ทำไมหนูถึงเริ่มคิดจะภาวนา (ความเปลี่ยนแปลงภายนอก)


เดี๋ยวนี้การอาบน้ำแต่งตัวของหนู สะดวกรวดเร็วมากค่ะ ไม่ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง เอาเวลาที่เหลือไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้ เช่น วิ่งภาวนา นั่งทำงาน นั่งเขียนงาน นั่งสวดมนต์ ดีกว่าเสียเวลากับการฉาบทาของพวกนี้เสียอีก

 

ดูเหมือนว่า เมื่อก่อนหนูก็เป็นเด็กที่เติบโตมาไม่แตกต่างจากเด็กต่างจังหวัดอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป วัยเด็กก็ชอบขอ พ่อกับแม่ ไปหาของป่ากับตายาย ไปนั่งเรือเล่นขณะที่คุณตาหาปลา ไปวัดตอนเช้า ๆ กับคุณยาย

พอเข้าโรงเรียนประถมคุณยายก็จะให้ช่วยถือตะกร้าไปวัด แล้วโรงเรียนที่หนูเรียนอยู่ก็อยู่ตรงกันข้ามกับวัดซะด้วย พอทำบุญเสร็จ ก็อยู่ทานข้าวก้นบาตรแล้วค่อยไปโรงเรียน ชีวิตก็เป็นแบบนี้ทุกวัน ๆ จนคุณยายไปไม่ค่อยไหว พอเข้าเรียนมัธยม พ่อกับแม่ต้องย้ายบ้าน ไปอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งห่างไปประมาณ 20 กิโลเมตร ครานี้บ้านเราอยู่ตรงข้ามวัดเลยทีเดียวเชียว จะได้ยินตั้งแต่พระท่านตีฆ้องก่อนที่จะไปบิณฑบาตรเสียอีก ก็เลยกลายเป็นว่าวันไหนว่าง ๆ ก็จะหิ้วตะกร้ากับข้าวไปวัด ธรรมเนียมของวัดนี้ ท่านจะให้ สวดทำวัตรเช้าระหว่างที่พระท่านฉันฑ์ ตอนแรก ๆ ก็สวดไม่เป็นหรอกค่ะ อ๊อม ๆ แอ่ม ๆ กะ เขาไป ถั่ว งา ๆ พึม ๆ พำ ๆ กะท่านไปเรื่อย ก็พอได้บ้าง

แต่พอยิ่งโตขึ้นเรื่อย ๆ มาอยู่ มัธยมปลาย ดูท่าทางหนูจะติดกิจกรรม นาน ๆ ได้ไปวัดทีหนึ่ง ไม่ได้ไปเป็นประจำเหมือนวัยเด็ก

พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย โอ้ ไม่ต้องพูดถึงค่ะ หลงเพลินไปกับสังคม มายาแห่งชีวิต ไปวัด หรือ ไป ทำบุญนี่ อาจจะเป็นปีละครั้ง สองครั้งได้กระมัง ตอนครบรอบวันเกิดได้มั่ง ซึ่งตอนนั้นแตกต่างกับการไปเที่ยวเธคมาก ๆ เพราะไปเกือบทุกอาทิตย์ ห่างหน่อยก็ทุกเดือน 

พอเข้าเรียนปริญญาโท เพื่อน ๆ ที่เคยไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่ละคนก็เริ่มห่างหาย ไป ทำงานตามหน้าที่ของตนเอง นาน ๆ มาเจอกันที หนูไม่รู้จะทำไง บางทีก็รู้สึกเหงา  อยู่ดี ดี ก็ เปิด CD อันหนึ่งที่พี่ชายเอามาให้ บอกว่า

"อาจารย์ท่านนี้สุดยอด ท่านทำงาน นาซ่า มาก่อน และเมื่อก่อน เคยนับถือคริสซ์ แต่ตอนนี้มานับถือพุทธ ลองฟังดู"

