ก่อนจะมีงานให้ทำที่เมืองเหนือ ฉันตกลงกับกัลยาณมิตรคนหนึ่งว่า เราจะไป ณ ที่แห่งหนึ่งด้วยกัน เธอตกปากรับคำฉันได้ไม่กี่วัน ก็มีเสียงติดต่อมาถามความสมัครใจในการไปทำงาน หลังจากนั้นเจ้าภาพตัวจริงก็ติดต่อมาจนมีการ ตกปากรับงานกัน ตอนที่เจ้าภาพติดต่อมา มันมีคำว่า เอ๊ะ! เกิดขึ้นในใจ เอ๊ะแล้วก็แวบคำถามว่า ทำไมเจ้าภาพเลือกฉัน ทั้งๆที่แค่เคยเห็นหน้ากันครั้งเดียว แล้วก็ไม่เคยคุยกันเลย
ในคืนหนึ่งที่ได้พบกับเจ้าภาพที่ชวนเชิญให้ไปเมืองเหนือก่อนเวลาที่คาดไว้ เธอมีคำพูดบอกเล่าที่ทำให้อุทานว่า เอ๊ะ! ในใจอีกครั้ง เธอพูดว่า “โครงการนี้เธอใช้ชีวิตการทำงานเป็นเดิมพันทีเดียว” มาเข้าใจเบื้องหลัง หลังจากที่งานแล้วเสร็จไปแล้ว เรื่องที่จะเอามาบันทึกไว้คือคลื่นอารมณ์ของฉันเองเมื่อได้พบกับเธอค่ะ
การมาทบทวนเพื่อพิมพ์บันทึกทำให้เข้าใจกลไกในใจมากขึ้นว่า คุณสัญญาที่คนสะสมมานั้น เวลามันเข้ามาคลุกคลีกับใจนั้นมันเนียนซะจนไม่รู้ตัว เมื่อก่อนถ้ามีคำว่าเอ๊ะ ฉันจะวนเวียนค้นคิดและหา วนเวียนอยู่นั่นแล้วไม่เลิกราเพื่อจะหาคำตอบให้เจอ แล้วจะเพียรคอยถามคนที่เขาไม่รู้ตัวว่าได้กระตุกให้ฉันตั้งโจทย์หรือตัดสินว่าเขาเกี่ยวข้องกับคำตอบตรงๆ เพื่อให้ตอบคำถามออกมาให้จะๆ ฉันจะได้ไม่ต้องค้นหาคำตอบให้ยุ่งยากมากความ
การทบทวนนี้ทำให้จับตัวคุณสัญญาคนใหม่ที่อิงแอบเข้ามาเนียนๆได้ เป็นคุณสัญญาที่ฉันเผลอเปิดห้องใจออกอ้าซ่าให้เขาเข้ามาครอบครองอย่างซำบายใจ คุณสัญญาคนนี้เขาชื่อ “คุณอยาก” ไง รู้จักเขากันอยู่มั๊ยค่ะ
เมื่อฉันจำคุณอยากเขาได้ ก็นึกได้ถึงคำพูดของเด็กๆเวลาที่เขาคุยกัน แล้วฉันอยากสานสัมพันธ์ในฐานะแม่กับลูก เมื่อฉันส่งคำพูดเป็นคำถามแจมไปว่า คุยเรื่องอะไรกันลูก ให้แม่รู้ด้วยคนได้ไหม เด็กๆจะบอกกลับมา “หมอไม่รู้สักเรื่องได้ไหม” ว่าแล้วเขาก็คุยกันต่อไม่สนฉันเลยสักนิด
ตอนนั้นฉันน้อยใจค่ะ น้อยใจเพราะคุณอยากยุแหย่ว่า ลูกไม่อยากให้เรายุ่งเกี่ยวกับเขา ความจริงเรื่องที่เขาคุยกันนั้นเป็นเรื่องที่วัยรุ่นเขารู้เรื่องทันกัน แต่ฉันนั้นไม่รู้จักมัน คุณอยากอยากรู้เรื่องของมันจึงกล่อมฉันให้ถามออกไป เจอคำพูดนี้บ่อยเข้าๆ คุณอยากเขาเลยเบื่อที่ไม่ได้อย่างใจ อีกทั้งคนที่เกี่ยวข้องเป็นคนที่ฉันรักอย่างยิ่งและฉันเริ่มรักตัวเองมากขึ้น เมื่อคุณอยากยุแหย่ไม่ขึ้นจึงเลือกทางรามือไปเอง
วันหนึ่งได้ไปเรียนรู้ทฤษฎีจิตวิทยาเรื่องของภูเขาน้ำแข็งในใจคน จึงทำให้ถึงบางอ้อว่า อะไรหลายอย่างที่เกิดเป็นพฤติกรรมของคนออกมานั้น เกิดจากตัวตนภายในส่วนลึกของคนมีความโหยหาบางสิ่งบางอย่างอยู่ หากว่าค้นหามันเจอ คนจะมีความสุขและรู้จักความต้องการที่แท้จริงของตน
