เพราะพี่น้องชาวนาส่วนใหญ่ยังขนทั้งปุ๋ยเคมีและข้าวสารออกจากเมือง
ซึ่งเป็นภาพที่ค้านกันอย่างรุนแรง
ระหว่างความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน
กับ
การมีข้าวไม่พอกินตลอดปีของชาวนา
ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาทั้งมวลของสังคม
ทั้งจุลภาคและมหภาค
และเป็นปัญหาวกวนในลักษณะของงูกินหาง
ระหว่างความยากจนกับการศึกษา
"เพราะโง่ จึงต้องจน เพราะจน จึงต้องโง่"
"โรงเรียนจัดการศึกษาอยู่บนความยากจน ก็ด้วยความยากจนจึงเป็นเหตุแห่งความด้อยคุณภาพทางการศึกษาของโรงเรียน"
วนเวียนเป็นกงกรรมกงเกวียนกันอยู่อย่างนี้มาไม่รู้กี่ชั่วอายุคน
ก่อนนี้ก็ยังพอทำเนา
ราคาข้าวสารกิโลกรัมละ 10 กว่าบาท
ยังไงๆ พี่น้องก็ยังพอถูๆไถๆอยู่กันไปได้ตามมีตามเกิด
ไม่มีจริงๆ ก็ยังขอกันกินได้บ้าง ไม่ถึงกับจะต้องอดตายวายชีวีเหมือนอย่างในต่างประเทศ
แต่ต่อนี้ไป
ท่ามกลางสภาววิกฤติทั้งทางด้านพลังงานและอาหารของผู้คนทั่วโลก
ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย
ซึ่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำมาแต่โบราณกาล
จวบจนปัจจุบันสมัย ก็ยิ่งใหญ่ในฐานะ"ครัวของโลก" ประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุด
พี่น้องชาวนาชาวไร่ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่และฐานล่างสุดของสังคม
จะอยู่กันได้เป็นปกติสุขอยู่หรอกหรือ?
ก็ในเมื่อสมดุลระหว่างรายได้กับรายจ่ายมันต่างกันลิบลับ
รายได้ของลูกเต้าที่ไปรับจ้างที่กรุงเทพฯและเมืองอุตสาหกรรมอื่นๆยังอยู่เท่าเดิม
หรือน้อยลงด้วยซ้ำหากเทียบเคียงกับภาวะเงินเฟ้อ
แต่ต้องจ่ายเพิ่มมากขึ้นในทุกเรื่อง แพงขึ้นในทุกอย่าง
เพราะทุกอย่างมีต้นทุนแรกเหมือนๆกันคือ
"ค่าน้ำมันและพลังงาน"ในการผลิตและขนส่งทั้งสิ้น
********************
และหากจะพูดถึงรายได้หลักในความเป็นชาวนาก่อนหน้านี้
พี่น้องก็ทำนาด้วยต้นทุนที่แพงมหาศาลอยู่แล้ว
นอกจากยาฆ่าหญ้ายาคุมหญ้า ปุ๋ยเคมี นำมัน ฯลฯ อันเป็นปัจจัยหลักจะแพงแล้ว
"กำลังงาน" หรือ "แรงงาน" ก็ยิ่งแพงรูดมหาราช
แถมเล่นตัวอีกต่างหาก
เจ้าของนาต้องเอาใจและสนองคุณด้วยน้ำอัดลม
เครื่องดื่มบำรุงกำลัง เหล้าเบียร์ หมากพลูบุหรี่
รวมทั้งข้าวปลาอาหารชั้นดีอีกต่างหาก
นั่นหมายความว่าพี่น้องเราทำนาแล้วขาดทุนแน่ๆ
ในขณะที่ผลผลิตกลับต่ำลงๆอย่างเห็นได้ชัด
อันเป็นผลมาจากการ "ทำนาซิ่ง"
ทำแบบทิ้งๆ ทำแบบขว้างๆ ทำแบบห่างๆเหินๆ