จริง ๆพี่ชายเอา CD นี้มาให้นานมาก ๆ ค่ะ แต่ไม่เคยเปิดฟังเลย วันนั้นไม่รู้ยังไง ถอนหญ้าอยู่หน้าบ้านก็เลยเปิด ๆ ทิ้งไว้งั้นแหละค่ะ ไม่ได้ตั้งใจฟังอะไร แต่แหมฟังประโยคไหน ก็โดน ฟังอันไหนก็ กระแทกใจ อ.ท่านนี้ก็คือ อ.วรภัทร์

          ท่านพูดถึงวัดหลวงพ่อกล้วย พอฟังไป ฟังมาอ้าว นี่มันอยู่ขอนแก่นนี่นา ท่าทางจะไม่ไกลจากบ้านพักเรา จากนั้นหนูก็เริ่มหาข้อมูล หาแผนที่ พอได้พิกัด  ก็โทรถามครู ซึ่งตอนนั้นรู้จักท่านไม่นาน และตอนนั้นก็ไม่ชอบหน้าท่านมาก ๆ ด้วยค่ะ แล้วท่านก็บอกหนูว่า

ไปเลย ๆ ดีทั้งนั้นแหละ

แต่วันที่หนูตั้งใจจะไปนอนวัดวันแรกนี่ โดนสอบอารมณ์มาเยอะเหมือนกัน งานเยอะมาก ๆ ทั้ง ๆที่เป็นวันศุกร์ แถมยังเป็นวันมามากวันแรกของผู้หญิงด้วย กว่าจะเคลื่อนกายไปถึงหน้าวัดก็เกือบ ๆ จะ ทุ่มกว่า ๆ

          ในใจหนูตอนนั้นไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับธรรมเนียมวัดนี้เลย ใจหนึ่งก็กลัวว่าดึกแล้วท่านอาจจะไม่ให้เข้าพัก ก็บอกตนเองว่าถ้าเข้าวันนี้ไม่ได้พรุ่งนี้ก็จะมาแต่เช้าตั้งใจกับตนเองไว้เช่นนี้ พอไปถึงหน้าวัด มีแม่ชีท่านหนึ่งเดินออกมาหน้าประตูวัดพอดี หนูจึงถามท่าน ท่านจึงเมตตาพาหนูเข้าไปในวัด พอหนูจอดรถก็เห็นพระรูปหนึ่งถือไม้เท้าเดินผ่านรถหนูพอดี มาทราบทีหลังว่า พระรูปนี้คือ หลวงพ่อกล้วย

          หลังจากนั้นหนูก็ไปวัดเรื่อย ๆ แต่หนูก็ไม่ค่อยได้รู้จักคำว่าภาวนาเท่าไหร่ ไม่ใช่ท่านไม่สอนนะคะ แต่หนูเองเรียนไม่เป็นต่างหาก ประมาณว่าท่านให้ทำอะไร หนูก็ทำ มีอะไรให้หนูช่วยหนูก็ช่วย

          หลัง ๆ มาคุณครู ท่านเมตตาหนูมาก มาประกบหนู ช่วยสอน

เคี่ยวเข็ญให้หนูภาวนา รู้จักหายใจ สอนให้ดูใจตนเอง รู้ทันอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกของตนเอง

ท่านสอนแบบประกบจริง ๆ ค่ะ ตัวต่อตัว เหมือนกับว่าถ้ามีโอกาสไปไหน ครูท่านก็หิ้วหนูไปด้วย ภาพมันเป็นแบบนี้จริง ๆ ค่ะ ช่วยท่านขับรถรึก็เปล่า ขับรถ ครูก็เป็นคนขับ ทานข้าว ส่วนใหญ่ครูท่านก็เป็นคนเลี้ยง บางที ท่านก็พึมพำออกมาว่า