การได้เรียนรู้เรื่องนี้ ทำให้ฉันค้นหาคุณอยากในตัวจนเจอ การได้ทำความรู้จัก คุณอยากที่มาแอบแฝงพักพิงอยู่หลายคน ทำให้เข้าใจมากขึ้นว่า เหตุใดที่ผ่านมาฉันจึงคอยพะวงห่วงหาคำตอบและมีคำถามเวลาที่มีเอ๊ะเกิดขึ้นค่ะ
เรื่องที่มันไปเกี่ยวกับการที่เจ้าภาพชวนไปทำงานก็คือในเรื่องของเอ๊ะที่มีคำถามแวบขึ้นมาก่อนจะไป ตอนนั้นฉันพบว่าคุณอยากเขาเปลี่ยนไปมาก เขาน่ารักขึ้น จากที่เคยกล่อมให้ฉันอยากรู้จะเป็นจะตาย คราวนี้เขาแค่เอ๊ะเงียบๆ ไม่เตือน ไม่ยุแหย่ให้โลดเต้นจนเหนื่อยกายและใจ การที่คุณอยากน่ารักขึ้นนี้ทำให้ฉันพบว่า “ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร” ค่ะ
เมื่อได้เจอชายหนุ่มรุ่นพี่ผู้มีน้ำใจนักกับคนงามคู่ชีวิตผู้น่ารัก รวมทั้งบรรดากัลยาณมิตรหลากหลายท่าน พี่ท่านจะคอยแหย่เวลามีใครชอบซักชอบถามออกนอกประเด็นไปเรื่อยว่า “จะรู้คำตอบไปทำไม” คำพูดนี้นำมาใช้เป็นทริคเตือนตนได้ดีเลยค่ะ “ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร จะรู้ไปทำไม”
จนไปเจอเจ้าของเรื่องตัวจริง เธอได้เล่าให้ฟังค่ะว่า ก่อนเริ่มโครงการของเธอนั้น เธอผ่านความกลัวมามากมาย ความกลัวที่เกิดขึ้นนั้นมีอะไรบ้างจะลองจาระไนมาให้ฟังตามที่เธอเล่ามาให้รับรู้นะค่ะ มันเป็นมนตร์นะจังงังกับเรื่องราวที่ได้ฟังทีเดียวเชียวค่ะ
- กลัวความคิดติดกรอบต่อคำว่า “หน้าที่” ซึ่งทำให้คนไม่กล้าทำอะไร ที่เกินไปกว่าหน้าที่
- กลัวประสบการณ์ตนเองจะมีไม่พอที่จะลงมือทำงานซึ่งไม่คุ้นชิน เนื่องจากไม่เคยทำมาก่อนเลย
- กลัวคำตัดสินของคนอื่นจะมีมุมมองลบกลับมาทำร้ายเธอ จากการที่เธอคิดนอกกรอบหาญกล้าทำอะไรที่ไม่ใช่หน้าที่ เชิญกระบวนกรซึ่งเป็นคนโนเนมในสังคมให้ไปจัดกิจกรรมให้บรรดาวิทยากรมืออาชีพฝีมือฉกาจในพื้นที่ของเธอ
- กลัวต่อคำตัดสินว่าจินตภาพที่เธอมีต่อบรรดากระบวนกรอาจจะผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวไปจากภาพจริงที่มันเป็น
- กลัวว่าบรรดากระบวนกรจะคิดลบกับเธอ
- กลัวความล้มเหลวของตนเอง
- กลัวการไม่ยอมรับตัวเธอจากสังคมของเธอ
แต่ในขณะเดียวกันเธอก็มีความเมตตายิ่งต่อฉัน ความเมตตานั้นทำให้เธอกรุณาต่อฉันและเชิญฉันไปเป็นวิทยากรค่ะ เธอมีความรู้ว่า ความเข้าใจนั้นจับถ่ายใส่สมองไม่ได้ ต้องหาวิธีการช่วยให้เข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง จนนำไปประยุกต์ใช้ได้ มุทิตาที่เธอมอบให้คือ ให้ตัวเธอมาเป็นบทเรียนรู้ อุเบกขาที่เธอให้ คือ เมื่อเรียนรู้ร่วมกันแล้ว ฉันจะเรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นกับโจทย์ในใจฉัน เธอก็รับมันได้ แม้ว่าจะกลัว
ฉันว่าเธอคงเห็นชัดกว่าฉันว่า การฟังของฉันเป็นดั่งที่กัลยาณมิตรที่ฉันรอกอดอยู่เขาว่าไว้ค่ะ เขาว่าไว้ว่า
ฟังแต่ไม่ได้ยิน-มองแต่ไม่เห็น-คิดไตร่ตรองแต่ไม่เข้าใจปัญหาที่แท้จริง ไม่กล้าเผชิญหน้ากับปัญหา เกรงใจ กลัวเสียหน้า ตั้งคำถามผิด โจทย์เพี้ยน ไม่ชัดเจน การวิเคราะห์วินิจฉัยถึงสาเหตุก็เลยผิดเพี้ยน เป้าหมายไม่ตรงประเด็นจึงแก้ไม่ได้ ด้วยไม่รู้ว่าต้องการอะไร จะแก้อะไรให้เป็นอะไร แก้กี่ครั้งกี่ครั้ง จึงเป็นเพียงการบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้า ในเมื่ออ่านไม่ออก ความบกพร่องก็เกิดขึ้น ด้วยว่าโจทย์ที่แก้สมการไว้มันเพี้ยนมาตั้งแต่ต้นกระบวนการ
สุดท้ายฉันขอนำคมความคิดของเธอและกัลยาณมิตรท่านอื่นๆในเรื่องการจัดการความกลัวมาสรุปไว้เรียนรู้ร่วมกันที่นี่นะค่ะ
บางเรื่องถ้าปล่อยให้ธรรมชาติเข้ามาจัดการ….ปล่อยให้วิถีของเราถูกโยนตัวไปมาตามธรรมชาติ เหมือนเวลานอนในเรือแล้วให้คลื่นมันโยนตัวเรือ..โยกเยกๆ…ความกลัวก็ลดลงได้..
ความคาดหวังที่เราไปรับมาแล้วเกิดยึดเหนี่ยวจนนึกว่าเป็นความคาดหวังของตัวเองนั้น ..จะต้องใช้เวลาบ้างค่ะในการค่อยๆแกะออกไป…
หาเวลาหลุดออกไปจากโลกภายนอก(เช่นงานประจำ)บ้าง….ปล่อยให้จิตได้สัมผัสความว่าง อิสระ และพบสิ่งแปลกใหม่บ้าง… จิตเขาได้พักผ่อนบ้าง
ก่อนจบขอบอกเธอซะเลยว่า ที่ฉันลืมตัวตั้งคำถามไว้ว่า บางครั้งความเมตตาที่มีอยู่ในใจของคนดี ก็ทำให้คนอื่นเขาเกิดความกลัว และเธอถามฉันกลับมาว่าฉันกำลังจะบอกอะไรนั้น คำตอบอยู่ในบันทึกนี้นะค่ะ ลองค้นหาอ่านเอาค่ะ
สวัสดีค่ะพี่หมอเจ๊
อ่านแล้วชอบค่ะ ... ชอบที่พี่เปรียบเทียบ...คุณสัญญา ... "คุณอยาก" คนไม่มีรากก็มีคุณอยาก ... เต็มตัวเลยค่ะ แถมไม่ค่อยรู้ตัวเสียด้วย...สะดุดใจกับ...ฟังแต่ไม่ได้ยิน-มองแต่ไม่เห็น-คิดไตร่ตรองแต่ไม่เข้าใจปัญหาที่แท้จริง...
แล้วก็....หาเวลาหลุดออกไปจากโลกภายนอก(เช่นงานประจำ)บ้าง….ปล่อยให้จิตได้สัมผัสความว่าง อิสระ และพบสิ่งแปลกใหม่บ้าง… จิตเขาได้พักผ่อนบ้าง
ได้ข้อคิดมากมายค่ะ กระตุกให้หันกลับมามองตัวเอง ... ที่หลงคิดว่า...ดี เหมาะสมแล้ว
ชอบบันทึกนี้มากค่ะ
ที่บ้านเวลาจะแซวกันในกลุ่มพี่ ๆ น้อง ๆ หลาน ๆ คนเดินมาทีหลัง จะทำหน้าเหรอหรา...ยังไม่ทันนั่งฟังว่าเขาคุยอะไรกันก็รีบร้อนถามขึ้นว่า...คุยอะไรกันเหรอ...จะมีเสียงแซวว่า...
