แนวทาง..ปฏิรูปการศึกษาชาติ (ไทย) ให้สำเร็จ
สุกรี เจริญสุข มติชน วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2554 น.7
เผ้าติดตามการปฎิรูปการศึกษาไทย ก็อยากมีส่วนร่วมแสดงความเห็นบ้าง
เท่าที่คิดได้ พอมีแนวทางอยู่ จึงขอเสนอแนะในเบื้องต้นมา 2 แนวทางแรกแนวทางแรก ให้ลดทอนอำนาจของกระทรวงศึกษาธิการลง
1. โดยการลดจำนวนคนลงจาก 5000 ถึง 6000 คน ใ้ห้เหลือเพียง 500คน
ให้เหลือเฉพาะเจ้าหน้าท่ ซึ่งเป็นผู้กำกับนโยบาย โดยมีฝ่ายการเมือง
ฝ่ายเลขานุการและเสมียนเท่านั้น ส่วนบุคลากรที่เหลือทั้งหมดให้ส่งไป
ประจำการ ที่โรงเรียนขาดแคลนครูทั้งหลายในชนบท ให้ข้าราชการ
กระทรวงศึกษาธิการย้ายกลับภูมิลำเนา โดยให้รับเงินเดือนเดิม โรงเรียน
ทั้งหลายก็จะได้ครูที่มีความรู้ความสามารถสูง ครูที่มีสวัสดิการและรายได้สูง
ทำให้ครูเก่ง ๆ ที่มีความพร้อมที่จะสอบเด็กและสามารถสร้างความเจริญของ
ชาติได้2.ลดเงินงบประมาณด้านบริหารจัดการ ให้ส่งเงินงบประมาณ(ทั้งหมด) ไปยัง
โรงเรียนและชุมชนโดยตรง ให้งานเสมียนและฝ่ายเลขานุการไปอยู่ทีโรงเรียน3.ลดอำนาจการบริหารจัดการ ให้อำนาจการบริหารจัดการและนโยบายย่อย
ไปอยู่ที่ชุมชนและโรงเรียน ให้โรงเรียนและชุมชนบริหารจัดการด้านต่าง ๆเอง
บริหารบุคลากรครู นักเรียน งบประมาณ ทิศทาง มาตรฐานการศึกษาและคุณภาพ
การศึกษา4.ยุบ สภาการศึกษา ยุบสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) และให้ยุบสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์กรมหาชน) โดยให้ชุมชนและสังคม เป็นผู้ควบคุมคุณภาพและการประกันคุณภาพเอาเอง
กรุณาอย่าเป็นห่วงว่าจะไม่มีคุณภาพ เพราะวิธีที่ทำอยู่ทในปัจจุบันก็ไม่มีคุณภาพ
อยู่แล้ว เพราะเชื่อว่า ทุก ๆชุมชน่างก็อยากได้โรงเรียนของชุมชนที่ดี เมื่อชุมชน
มีเงินก็สามารถที่จะใช้ทรัพยากร(เงิน) เพื่อหาคนเก่งคนดีมาเป็นครูในโรงเรียน
เมื่อโรงเรียนมีทรัพยากร เงิน โอกาส คน อำนาจ ในการบริหารจัดการ และมีสาธารณูปโภคที่พร้อม ทุกโรงเรียนและทุกชุมชนก็จะทำให้ิ่สิ่งที่ดีที่สุด
ให้เกิดขึ้น อย่าลืมว่าจะมีเงินอีกจำนวนมหาศาล เมื่อยุบองค์กรทางการศึกษาลงสำหรับมหาวิทยาลัยทั้งหลายนั้น ให้ยุบสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษาได้เลย
และยกอำนาจทั้งหมดให้กับสภามหาวิทยาลัยเป็นผู้ตัดสิน งบประมาณนั้น มหาวิทยาลัยก็ประสานงานโดยตรงกับสำนักงบประมาณ โอนทรัพย์สินทั้งหลาย
ของสำนักงานกาอุดมศึกษาให้กับมหาวิทยาลัยทั้งหลายไป บริหารบุคลากรและทรัพยากรที่อยุ่ในส่วนกลางทำหน้าที่บริหารการศึกษานั้น
เป็นข้าราชการระดับสูง มีการศึกษาสูง มีเงินเดือนสูง และมีสวัสดิการที่ดี
แต่ในความเป็นจริงนั้น คนเหล่านั้นทำหน้าที่เป็นเสมียนทางการศึกษา
ไม่ได้ทำหน้าที่ในการหน่วยผลิตบุคลากรหรือการสร้างคน ในทางกลับกัน
ครูที่อยู่ในโรงเรียนชนบทเป็ฯครูที่มีความรู้น้อย เงินเดือนน้อย สวัสดิการน้อย
ทำงานมาก และเป็นผู้ที่อยู่ในฝ่ายผลิตคนดังนั้นในการปฏิรูปการศึกษาจำเป็นจะต้องสลับบุคลากรและสลับทรัพยากร
ให้คนเก่ง คนที่มีความสามารถ คนที่ใช้เงินเยอะไปอยู่ฝ่ายผลิต และให้ที่มี
คุณภาพต่ำ การศึกษาน้อย สวัสดิการน้อย และัมีความรับผิดชอบน้อย มาอยู่
ในตำแหน่งเสมียนแทน ก็พอจะเห็นเป็นแนวทางในการปฏิรูปการศึกษาสิ่งสำคัญที่ควรปฏิรูปเรื่องที่สอง ก็คือ ยกเลิกหลักสูตรครูปริญญาตรี ที่
