ธรรมะอันประเสริฐจากน้องสาว


 

เมื่อวานนี้ยามบ่าย แสงตะวันถูกบดบังด้วยเงาเมฆอันอึมครึม หยาดพิรุณร่วงหล่นริน กลิ่นแห่งดินฟุ้งขจร โยมน้องผู้เดินทางมาจากบ้านที่ห่างไกล พากายและใจพร้อมธรรมะยังพี่ชาย...

หลังจากที่น้องสาวได้เดินทางมาถึงยังวัดเพื่อปฏิบัติรักษาศีลอุโบสถเนื่องในโอกาสปิดภาคการศึกษา เมื่อวานนี้จึงได้มีโอกาสไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบกัน

ปีนี้น้องสาวเรียนจบปีสามแล้วกำลังจะเข้าปีสุดท้ายของการศึกษาในระดับปริญญาตรีที่คณะเทคนิคการแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก

ได้เห็นโทรศัพท์ ใจหายวั๊บ น้องเราเก่งจริง ๆ
น้องสาวเป็นเด็กสาววัยรุ่นที่ต้องยกย่องกว่าเก่งจริง ๆ เก่งเกินกว่าเด็กสาวไหน ๆ ในรุ่นเดียวกัน เพราะเมื่อวานระหว่างนั่งสนทนากันนั้นก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์ที่โยมน้องสาวใช้อยู่ นั่นมันโทรศัพท์เครื่อง “เก่า” ของเรานี่

“เก่า” จริง ๆ แถมโบราณอีกต่างหาก ถ้าเป็นเราคงเปลี่ยนไปแล้ว แต่นี่น้องสาวยังใช้อยู่ได้ เราเองที่ว่าแน่ยังต้องยอมแพ้น้องสาวเลยนะในข้อนี้
น้องสาวอดทนต่อกิเลสและการแข่งขันระหว่างเพื่อนในรุ่นเดียวกันได้อย่างน่าชื่นชมยิ่ง
เนื่องด้วยเพราะที่บ้านของเรานั้นขัดสนในเรื่องเงิน ดังนั้นมีโทรศัพท์ใช้โทรได้ก็บุญนักหนา นี่น้องสาวเรายังใช้โทรศัพท์มือสองเครื่องเดิมของเราที่เราใช้มากกว่าปี บวกเวลากับที่เราบวชอีกปีกว่า เครื่องนี้ก็น่าจะปาเข้าไปเกือบสามปี น้องสาวยังใช้โทรอยู่ได้อย่างไม่อายใคร

ถ้าเป็นเราเมื่อก่อนอายแทบซุกแผ่นดินหนีไปแล้ว คงต้องหาเงินซื้อใหม่ รบกวนเงินพ่อแม่ หรือไม่ที่เคยทำก็เก็บเงินซื้อเอง แต่แทนที่มีเงินจะแทนคุณพ่อแม่ เมื่อก่อนนี้เรากลับนำเงินไปซื้อโทรศัพท์เพื่อแข่งกับเพื่อน เมื่อเห็นโทรศัพท์น้องสาวในวันนี้ จึงรู้สึกอดสูใจจริงเชียว
เมื่อก่อนเรานี่แย่จริง ๆ นะ มีเงินก็ไม่ให้พ่อให้แม่ กลับไปซื้อของใช้ ซื้อโทรศัพท์ เพื่ออวดมั่งอวดมี “โชว์” เพื่อน สู้น้องสาวเราก็ไม่ได้ น่าสังเวชความโง่ของตัวเองซะจริง ๆ

เรื่องเสื้อผ้าของน้องสาวก็มิต้องพูดถึง ส่วนใหญ่ที่เห็นใส่ก็เป็นเสื้อคณะที่เขาเรียน เสื้อแฟชั่นอะไรก็ไม่มี หรือที่จะมีก็รับมรดกจากพี่สาว ชุดนักศึกษาน่ะเหรอ “โยมแม่ตัดให้” น้อยแล้วนะเด็กสมัยนี้ที่ยังใส่เสื้อตัดอยู่ เมื่อก่อนที่เราสอนหนังสืออยู่ ก็เห็นแต่เด็กไปหาซื้อเสื้อนักศึกษาแบบตามสมัยทันแฟชั่น เปลี่ยนกันอยู่ทุกสัปดาห์ น้องสาวเรานี่เก่งจริง ๆ นะ อยู่ในสังคมมหาวิทยาลัยแล้วยังสู้กับกิเลสและสิ่งเร้าจากเพื่อนฝูงได้ขนาดนี้

ตอนหัวค่ำมีโอกาสได้คุยกันอีกครั้งหนึ่ง น้องสาวเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง เราฟังแล้วถึงกับอึ้งและน้ำตาเล็ด เพราะตอนนี้น้องสาวใช้เงินใช้จ่าย ทั้งกินอยู่ ค่ากิจกรรม ค่าหนังสือ จากเงินกู้จากรัฐบาลเดือนละ “สองพันบาท”  โดยไม่ขอรับเงินจากทางบ้าน โยมแม่เคยเล่าให้ฟังว่า ให้เงินน้องสาว น้องสาวก็ไม่เอา บอกว่าเงินพอใช้แล้ว เพราะน้องสาวรู้ว่าทางบ้านลำบากอยู่ แตกต่างกับเรามาก เมื่อก่อนนะแม่ส่งเราให้อาทิตย์ละพัน น้องสาวเราประหยัดและอดทนได้ประเสริฐจริง เรานี่มันแย่มาก ๆ นะ แย่มาก แย่มาก ๆ