เพราะมีภารกิจต้องรีบเดินทางเข้าเมืองหาเงินซื้อข้าวกิน
ทำให้ผลลัพท์ที่ได้ กลับกลายไปเป็นอีกเรื่อง
ปรากฏการณ์ "ข้าวยืนแห้งตายทั้งกลม"
"ข้าวนอนจมรวงเรียว(เหี่ยวๆแฟบๆ)ใต้ผืนน้ำ"
และ
"นาสวยไร้ข้าวงาม เพราะ(ชาวนา)รอน้ำฝน จน(ข้าว)หมดแรง"
(ทั้งๆที่โดยธรรมชาติของข้าวแล้วไม่จำเป็นต้องรอ
เพราะข้าวมีความเข้มแข็งและทรหดในตัวอยู่พอควรแล้ว ไม่งั้นพระเจ้าคงไม่สร้างมาไว้ให้เป็นอาหารของมนุษย์หรอก)
ภาพสะท้อนดังกล่าวเหล่านี้ นับวันยิ่งหนาตาขึ้นทุกปีๆ
ทั้งๆที่ผลลัพท์เหล่านี้
มิได้มีสาเหตุมาจากความแปรปรวนของธรรมชาติแต่ประการใด
เพราะธรรมชาติของลมฟ้าอากาศและน้ำฝนในบริเวณประเทศไทย
เขาก็น่าจะเป็นของเขาอย่างนี้มานานนับชั่วอายุโลกแล้วล่ะ
"อยากตกก็ตก ไม่อยากตกก็ไม่ตก หรืออยากตกเบาก็ตก อยากตกหนักก็ตก
หรืออยากทิ้งช่วงนานแค่ไหน ก็ไม่มีใครห้ามหรือไปต่อว่าได้"
แต่ทุกอย่างธรรมชาติได้ชดเชยเอาไว้ให้แล้วในตัว
....ดังนั้น....
โคกเพชรจึงต้องจัดการประชุมเสวนา
ว่าด้วยเรื่องการเกษตรพอเพียงแบบอิงธรรมชาติ
ต่อเนื่องจากประชุมเสวนาระดมพลังของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับชุมชน
ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นก้าวแรกของการพัฒนาชุมชนสู่ความเข้มแข็ง
ด้วยการร่วมคิดร่วมทำให้ชุมชนระดับตำบลเป็น "สังคมแห่งการเรียนรู้"
อันหมายรวมถึง "การเรียนรู้ที่จะทำกินแบบใส่ใจดูแลและเกื้อกูลธรรมชาติ"
ในรูปแบบการทำนาอินทรีย์แบบพอเพียงอิงธรรมชาตินี้ด้วย
....ทั้งนี้....
โดยใช้แนวความคิด "ยุทธศาสตร์ อบต.จุดเปลี่ยนประเทศไทย" ของท่าน ศ.นพ.ประเวศ วะสี
ปราชญ์เมธีร่วมสมัยผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญาอันเลิศของแผ่นดินไทย เป็นแกนหลักในการเสวนา
ซึ่งโคกเพชรคาดหวังว่า
ยุทธศาสตร์ในแนว "กัลยาณวิธี" ดังกล่าวนี้
จะเป็นแนวการพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวสู่ความเจริญวัฒนาถาวรแบบพอเพียงอย่างยั่งยืนได้จริง
หากผู้คนในชุมชน "ตระหนักในหน้าที่โดยธรรมชาติ" ตามแนวคิดนี้ร่วมกัน
ดังนั้น เราจึงได้พยายามหาโอกาสมาคุยกัน
คราวนี้ใช้โอกาสเนื่องในกิจกรรม
" 11 พฤษภา วันการศึกษาพอเพียงเฉลิมพระเกียรติ โรงเรียนบ้านโคกเพชร ครั้งที่ 3"
ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 11-12 พฤษภาคม 2551 ที่จะถึงนี้
ซึ่งทั้งหลายทั้งหมด
"ครูวุฒิ" ก็เพียรถามตัวเองตลอดว่า
เราฝันแบบ "เกินพอเพียง" ไปหรือเปล่าเนี่ย?
แต่สุดท้าย
ก็ตอบตัวเองทุกครั้งว่า ถ้าไม่ลองแล้วจะรู้หรือว่า "เกิน" หรือ "ไม่เกิน"
*********************
หมายเหตุ ด้านล่างนี้คือ
ลิงค์ที่เกี่ยวข้องกับการกสิกรรมอิงธรรมชาติแบบพอเพียง
บางเรื่องเปรียบเทียบกับแบบที่ชาวนาทำ โดยเฉพาะลิงค์สุดท้ายครับ
http://www.khokpet.thaifix.com/modules.php?name=News&file=article&sid=58
http://www.khokpet.thaifix.com/modules.php?name=News&file=article&sid=51
http://www.khokpet.thaifix.com/modules.php?name=News&file=article&sid=50
http://www.khokpet.thaifix.com/modules.php?name=News&file=article&sid=47
http://www.khokpet.thaifix.com/modules.php?name=News&file=article&sid=46
ไวดีจัง น้องขจิต
อ้อ... อีกอย่างนะ
สวัสดีครับ คุณบัวปริ่มน้ำ
สวัสดีค่ะพี่ครูวุฒิ
เห็นด้วยค่ะว่าการกลับเข้าสู่ธรรมชาติเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
และทราบว่าไม่ง่ายเลยในการปรับเปลี่ยน แต่ตอนนี้ก็เป็นโอกาสอันดีอย่างหนึ่งนะคะ อย่างน้อยก็ค่าปุ๋ยลดลง
ไม่ว่าราคาข้าวจะเป็นอย่างไรเมื่อใดที่ลดค่าใช้จ่ายให้น้อยที่สุดได้เมื่อนั้นก็มีกำไรเสมอนะคะ
ชีวิตชาวนานั้นแสนลำเค็ญ เป็นสิ่งที่รับรู้กันมานานแสนนาน ถึงอย่างนั้นอาชีพทำนาตั้งแต่อดีตมาก็เคยเป็นอาชีพของคนส่วนใหญ่ เป็นระบบการผลิตเชิงวัฒนธรรมที่หล่อเลี้ยงสังคม ชุมชน นอกจากนั้นยังสร้างสำนึกและอุดมการณ์ดีๆ ค้ำจุนสังคม ได้ปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างมีความสุขนะคะ แม้แต่ในภาวะที่เศรษฐกิจล้มละลาย เมื่อปี 2540 แรงงานถูกเลิกจ้างมากมาย ผืนนาและบ้านเกิดกลับรองรับได้อย่างเข้มแข็ง..
มีการวิเคราะห์ตัวอย่างชาวนามาฝากค่ะ เป็นชาวนาตำบลบางขุด อำเภอสวรรคบุรี จังหวัดชัยนาทค่ะ ที่นี่เค้าทำนาปีละ 3 ครั้ง เป็นพื้นที่ปลูกข้าวเพื่อส่งออกเช่นกัน ชาวนาที่นี่ส่วนใหญ่ร้อยละ 70 ไม่มีที่นาเป็นของตนเอง โดยเฉลี่ยแล้วชาวนามีหนี้สินตั้งแต่ 100,000 – 300,000 บาทต่อครอบครัว สาเหตุหลักของหนี้สินเกิดจากการซื้อปัจจัยการผลิต (ปุ๋ยเคมี ฮอร์โมน และสารเคมีกำจัดศัตรูพืช สูงสุดถึงร้อยละ52.45) ลงทุนการผลิต (รถแทรกเตอร์ รถเกี่ยว รถขนส่งและค่าน้ำมันร้อยละ 26.85) และค่าใช้จ่ายในครอบครัวที่สูงขึ้นทุกปีค่ะ..
จากการศึกษาต้นทุนการทำนาในปี 2550 ของชาวนาตำบลบางขุด พบว่ามีต้นทุนการผลิตสูงถึง 3,165 บาท ต่อไร่ และมีผลผลิตตอบแทนต่อไร่ 3,850 บาท ดังนั้นชาวนาได้กำไร 685 บาทต่อไร่เท่านั้นเองนะคะ ถามว่าเงินจำนวนนี้เพียงพอหรือไม่ต่อการดำรงชีพของครอบครัวชาวนาในยุคปัจจุบัน?
ในขณะที่ราคาข้าวเปลือกในปี 2550 ที่ชาวนาขายได้คือ 5,500 บาทต่อตัน รัฐรับซื้อราคา 6,509 บาทต่อตัน ซึ่งเป็นราคาที่แตกต่างกันถึง หนึ่งพันกว่าบาท แต่ชาวนาต้องขายข้าวของตนเองออกไปเนื่องจากความขัดสนทางการเงินและปริมาณหนี้สินของครอบครัวที่มีอยู่เป็นจำนวนมากค่ะพี่ครูวุฒิ อีกทั้งหลังเก็บเกี่ยวเสร็จต้องเร่งขายข้าวทำให้ถูกหักความชื้น ราคาข้าวจึงตก ที่สำคัญ ชาวนาไม่สามารถเข้าถึงโครงการรับจำนำข้าวของรัฐที่ส่วนใหญ่มีตัวแทนจากหน่วยงานของรัฐและเอกชน นอกจากนี้ ชาวนาคนไหนที่เป็นหนี้กับธ.ก.ส. ธ.ก.ส.จะหักชำระหนี้ไว้เลยไม่มีทางได้ถือเงินจนกว่าจะไปกู้ใหม่ ชาวนาจึงไม่สามารถหลุดจากวงจรหนี้สินได้น่ะค่ะ้..เศร้านะคะ
ขอให้สิ่งที่พี่ครูวุฒิคิด - ทำ ประสบความสำเร็จทุกประการ บนเส้นทางที่ยาวไกลนี้นะคะ เอาใจช่วยและจะติดตามความก้าวหน้าด้วยความสนใจเป็นล้นพ้นเลยล่ะค่ะ
ท่าน เกษตร(อยู่)จังหวัด
นิโรธ
เมื่อ ส. 26 เม.ย. 2551 @ 17:54
สวัสดีครับน้อง เบิร์ด
น้องอ๊อต naree suwan
เอาเวปไซด์ธรรมะมาฝากครับ
สวัสดีวันวิสาขบูชาค่ะ ครูวุฒิ
* สบายดีนะคะ เปิดเทอมแล้ว ดีใจจัง
* นักเรียนเฮ จะได้ไปโรงเรียน คุณครูฮา ไม่ต้องเหงา
* แล้วงานนี้ จะเลื่อนไปเมื่อไหร่คะ ..
* จะตั้งหน้าตั้งตา รอชม ติดตาม และไปเยือนค่ะ
* ชื่นชม เชื่อมั่น และ ศรัทธา ขอบคุณค่ะ
สวัสดีครับคุณ poo
· อรุณสวัสดิ์ค่ะครูวุฒิ คุณครูใจเพชร
· พรุ่งนี้จะมีประชุมสพท. เขต 2 และ เขต 3 ที่อุทุมพรพิสัยค่ะ
· ช่วงนี้พี่น้องเค้ายุ่งกับการเตรียมพท. ลงนาจริงๆแหละค่ะ
· อาทิตย์หน้าต้องมีประชุมต่อที่กทม.
· ดังนั้นคงต้องรอให้หลังกลางเดือนหน้าไปเลยค่ะ
· แต่หากมีงานที่รร. วัดโคกเพชร รบกวนอ. ช่วยปชส. ด้วยนะคะ
· ทางหน่วยงานจะไปชมและเยี่ยมเยือนแน่นอน ขอบพระคุณค่ะ
· เป็นกำลังใจให้ครูนะคะ มีความสุขทุกโมงยามค่ะ