ผู้เขียนฟังการพิจารณามาตั้งแต่เริ่มแรก เพราะไม่จบง่าย พักหลังก็เลยฟังบ้าง หลับบ้าง และเปิดให้มีเสียงเป็นเพื่อนบ้าง... ประมาณนั้น
ตามนัยตรรกศาสตร์ มีประเด็นเรื่อง การให้เหตุผลที่พิจารณาในแง่เนื้อหา (Argumentation Materially Considered) ซึ่งจำแนกการศึกษาเป็นหลายนัย... นัยหนึ่งก็คือ การให้เหตุผลแบบวาทศิลป์ (Rheterical Argumentation) ซึ่งจำแนกออกเป็น ๓ แบบ กล่าวคือ
แบบการเมือง เป็นการพูดหรือการเขียนที่หวังผลในอนาคต ซึ่งปัจจุบันนี้ รายการวิทยุโทรทัศน์ การโพสต์ตาม web ต่างๆ หรือการผลัดกันขึ้นไปพูดของกลุ่มกดดันทางการเมืองตามสถานที่ต่างๆ เช่น สนามหลวง เป็นต้น ต่างสงเคราะห์อยู่ในแบบนี้
แบบพิธีรีตอง เป็นการพูดหรือการเขียนที่หวังผลในขณะนั้น เช่น การกล่าวหรือการอ่านรายงานในที่ประชุม การกล่าวต้อนรับ การกล่าวปิดประชุม หรือการแสดงธรรมเทศนา เป็นต้น ต่างสงเคราะห์อยู่ในแบบนี้
แบบพูดในศาล เป็นการพูดหรือการเขียนที่หวังผลในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และคดียุบพรรค ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่นี้ จัดเป็นตัวอย่างได้ดี
สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตนั้น รู้เพียงบางคน มีหลักฐานเพียงบางอย่างเท่านั้น กล่าวคือ ไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริงหมดทุกอย่าง และไม่สามารถย้อนรอยกลับไปในอดีตได้... แต่เมื่อต้องการอ้างเหตุผลเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงเหล่านั้น ในทางตรรกศาสตร์เรียกว่า วาทศิลป์แบบการพูดในศาล
คดียุบพรรคก็เช่นเดียวกัน ฝ่ายผู้ร้อง และผู้ถูกร้อง ต่างก็ใช้เหตุผล ตุลาการก็ใช้เหตุผล ซึ่งผลการตัดสินจะเป็นไปอย่างไรก็ตาม...
แต่ นักตรรกศาสตร์ถือว่า ความจริงต้องมีเหตุผล แต่เหตุผลมิใช่ความจริง
small man |
...ประมาณนั้น...
เจริญพร
ผมขอพูดในทัศนรัฐศาสตร์ การเมือง ต้องกฎระเบียบที่ชอบของสังคมที่มีหลักธรรมมะครองใจ คดียุบพรรคการเมืองเพื่อสนองหลัก กฎระเบียบสังคมในยุคพวกหนึ่งแต่พวกหนึ่งไม่ต้องการ เพราะวัฒนธรรมความเชื่อของคนในสังคมไทยแยกไป 3 ระดับที่ชัดเจนคือ 1.สังคมชนชั้นสูง 2.สังคมคนชั้นกลางและ3.สังคมคนชั้นรากหญ้า
หมายเลขหนึ่งคุณลักษณะ ชอบเป็นนายคนเคารพศักดิ์ศรีตนเองมาก มีทรัพย์มากต้องการความสะดวกสะบาย ชอบส่วนตัวไม่อยูใต้อำนาจใคร ฯ
หมายเลขสองคุณลักษณะ ชอบสอพลอ สะดวกสะบาย ทรัพย์พยายามหาเพิ่มทุกวิถี เพื่อขึ้นระดับหนึ่ง ศักดิ์ศรีไม่มาก ชอบพวกมากลากไป สำนึกดีมีตามกระแส ใช้จ่ายสูง โลภจริตมากฯลฯ
หมายเลขสามคุณลักษณะ ชอบใช้จ่ายไม่คิดหน้าคิดหลัง ปล่อยชีวิตไม่มีหางเสือ สนุกกับการเสพ (อบายมุก สม) เป็นลูกน้องไม่ยุ่งกับใคร สอพลอ โออวด ไม่คิดอะไรรอบคอบ รายได้น้อย ฯลฯ
สังคมไทยมีคน 65 ล้านกว่าแล้วผู้มีสิทธิการเมืองสามารถไปเลือกตั้งได้ประมาณ 40 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นคนประเภท 2และ 3เท่ากับ 80% หนทางการกระผิดมากสูงจึงต้องยุบพรรคนั้นแหล และต้องมีอีก เพราะทุกพรรคจะไม่มีคนดี(บริสุทธิ์อยู่)ที่จับไม่ได้เพราะกระแสหมายเลขหนึ่งให้ท้าย ส่งเสริม ควบคุมอยู่ นี่แหละชาติไทยตามจริงครับท่าน