มหาวิทยาลัยทั้งหลาย ที่เปิดสอนหลักสูตรการศึกษาบัณฑิต ศึกษาศาสตรบัณฑิต และยกเลิกหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิตเพราะหลักสูตรเหล่านี้เป็นหลักสูตรที่ดีสำหรับประเทศไทยเมื่อ 50 ปีมาแล้ว
(2500 - 2549) เพื่อสอนให้เด็กอ่านออกเขียนได้ แปลว่าเป็นหลักสูตรสร้าง
ให้เป็น ครูโหล ๆ ซึ่งหลักสูตรเหล่านี้เป็นหลักสูตรที่ล้าสมัยเสียแล้ว เมื่อ
เปรียบเทียบกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมปัจจุบันปัจจุบันประเทศเปลี่ยนไป มีการพันาทางการศึกษาและคนที่ีฝีมือไปมากแล้ว
ประเทศต้องการสร้างครูเฉพาะทางเป็นครูที่มีฝีมือ รู้จริงและรู้แจ้งมากว่าที่
จะรู้อะไรก็ไม่รู้(รวมทั้งไม่รู้แล้วชี้ และไม่รู้ไม่ชี้) ประเทศต้องการคนรู้เป็นผู้ชี้ ต้องการครูที่มีอุดมการณ์ ครูที่มีีประสบการณ์ และต้องการครูที่มีอำนาจทางวิชาการมหาวิทยาลัยควรให้ความสำคัญทางด้านศิลปศาสตร์ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์
ศิลปกรรมศาสตร์ อักษรศาสตร์ เกษตรศาสตร์ คณิตศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ บัญชี ฯลฯ ซึ่งวิชาเหล่านี้เป็นเนื้อหาสาระและแหล่งของความรู้
แล้วให้คนที่จบสาขาเหล่านี้มาเรียนรต่อในวิชาครู ในหลักสูตรการศึกษา คบ.
ศษ.บ. กศ.บ. ครูก็จะมีความรู้จริง มีวิธีการสอนที่ดี มีปริญญาที่สูงขึ้น และมีรายได้ที่เหมาะสมที่จะอยู่ในสังคมได้อย่างสง่างามเท่าที่คิดได้ 2 เรื่องนี้ที่ควรปฎิรูป เพราะทั้ง 2 เรื่องก็ทำได้ยากอยู่แล้ว ยังไม่ต้อง
ไปคิดเรื่องที่ 3 - 4 แต่ขอร้องอย่าไปถามคนที่ทำไม่ได้ (อย่าถามทางกับคนตาบอด) คนที่ไม่ีมีความสามารถ คนที่ไม่รู้ อย่าไปถามผู้ที่
เสียผลประโยชน์ เพราะคนเหล่านี้จะรวมหัวกันคัดค้านด้วยเหตุผลต่าง ๆ มากมาย
คนเหล่านี้ใช้สมอง (ความรู้และเหตุผล) ในการตัดสินปัญหามากเกินไป แต่คน
เหล่านี้ไม่คิดว่า หัวใจ ต่างหากที่จะเป็นผู้ตัดสินใจว่า อะไรทำได้ หรืออะไรทำไม่ได้ และอย่าลืมว่าเป็นการเสียเวลาเปล่า ๆ ที่จะไปถามคนที่ทำไ่ม่ได้ แถมยังพูดมาก และมีความเห็นมากอีกต่างหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาชาติทั้งหลายในปัจจุบัน ทำงาน เสมียน
ด้วยกันทั้งสิ้น ทำานประชุม ทำงานเอกสาร ทำงานวัดผล ทำรายงาน ตรวจกระดาษ เป็นผู้อำนวยการกองกระดาษ ใช้เงินจำนวนมากกับงานเสมียนฯลฯ
งานเสมียนเหล่านี้เป็นเพียงองค์ประกอบที่จะพัฒนาการศึกษา แต่ครูซึ่งเป็น
หัวใจของการศึกษาชาติ กลับไม่ได้รับการพัฒนา ไม่ได้รับการสนับสนุน รัฐบาล
กลับไปให้ความสำคัญและให้การสนับสนุนงานเสมียน ให้เติบโต ยิ่งใหญ่กว่างานครู ซึ่งเป็นงานหลักผู้เขียนเห็นว่า การปฏิรูปการศึกษาเพียง 2 เรื่อง ก็เพียงพอสำหรับสำหรับชาตินี้
(10-20 ปีข้างหน้า) ไม่ต้อไปทำอย่างอื่นให้เสียเ่วลา เมื่อโรงเรียนและชุมชนใด ๆ
มีความพร้อมทางด้านไหน เขาก็สามารถที่จะพันาให้โรงเรียนใุนชุมชนของเขา เพื่อความต้องการของชุมชนเองได้อยู่แล้ว และขอให้ทุกคนโชคดีจุ๊ จุ๊...คนที่รู้ตัวว่าทำไม่ได้ให้ถอยออกไป
เรียนท่านอาจารย์
ทราบว่า อ.สุกรี เจริญสุข เป็นคณบดีทางด้านการดนตรี
อยู่ที่มหิดลนะครับ
เก่งมากและชื่นชม
ขอบคุณทุกท่านที่คอมเมนต์ครับ
ขอบคุณอาจารย์ที่แนะนำให้มาอ่าน
เรื่องราวเหล่านี้ผมได้เคยคุยกับ อ.สุกรีมาเหมือนกัน ไม่คิดว่าท่านจะเขียนด้วย มันส์ จริง ๆ