ตอนนี้ที่ให้โยมน้องสาวมาถือศีล อีกประการหนึ่งก็คือจะหาทางขยับขยายที่เรียนให้ในปีหน้า เพราะเขาจะจบปีสี่แล้ว

ครั้งหนึ่งเคยขอโอกาสปรึกษาองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ว่าจะให้โยมน้องสาวเรียนต่ออะไรดี ระหว่าง
เรียนต่อปริญญาโทสายวิทยาศาสตร์การแพทย์ กับย้ายมาเรียนหมอซึ่งมีหลักสูตร ๕ ปี (ยกเว้นการเรียนในปีแรกสำหรับเด็กที่จบปริญญาตรีบางสายแล้ว)


องค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ให้คำตอบว่า “ถ้ามีทางก็ให้เรียนหมอ เรียนหมอแล้วไม่ตกงาน พ่อแม่แก่เฒ่าลงไปก็จะได้ดูแล”

เป็นสิ่งที่ดีและประเสริฐยิ่ง แต่...
พ่อเราคงส่งไม่ไหว เพราะแค่นี้ทางบ้านกับน้องก็ลำบากกันมากแล้ว
ถ้าเรียนปริญญาโทต่อทางคณะวิทยาศาสตร์การแพทย์มีทุนให้สำหรับเด็กที่เรียนจบแล้วได้เกียรตินิยม น้องสาวนั้นถ้าทรงเกรดระดับนี้ไว้ได้อีกหนึ่งปีก็จะได้เกียรตินิยมอันดับ ๑ คงจะเข้าหลักเกณฑ์ของทุนเขา


แต่ถ้าเรียนหมอก็ต้องจ่ายค่าเทอมเอง อันนี้พ่อกับแม่เราก็ไม่ไหว ถึงไหวก็คงจะเหนื่อยหนัก เราก็เลยกราบเรียนองค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ว่า ถ้าโยมพ่อส่งไม่ไหว “เราก็จะออกไปส่งเอง”

ได้เจอ พบปะ พูดคุยกับน้องสาวแล้วได้ธรรมะอันประเสริฐยิ่ง
อันตัวเราว่าแน่แล้ว แข็งแล้ว มาเจอโยมน้องสาว ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ นั่นแน่กว่า แน่จริง ๆ เอาชนะกิเลสต่าง ๆ ได้ อดทนอย่างน่าชมเชยยิ่ง

ขอบคุณโยมน้องสาวที่มาสอนธรรมะจากความจริงและชีวิตจริงให้พี่ชายได้รับรู้และน้อมนำไปประพฤติและปฏิบัติตาม

สาธุ สาธุ สาธุ

คำสำคัญ (Tags): #ครอบครัว#ธรรมะ
หมายเลขบันทึก: 180424เขียนเมื่อ 3 พฤษภาคม 2008 17:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:01 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)
  • ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
  • ปริยัติอย่างเดียว คงไร้ปฏิเวธ
  • ปฏิบัติอย่างเดียว คงได้ปฏิเวธ
  • ปริยัติด้วย ปฏิบัติด้วย ได้ปฏิเวธแน่นอน แถมยังใช้เวลาน้อยด้วย
  • กราบ 3 หนครับ

ใช้จิตดูจิต

ดูซิว่าจิตเราปรุงไปถึงไหน (บ่วง,ห่วง)

การได้น้อมนำรอยเท้าที่ก้าวผิดพลาดมาพิจารณานั้นมีพลังอันทรงคุณค่าเหนือการอ่านและการฟัง

ขึ้นชื่อว่าห่วงหรือบ่วงอันเป็นที่ร้อยรัดแห่งกามและกิเลสวิญญูชนมีควรเข้าไปข้อแวะหรือตกหลุมพรางอันนั้น

แต่สิ่งที่วิญญูชนบุคคลที่ชื่อว่า "คน" พึงตอบแทนบุญคุณต่อมารดา บิดา อันเป็นบรรพบุรุษบุพการีชนนี้ไซร้เป็นหน้าที่ที่ "คน" จำเป็นต้องประพฤติและปฏิบัติ

มหาบุรุษที่ยิ่งใหญ่ จะเป็นไม่ได้เลยถ้าขาดไซร้ซึ่งความกตัญญู

ตอบแทนคนทั้งปวง ทำงานเพื่อคนทั้งโลกได้ แต่ขาดไซร้การทำงานเพื่อพ่อแม่ แน่แท้มิใช่มหาบุรุษที่แท้จริง

เป็นเรื่องเล่าที่น่าประทับใจมากพระคุณเจ้า กับน้องสาวที่แสนดี

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท