านคนเดียว All for One” แต่จะมี “หนึ่งเดียวนี้ทำเพื่อทุกคน One for All” และ “ทุกอย่างเพื่อทุกคน All for All”
การใช้ความคิดเชิงสะสมสามารถช่วยขัดเกลาความอหังการของผู้ทำงานที่มักจะเริ่มต้นงานด้วยความคิดที่ว่า "ฉันจะเปลี่ยนแปลงโลก"ให้กลายมาเป็น "งานของฉันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเกิดสิ่งดีๆ กับโลก" เสมือนการเติมหยดน้ำอีกหยดหนึ่งลงไปในมหาสมุทรแห่งความรู้
บันทึกนี้เขียนขึ้นเพื่อใช้เตือนใจคนทำงานว่า ความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงโลก สามารถเป็นจริงได้ ถ้ามีการปลูกฝังวิธีคิดเชิงวิพากษ์และเชิงสะสมไว้เป็นวัฒนธรรมการทำงานแห่งตนอยู่ทุกเมื่อ แล้วความอหังการที่มีก็จะสามารถเปล่งประกายสูงสุดออกมาจนเป็นสไตล์แห่งตนที่ควรค่าแก่การชื่นชมและภูมิใจ ควรค่าและเป็นแบบอย่างที่ควรเอาอย่างสำหรับผู้ตามและผู้อยู่เคียงข้าง
ทีมงานใดก็ตามที่ผู้คนในทีมทำงานได้อย่างนี้ ทีมงานนั้นจะเป็นทีมงานที่ให้งานที่มีประสิทธิผลได้อย่างใจ แถมต่อมาด้วยประสิทธิภาพในการทำงาน
เรียนคุณหมอ
เห็นด้วยนะคะ ทำงานเป็นทีม เราให้เกียรติกับผู้ร่วมงาน ไม่ใช่เก่งคนเดียว ทุกคนมีส่วนดีแต่ละอย่างไม่เหมือนกัน ช่วยให้มีผลงานออกมา ทุกคนมีความสุขในการทำงาน
อยากให้ทุกคนคิดแบบคุณหมอนะคะ
ได้ข้อคิดดีๆ.อยากให้เพื่อนๆที่รพ.อ่านด้วยจังจะได้ไม่ท้อแท้
ขอบคุณค่ะ