 “อะไรวะเนี่ย สอนฉันก็เป็นคนสอน ขับรถฉันก็เป็นคนขับ เลี้ยงข้าวฉันก็เป็นคนเลี้ยง ฉันจ้างแกมาเรียนเหรอเนี่ย”

          ท่านสอนหนูตั้งแต่หนูไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่งตัวโป้ ๆ อืมน่าจะใช้คำว่า วับ ๆ แวม ๆมากกว่าค่ะ สวมรองเท้าส้นเข็ม แต่งหน้าเป็นประจำ ผมยาวสลวย หรือบางทีก็จะดัด ตามแฟชั่น พอเวลาเดินมาหาท่าน ก็จะได้ยินเสียงรองเท้าหนูก๊อก ๆ ๆ ๆ ก้นสบัดไป สบัดมา” ก็ตอนนั้นหนูคิดว่า “ฉันนี่แหละ สวยเริ่ดที่สุด มั่นใจที่สุด อารมณ์นี้เลยค่ะ” แว่นตาก็ไม่ใส่ ใส่คอนแท็คเลนค์ ไอ้ที่ใส ๆ ก็ ไม่ใส่ค่ะ กลัวตาไม่โต ใส่เป็น คอนแท็คเล็นสี จะตาแห้งเจ็บตา แสบตาแค่ไหนก็ทน  เห็นไหมค่ะ ว่าเมื่อก่อนหนูน่าสงสารแค่ไหน

 

เอารูปตนเองในอดีตมาพิสูจน์ เมื่อก่อนเป็นอะไรที่ห่วงสวยมาก ๆค่ะ ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่สวย จะถ่ายรูปแต่ละทีเก๊กสุดชีวิตเหมือนกัน กว่าจะออกจากบ้านได้เเต่งตัวเป็นชั่วโมง แถมกระโดกกระเดก ชอบกระโดดโลดเต้นเป็นลิงเป็นค่าง

 "แต่ครูท่านก็จะเป็นอะไรที่ธรรมดา ๆ ของท่านนี่แหละค่ะ สบาย ๆ ไม่มีอะไรมากมาย ไอ้หนูก็แปลก ชอบไปไหนมาไหนกับท่าน”

ตอนนั้นหนูทุกข์มาก ๆ ชีวิตของหนูวัน ๆ นับคนที่เดินผ่านมาในชีวิตได้เลยค่ะ เหงามาก ๆ เจ็บปวดมาก ๆ

แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ บางวัน คิดมาก ๆ เข้า นอนร้องไห้ อีก เมื่อก่อนเหมือนมีน้ำตาและความเหงาเป็นเพื่อน ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเข้าใจ ดูจากภายนอกในอดีตหนูเป็นผู้หญิงที่ดูเข้มแข็งพึ่งพิงได้ เป็นที่พึ่งของเพื่อน ๆ และใคร ๆ ใครจะรู้ว่าหนูทุกข์ระทมในใจแค่ไหน อยากจะออกไปจากความรู้สึกแบบนี้ แต่ก็ไปไม่เป็น

เหมือนเด็กเหยียบขี้หมาอยู่ รู้ว่ามันเหม็นก็ไม่รู้จักเอาไปล้าง มีแต่ยืนร้องไห้ แง ๆ ให้คนมาช่วย หนูก็ได้ครูท่านนี้แหละค่ะ มาอุ้มหนูออกจากกองขี้หมาแล้วก็สอนวิธี ล้าง วิธี เช็ดขี้หมาออกจากตัวและใจ

          จากเมื่อก่อนที่เคยแต่งหน้าแบบครบเซต หนูก็ค่อย ๆ ถอยมาที่ใช้เพียงอุทัยทิพย์ ทาแก้มพอให้แดง ๆ ทาปากพอให้อิ่ม ๆ ใช้แค่ครีมบำรุง กลับมาใส่แว่นบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็ยังแอบครูไปดัดผม อารมณ์ห่วงกลัวตัวเองไม่สวย เฮ่อ ความจริงมันเป็นอย่างนี้แหละค่ะ

ก็ยังโดนครูเบรคหัวทิ่มหลายที่ว่า "ยังไม่มั่นใจในตนเองอยู่”

เอาหล่ะซิ หนูก็โมโห เฮอะ ๆ ก็ตอนนั้นหน่ะ เถียงในใจว่า

“ไม่รู้เหรอ เมื่อก่อนฉันทำมากกว่านี้ มีแต่คนบอกว่า ฉันสวยนะ ไม่เคยเห็นว่าใครมาบอกฉันสักกะทีว่าฉันไม่มั่นใจ พอมีคนบอกว่าฉันสวย ความมั่นใจของหนูก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ยิ่งแต่งหน้าจัดขึ้น แต่งตัววับ ๆ แวม ๆ มากขึ้น”

กว่าจะคิดได้ก็นานเป็นปีค่ะ ไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองค่อย ๆ เปลี่ยน ครูท่านสอนหนูได้เนียนมาก ๆ ค่ะ มารู้สึกตัวอีกที เซตแต่งหน้าก็ถูกเก็บเข้ากรุบางส่วนก็บริจาคไปให้คนอื่น ๆ ซะแล้ว

ตอนนี้ผมก็ถูกตัดสั้น รู้สึกสบายขึ้นตั้งเยอะ เมื่อตอนตัดผมครั้งแรก ๆ สักปีหนึ่งที่ผ่านมา รู้สึกใจหายเหมือนกันค่ะ หนูเลี้ยงผมยาวมาประมาณ 8-9 ปี พอมาตัดสั้นรู้สึกไม่คุ้นเคย มีความรู้สึกว่าตนเองผมยาวอยู่เป็นอาทิตย์ ทำไมถึงว่าอย่างนั้น ก็หนูยังสบัดผม และยกมือขึ้นรวบผมอยู่หน่ะซิค่ะ แต่สบัดไปก็ไม่มีเส้นผม รวบไปก็เจอแต่หัวตัวเอง

แล้วหนูก็เลี้ยงยาวอีกครั้งหนึ่ง มาไม่นานนี้ ไปวัดแล้วรู้สึกเกะกะ ครูท่านจึงเมตตาตัดผมให้ รู้สึกประทับใจมาก ๆค่ะ วันนั้นท่านบอกว่า

ครั้งนี้พี่ตัดให้ ครั้ง ต่อ ๆ ไป ให้หัดพึ่งตนเอง ตัดผมเอง

ปัจจุบันก็เลยกลายเป็นเช่นนี้ค่ะ

อันนี้เป็นเรื่องราวและพัฒนาการ คร่าว ๆ ของหนู จากอตีดจนถึงปัจจุบันแบบพอสังเขป ที่ก้าวออกมา จากความทุกข์ในใจได้ เพราะครูท่านเมตตาฉุดกระชากลากถูหนู เข้าสู่เส้นทางแห่งอริยมรรค พอเริ่มออกนอกลู่นอกทาง ท่านก็มาลากคอกลับมา สำหรับคนที่กำลังคิดจะภาวนา หรือ เริ่มภาวนาอยู่ หรือ กำลังเจออุปสรรคในการภาวนา อย่าท้อนะคะ ความอดทน ความพยายามและความเชื่อมั่นและศรัทธาในหนทาง ช่วยเราได้จริง ๆ สู้ ๆนะคะ

เดี๋ยวนี้การอาบน้ำแต่งตัวของหนู สะดวกรวดเร็วมากค่ะ ไม่ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง เอาเวลาที่เหลือไปทำประโยชน์อย่างอื่นได้ เช่น วิ่งภาวนา นั่งทำงาน นั่งเขียนงาน นั่งสวดมนต์ ดีกว่าเสียเวลากับการฉาบทาของพวกนี้เสียอีก