...ไม่รู้ซักเรื่องจะได้ไหมเนี่ย....
(^__^)
พี่หมอเจ๊คะ
กลับมาอ่านอีกครั้งด้วยความประทับใจในคำตอบของพี่หมอเจ๊ค่ะ....
พี่พบว่าการได้ยินเสียงธรรมชาติในตน ทำให้เรียนธรรมจากหนังสือเข้าใจขึ้นโดยไม่ต้องเข้าวัดค่ะ
น้องเคยเห็นและเคยมีประสบการณ์กับตัวเองค่ะ...เข้าวัดก็ยังทุกข์ใจ ด้วยความหน่วงหนัก จะได้บุญไหม จะดี จะถูกไหม จะปฏิบัติพอหรือยัง ... จิปาถะ ...
วัดอยู่ที่ใจนะคะ พี่ว่าไหมคะ
เรียกโก๊ะได้...ตามสบายค่ะ...^_^...
สวัสดีครับ
ขอบคุณครับ
สวัดดีครับ ป้าหมอเจี แวะมาทักทายสบายดีหรือเปล่าครับ น้องโย่มาเยี่ยมครับ ขอบคุณครับ
คุณพี่หมอเจ๊ครับ
Q: เวลาจะกินยานำ แต่ไม่เขย่าขวดก่อนดื่มจะได้มั้ยครับ? แล้วยาจะให้ผลเช่นไร?
A: กวินคิดว่าการปฏิบัติธรรม ในที่ๆ ไม่ใช่สถานที่ สัปปายะ ก็คงเหมือนกับการกินยาไม่เขย่าขวด ครับ
Q: ส่วนการไปวัด (อาวาสสัปปายะ) แต่ยังละ ปลิโพธิ ไม่ได้ ก็คงเหมือนกับการ เขย่าขวด แต่ไม่กินยาครับ
กวินคิดว่าการไปวัดยังมีความจำเป็น เพราะวัด ย่อมเป็นสถาน สัปปายะ มีคุณสี่ประการ อันได้แก่
อาวาสสัปปายะ = มีที่พักอาศัยสะดวก ที่อยู่เหมาะสม บรรยากาศดี
บุคคลสัปปายะ = มีบุคคลแวดล้อมที่เหมาะสม ที่เกี่ยวข้องทำให้
บายใจ
อาหารสัปปายะ = บริโภคอาหารที่พอเหมาะ มีอาหารการบริโภคสะดวก
ธัมมสัปปายะ = มีหลักปฏิบัติที่ถูกต้องและเหมาะแก่จริตของผู้ปฏิบัติธรรม
ถ้าปฏิบัติอยู่กับบ้าน ก็อาจจะขาด บุคคลผู้รู้ธรรมคอยชี้แนะในยามที่เกิดความลังเลสงสัย หรืออาจจะขาดหลักปฏิบัติที่ถูกต้อง
ส่วนการไปวัด แต่ยังไม่ได้มรรคได้ผล ก็อาจจะมีสาเหตุมาจาก ยังไม่สามารถตัดปริโพธิ 10 ประการอันได้แก่
1.คลายความห่วงที่อยู่อาศัยของตน คือบ้านของตน
2.คลายความห่วงบริวาร ผู้อุปถัมภ์ คนใกล้ชิด
3.คลายความห่วงรายได้เงินเดือน ผลประโยชน์ต่างๆ
4.คลายความห่วงพวกพ้อง ศิษยื สหาย ญาติพี่น้อง
5.คลายความห่วงการงานที่คั่งค้าง งานบ้าน
6.คลายความห่วงการจะต้องติดต่อธุระกิจ การงาน การประโยชน์
7.คลายความห่วงพ่อ แม่ ลูก เมีย ผัว พี่น้อง
8.คลายความห่วงเรื่องสุภาพ ร่างกาย อันจะทำให้สุขภาพเจ็บป่วย
9.คลายความห่วงเรื่องการเรียน การศึกษา การสอบแข่งขัน
10.คลายความห่วงเรื่องการขอโชคลาภ ฤทธิ์ ปาฏิหารและความหวังแห่งผล
ฉะนั้นการไปวัด เพื่อปฏิบัติธรรม จึงมีหลักที่ว่า ควรเลือกวัดที่มีองค์คุณแห่ง สัปปายะ ก่อนไปให้ ตัดปลิโพธิ