จากการเขียนทบทวนในวันนี้หนูได้เรียนรู้ว่า การเปลี่ยนแปลงที่ลงลึกเข้าไปในใจ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงได้ภายในวันสองวัน แต่ว่าความอดทน ความตั้งใจ และความพยายาม รวมถึงความเมตตาของครู ที่ทำให้หนูเปลี่ยนแปลงได้มากขนาดนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน หนูคงอายที่จะเปิดเผยตัวเอง หรือ แม้กระทั่งชีวิต ที่ผิดพลาดที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ครูสอนให้รู้ว่า สิ่งที่ผ่านไปแล้ว มันเป็นเพียงอดีต เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว จบลงเเล้ว หากนำมาบันทึกไว้อาจจะพอได้เป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยค่ะ

 

กราบขอบพระคุณคุณครูค่ะ ที่เปลี่ยนแปลงในด้านดี ๆ ได้ขนาดนี้ ขอถวายคุณความดีแด่ครูเจ้าค่ะ

 

หมายเลขบันทึก: 320215เขียนเมื่อ 14 ธันวาคม 2009 14:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 22:03 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (15)
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)

เป็นประโยชน์และมีข้อคิดดี ๆ แก่คนอื่นอีกหลายคน

เรื่องอัตตาตัวตนก็นับเป็นเรื่องใหญ่ที่จะรู้เท่าทัน ตามทันได้ง่าย ๆ

ส่วนมากรู้เท่าตามทันสังคมวิ่งตามเขาไป บอกว่าเหนื่อยก็ไม่เชื่อหรอก

อนุโมทนา สาธุ

กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ ท่านพระมหาแล ขำสุข(อาสโย) ที่ติดตามอ่านบันทึก และช่วยแทรกแง่คิดให้โยม ได้พัฒนาตนเองต่อไป

รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของท่าน โยมจะพยายามต่อไปเจ้าค่ะ

สาธุเจ้าค่ะ

เมื่อเราก้าวออกจากความหวาดกลัว...

เราจะพบว่า..เรานั้นกล้าหาญมากยิ่งขึ้น...

กราบขอบพระคุณพี่กะปุ๋ม  มาก ๆค่ะ ติ๋วจะไม่กลัวกิเลสอีกต่อไป จะฝึกฝนตนเอง ทำความรู้ตัว ฝึกสติ สั่งสมความอดทน ให้มีให้เกิดขึ้น 4 อย่างที่เมตตาให้ติ๋วสั่งสมคือ ตั้งใจ ศรัทธา อดทน และสติ หนูจะเพียรพยายามทำให้ถึงพร้อมเจ้าค่ะ

ขอบคุณนะคะ สำหรับข้อคิดดีๆ...

เมื่อเริ่มต้นก้าว....ไม่ว่าจะก้าวเล็กๆ หรือก้าวยาวๆ ก็คงถึงจุดหมายในสักวัน

แต่ละคนล้วนมีเส้นทางของตนเอง

เป็นกำลังใจให้เช่นกันค่ะ

ใช่ค่ะหมอดาว blue_star 

เมื่อเริ่มต้นก้าว....ไม่ว่าจะก้าวเล็กๆ หรือก้าวยาวๆ ก็คงถึงจุดหมายในสักวัน

แล้วสิ่ง ๆ หนึ่งที่ครูสอนติ๋วไว้ ว่า

ทางสายนี้แม้ว่าเราต้องทำเอาเอง ฝึกฝนปฏิบัติด้วยตัวเราเอง แต่เราก็ไม่ได้เดินอย่างเดียวดาย การมีสังฆะดี ๆ จะช่วยหนุนนำและเป็นกำลังใจ ประคับประคอง ให้เราไม่หลุดออกจากหนทางแห่งอริยมรรค

สู้ ๆ นะคะ เรายังมีกันและกันบนเส้นทางสายนี้

สวัสดีค่ะ

 อ่านเรื่องนี้แล้ว  ทำให้มีกำลังใจ

ทุกคนมีทางที่จะเดิน  เพียงแต่ว่าจะเดินตรง หรือเดินอ้อม

ทุกคนมีปัญหา  แต่วิธีแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน  สักวัน....

เราคงค้นพบวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง

ขอบคุณเรื่องราวดีๆที่ทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่มีคุณค่ายิ่งขึ้น

 

ยินดีอย่างยิ่งค่ะคุณ กานต์

ที่บันทึกนี้พอจะเป็นกำลังใจให้ผู้อ่านได้บ้าง

ขอบพระคุณมาก ๆ ค่ะ สำหรับกำลังใจ

และยินดีที่ได้รู้จักค่ะ

(^__^)

ขอบคุณความรู้ดีๆนี้ บางทีก็จุดประกายให้ผู้อ่านด้วย...ขอบคุณค่ะ

ยินดีค่ะคุณ ปริมปราง ที่บันทึกเล็ก ๆ นี้ พอจะเป็นลายแทงบอกเล่าเรื่องราวสะกิดใจบ้าง หากจะว่าไป ติ๋วขอกราบขอบพระคุณท่านที่เมตตาตอบกระทู้นี้ ส่งผลให้หนูกลับมาอ่านทวนอีกครั้ง

กำลังใจถูกต่อเติมขึ้นมา จากบันทึกที่ถูกเขียนขึ้นมาจากใจ แม้การอ่านในครั้งนี้แทบจะไม่รู้สึกว่า "มันคือชีวิตของหนูเองก็ตาม"

ความรู้สึก ณ ขณะนี้เหมือนอ่านชีวิตของใครคนหนึ่ง ที่ผ่านอะไรมาตามการเปลี่ยนแปลงของชีวิตเธอ แล้วก็เอามาเล่าได้อย่างเข้าใจ

ดีใจที่เปิดมาเจอ กำลังหาทางไปบ้านใหม่ แต่หายากจัง ช่วยแนะนำด้วยนะคะ หลงทางมานานเหมือนกัน จนเดี๋ยวนี้ยังหาทางไม่เจอ เวลาก็หเลือน้อยลงทุกที ร่างกายก็ไม่เอื้ออำนวย แต่กำลังพยายามอย่างที่สุดค่ะ

ธรรมมะ สวัสดี

สุขกายสบายใจดีป่าว สาวติ๋วติ้ว

เป็นอย่างไรบ้าง

คุณขี้ปะติ๋ว หวัดดีนะครับ แวะเข้ามาโโยบังเอิญ เนื่องจากผมเองก็มีความเกี่ยวข้องกับ รพ พญาเม็งราย อยู่บ้าง ค้นไปค้นมาก็เลยมาเจอบล็อกของคุณ อ่านแล้วรู้สึกดีครับ แล้วจะแวะเข้ามาอ่านเรื่อยๆ นะครับ

หวัดดีค่ะ คุณติ๋ว

หนูเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้ตั้งใจเข้ามา เข้ามาแบบมั่วๆ แต่พอได้อ่านเรื่องราวของคุณติ๋ว ก็รู้สึกดี อยากอ่านต่อเรื่อยๆ

หนูเป็นคนพื้นเพจังหวัดขอนแก่นค่ะ แต่ตอนนี้ทำงานที่ จ.ปทุมธานี ได้อ่านเรื่องราวของคุณติ๋วรู้สึกมีกำลังใจ

มองโลกกว้างกว่าเดิม คิดอะไรที่ค้างคาในใจได้หลายอย่างเลยค่ะ ขอบคุณมากน่ะค่ะ ที่ทำให้หนูรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น

ขอบคุณจริงๆ ค่ะ

ปล.ลืมไป หนูชื่อ นัท น่ะค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท