มหาวิทยาลัยในอเมริกา เมื่อสิ้นปีการศึกษาถึงช่วงรับปริญญาประเพณีที่ทำมานานคือ “การกล่าวสุนทรพจน์” จากผู้ที่มีชื่อเสียงที่ได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัย ผมมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่ง เขาเพิ่งสำเร็จการศึกษาจากอเมริกามาไม่นาน เขาเล่าให้ผมฟังถึงสุนทรพจน์ที่เขาได้ฟังในวันรับปริญญา เขาบอกว่าที่อเมริกาถือว่าเป็นโอกาสที่พิเศษช่วงหนึ่งที่ทางมหาวิทยาลัยจะเลือกเฟ้นบุคคลที่มีชื่อเสียงในหลากหลายวงการ หรือไม่ก็เป็นบุคคลที่คนทั่วไปในมหาวิทยาลัยรู้จัก ที่สำคัญบุคคลคนนั้นต้องพิเศษในโอกาสปัจฉิมกถาครั้งสำคัญก่อนที่บัณฑิตจะก้าวเท้าเดินย่ำออกไปบนถนนชีวิต
เปรียบ “การกล่าวสุนทรพจน์” เป็นเหมือน “วิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน” ศาสตร์ที่เป็นความรู้ฝังลึกผ่านประสบการณ์ของบุคคลจึงเป็นเสมือนกุญแจไขประตูให้นักเดินทางที่เตรียมพร้อมจะเดินสู่โลกภายนอก ได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ของผู้กล่าวสุนทรพจน์ผ่านการเล่าความในระยะเวลาที่กำหนดไว้...และนั่นเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่า ที่ไม่ควรพลาดของบัณฑิตที่ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอยว่า “ใคร” จะมาเป็นผู้กล่าวสุนทรพจน์ในวันรับปริญญาของพวกเขา
Steve Jobs ผู้ก่อตั้ง ประธานกรรมการและซีอีโอโอของบริษัทแอปเปิ้ล ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่ Stanford University เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๔๘ ผมอ่านทบทวนเนื้อหาสุนทรพจน์นี้หลายรอบ ข้อความที่ประทับใจผมมากคือประโยคที่สตีฟ กล่าวว่า “ความสำนึกว่าผมจะต้องตายในไม่ช้าเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดที่ผมรู้จัก ที่ผมใช้ในการตัดสินใจสำคัญๆของชีวิตเพราะเกือบทุกสิ่งทุกอย่าง...ล้วนไม่มีความหมายอะไรเลยเมื่อเทียบกับความตาย เหลือเพียงสิ่งสำคัญจริงๆเท่านั้น มรณานุสติเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ผมรู้” สตีฟบอกถึงความเป็นจริงของชีวิตที่เราต้องยอมรับดังนั้นเราต้องไปข้างหน้า ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำตามที่ใจเราต้องการ สุดท้ายเขาฝากประโยคหนึ่งที่เป็นคติประจำใจของเขามาโดยตลอด “อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ” (Stay Hungry. Stay Foolish.) อวยพรให้น้องๆที่จะเดินออกนอกรั้วมหาวิทยาลัย สิ่งที่ผมได้จากการอ่านสุนทรพจน์ของ Steve Jobs การพูดถึงการย้อนกลับมามองดูตัวเองเมื่อเวลาล่วงผ่านไปถึงจะมองเห็นเขาให้เราคิดถึงการเชื่อมจุด “การรักที่จะเรียนรู้” และในที่สุดผลของความรักในความรู้จะเป็นทุนที่แฝงไว้เป็นเสบียงของชีวิต
ที่ Harvard University ในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๐ บิลเกตส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ บริษัทซอฟต์แวร์ที่มีคนใช้ผลิตภัณฑ์มากที่สุดในโลก ในวันที่เขากล่าวสุนทรพจน์เป็นวันที่เขาได้รับปริญญาเอกกิติมศักดิ์จากฮาวาร์ดในปี ๒๕๕๐ นั่นเอง ในตอนหนึ่งในสุนทรพจน์ เขากล่าวถึงการฝ่าฟันความซับซ้อนเพื่อหาวิธีแก้ไขปัญหามีทั้งหมด ๔ ตอน กล่าวคือ การกำหนดเป้าหมาย การหาวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุด การหาเทคโนโลยีในอุดมคติสำหรับวิธีนั้นๆ และการนำเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วที่เหมาะสมกับสถานการณ์มาใช้ก่อน ในเนื้อหาที่เขากล่าวถึงวิธีการแก้ไขปัญหานี้ เขาได้คิดถึงการดูแลสุขภาพที่ผู้คนในโลกต้องเจ็บป่วยล้มตายกับโรคที่ป้องกันได้
เขาบอกต่ออีกว่า “การบรรลุเป้าหมายด้านการป้องกัน แปลว่าเราจะต้องสร้างวงจรสี่ขั้นตอนขึ้นมาใหม่นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า สิ่งสำคัญที่สุดคือ เราต้องไม่หยุดคิด หรือหยุดทำงาน”
อย่าปล่อยให้ความซับซ้อนหยุดคุณไว้กับที่
จงทำตัวเป็นนักเคลื่อนไหว
จงต่อกรกับความไม่เท่าเทียมอันร้ายกาจ
การทำแบบนี้จะกลายเป็นประสบการณ์อันยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่งในชีวิตคุณ
ทั้งสองผู้มีชื่อเสียงในระดับโลกกับสุนทรพจน์ที่สร้างพลังจากข้างในเชื้อเชิญให้ บัณฑิตใหม่ก้าวเดินสู่โลกภายนอก ด้วยวิชาสุดท้าย ก่อนที่พวกเขาจะเรียนรู้ด้วยตนเองพร้อมกับทำการบ้านในวิถีชีวิตจริงของแต่ละคน
หนังสือแปลเล่มนี้บรรจุ “วิชาสุดท้าย” ที่มีคุณค่ายิ่ง เป็นวิชาที่เคี่ยวกรำผ่านประสบการณ์ของผู้กล่าวสุนทรพจน์ น่าสังเกตว่าบรรดาผู้ที่ได้รับคัดเลือกกล่าวสุนทรพจน์ทั้งหมด เล่าเรื่องราวผ่านความล้มเหลวของพวกเขา อย่างภูมิใจเพราะความล้มเหลวที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนการสอบเลื่อนชั้น ในที่สุดบทเรียนเหล่านั้นผลักให้พวกเขามาถึงจุดนี้ และวันนี้พวกเขาได้รับการคัดเลือกมากล่าวสุนทรพจน์
ที่ยกมาเล่าทั้งหมดเป็นการเล่าถึงบทแรกและบทที่สองของหนังสือแปลเล่มนี้เท่านั้น แต่ภายในเล่มยังบรรจุสุนทรพจน์ดีๆ อ่านแล้ว “กินใจ” ผู้อ่าน สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ฟัง นอกจากสองผู้ยิ่งใหญ่ Steve Jobs และ Bill Gates แล้วยังมีสุนทรพจน์ของ David Foster Wallace นักเขียนชื่อดัง จากนวนิยายขนาดยาวเรื่อง Infinite Jest (การล้อเลียนไม่มีที่สิ้นสุด) Russell becker นักเขียนแนวเสียดสีชาวอเมริกัน โด่งดังจากหนังสืออัตชีวประวัติเรื่อง Growing Up และคอลัมภ์ “Observer” ในหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์ก ไทมส์ และ Bono หรือ พอล เดวิด ฮิวสัน นักร้องนำและนักแต่งเพลงประจำวงร็อคดังสัญชาติไอริช และอีกหลายท่านที่โด่งดังเป็นที่รู้จักในระดับสากลที่เก็บรวบรวมสุนทรพจน์ไว้ในหนังสือเล่มนี้
เป็นความจริงข้อหนึ่งที่เราต้องยอมรับในระบบการศึกษาว่าไม่ได้เป็นทั้งหมดของต้นทุนชีวิต และมหาวิทยาลัยไม่ได้สอนสูตรสำเร็จทั้งหมด เพื่อค้นหาความหมายของชีวิตหรอก การศึกษาเป็นเพียงสะพานโยงให้ถึงอีกฟากหนึ่ง และการศึกษาในโรงเรียนชีวิตของเราจะเริ่มต้นได้จริงก็ต่อเมื่อผ่านพ้นวันรับปริญญาไปแล้วเท่านั้น หลังจากนั้นเราก็จะต้องเดินทางต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งจวบจนวันตาย
หนังสือที่นักศึกษาทุกคนควรอ่านก่อนสำเร็จการศึกษา
หนังสือที่คนทำงานทุกคนควรอ่านเพื่อสำรวจชีวิตที่ผ่านมา
หนังสือที่ผู้บริหารทุกคนควรอ่านเพื่อทบทวนเวลาที่ผ่านเลย
สุดท้ายขอจบด้วยบทคัดย่อจากเว็บ onopen.com เพราะเห็นว่าเป็นการสรุปความที่กระชับและเหมาะสมที่สุด
“หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เหมาะสำหรับนักศึกษาเท่านั้น หากแต่ประสบการณ์ชีวิตของผู้ที่ได้รับเชิญมาแต่ละท่าน เมื่อได้อ่านแล้วยังทำให้คนทำงานได้มีโอกาสทบทวนและแสวงหาความหมายของการมีชีวิตได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ๆ เช่นทุกวันนี้”
วิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน
โดย สฤณี อาชวานันทกุล แปลและเรียบเรียง
พิมพ์ครั้งที่ ๒ สำนักพิมพ์ openbooks ,ราคา ๑๖๕ บาท
อ้างอิงภาพ :
http://manishxing.wordpress.com/2008/03/28/steve-jobs-us-500-million/
http://www.uweb.ucsb.edu/~phil-jp/
ทุกสิ่งทุกอย่าง...ล้วนไม่มีความหมายอะไรเลย เมื่อเทียบกับความตาย เหลือเพียงสิ่งสำคัญจริงๆเท่านั้น มรณานุสติเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ผมรู้
น่าจะเป็นความจริงนะคะ เพราะอะไรจะมีความหมายมากไปกว่าความตาย
น่าสนใจมาก ดังนั้น เราอยากทำอะไร ก็ควรรีบลงมือทำก่อนจะสาย
เราลองฝึกตายก่อนตาย จะทำให้เราคิดได้ว่า เราจะต้องจัดการอะไรบ้าง
ขอบคุณครับพี่ แก้ว..อุบล จ๋วงพานิช
เป็นเรื่องราวน่าทึ่งนะครับที่ steve Jobs เขาเล่าถึง มรณานุสติ และเขาใช้วิธีคิดแบบนี้เร้าพลังในตนเอง เพื่อทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่
“อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ” (Stay Hungry. Stay Foolish.)
สวัสดีครับมาทักทายครับ
ขอบคุณครับที่นำเสนอ “การรักที่จะเรียนรู้”
ผมว่าทุกสิ่งที่เราเห็น ได้ยิน ได้ฟัง
ได้คิด ศึกษาและนำกลับไปทบทวน
พัฒนาและทำใหม่ที่ดียิ่งขึ้น
ทำให้....มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น
อย่าปล่อยให้ความซับซ้อนหยุดคุณไว้กับที่
จงทำตัวเป็นนักเคลื่อนไหว
จงต่อกรกับความไม่เท่าเทียมอันร้ายกาจ
การทำแบบนี้จะกลายเป็นประสบการณ์อันยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่งในชีวิตคุณ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ เราต้องไม่หยุดคิด หรือหยุดทำงาน”
(แต่ผู้นำต้องหยุดฟังความคิดเห็นของประชาชนด้วย
เพราะเขาเป็นเสียงสะท้องของการปกครอง....)
สวัสดีค่ะ แวะมาทักทายอ่านเรื่องราวดีๆค๊า อิอิ
สวัสดีครับ
แวะมาเยี่ยมครับ
ผมว่า คนหลายคนทำทุกอย่างเหมือนกัน แต่ก็อาจจะสำเร็จได้ไม่เท่ากันครับ สำหรับผมจึงพยายามจะย้ำกับตัวเองว่า ผมภูมิใจที่ได้ทำได้พยายามกับมัน มากกว่าที่จะภูมิใจกับความสำเร็จ ออ. หรือว่า ยังหาความสำเร็จไม่เจอเลยก็ได้ ฮิฮิ
รักษาสุขภาพด้วยนะครับ
เอามาให้อิฉาเล่นๆ
ฮ่าๆๆๆ
ใช่ครับ การเรียนไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องสี่เหลี่ยมเท่านั้น ดลกกลมๆใบนี้ เปิดกว้างสำหรับการแสวงหาอยู่เสมอ และผมคิดว่าผมโชคดีที่ได้มีโอกาสเรียนรู้นอกห้องเรียน และได้พบเจอสิ่งที่ดีดีในแต่ละวันจากที่นี่เช่นกัน ขอบคุณครับ
สวัสดีครับครู โย่ง
ตามหลังคนพลัดถิ่น มาเรียนรู้กับครูด้วยครับ
Swasdee Krub,
I also have the opportunity to review Steve Jobs gave a speech at Stand Ford. I really appreciate with his speech, especially, "Stay Hungry...Stay Foolish" I think we can use this speech for listening class. It not too difficult to understand and this speech can help students think what they have already done and what they need to do in the future. This speech could encourage them to make their life more meaningful.
Thanks,
Kru Watt
สวัสดีครับ อ.ประเสริฐ ศรีแสนปาง
speech ของ Steve Jobs สากลมากครับ และเรื่องราวที่กล่าวออกไป ล้วนแล้วแต่มองโลกในอีกระดับหนึ่ง เป็นภูมิปัญญาบูรณาการ
ผมไม่รู้ว่าเขานับถือศาสนาอะไร แต่ประทับใจที่สตีฟใช้ "มรณานุสติ" กำกับจิตใจ และสร้างแรงพลังในการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่
อย่าทิ้งความกระหาย และอย่าคลายความเชื่อ"Stay Hungry...Stay Foolish"
speech ชุดนี้ให้อะไรกับผมมากครับ อ่านทบทวนซ้ำไป ซ้ำมา อีกทั้งผมต้องเขียนต้นฉบับแนะนำหนังสือเล่มนี้ส่งโรงพิมพ์ด้วยครับ จึงถอดออกมาจนได้
เพียงแค่โปรยๆเท่านั้นนะครับ คิดว่าผู้อ่านคงอยากไปซื้อหาอ่านบ้าง
ขอบคุณอาจารย์ประเสริฐมากครับ นานพอสมควรแล้วนะครับ ที่ไม่ได้เห็นอาจารย์ ...
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ น้องกล้วยแขกกล้วยแขก~natadee
เมื่อวานได้ไปเฮฮา ชาบู ชาบู กับแกงค์หน้าตาดีหรือเปล่าครับ แต่ผมวาสนาอักเสบ หน้าตาดีหลบใน ต้องเฝ้าที่ทำงาน อดเจอน้องกล้วยแขกเลย
สวัสดีครับ น้องโย่งครูโย่ง หัวหน้า~ natadee
น่าอิจฉามากครับเรื่องเมื่อวาน ผมไม่ทันจริงๆ
ชมว่าผม "เสียงหล่อ" แต่ตัวจริงก็ขอบอกว่าหล่อสุดๆนะครับ(จะบอกให้)
อิจฉาที่ครูโย่งได้กอด blogger หลายท่านเลย
มีความสุขจนล้นจอเลยครับผม
ดีใจที่ได้คุยทางโทรศัพท์กับ พี่ครูปู น้องโย่ง และน้องอ้อมครับ
สวัสดีครับ น้องโย่งครูโย่ง หัวหน้า~ natadee
เอ...น้องอ้อม มาจากไหนนี่ แก้ไขครับ น้องก้อย ครับ น้องก้อย คนสวยๆน่าตาดีๆครับ
น้องก้อย
น้องก้อย
น้องก้อย
น้องก้อย
(ท่องๆๆ)
สวัสดีตอนเช้าครับ คุณจตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
ที่จริงแล้วผมได้ติดตามอ่านบันทึกดีๆของคุณจตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร มาตลอด
เพราะพี่สาวคนหนึ่งขอผมแนะนำบล็อกของคุณจตุพร ว่าเป็นบล็อกที่น่าสนใจ
ต่อการเรียนรู้มากๆ อีกบล็อกหนึ่งครับ แต่ก็ยังไม่ได้มีโอกาสแนะนำตัว
วันนี้เลยถือโอกาสเลยนะครับ แล้วจะมาติดตามอ่าน แล้วเอาสิ่งดีๆไปใช้อีกนะครับ
มีความสุขในวันหยุดนะครับ
ตื่นเช้ามา หิวแล้วคุณ
เฮ้อ... อิ่มจัง ตั้งแต่เมื่อวาน
เป็นไรไม่รู้เน๊อะ พวกเรา
อิอิ
สวัสดีครับ pa_daeng [มณีแดง คนสวย แซ่เฮ]
อย่างที่เขียนไว้ในบันทึกครับ โรงเรียนก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ อีกแหล่งจากโรงเรียนพ่อแม่ และจากนั้นเราก็ต้องก้าวเดินต่อด้วยการเรียนรู้ชีวิตนอกห้องเรียน อย่างไม่หยุดยั้ง
บทบันทึกนี้เป็นต้นฉบับ ส่งวารสารครับ คอลัมภ์ หนังสือชวนอ่าน ผมจึงนำมาโพสให้ที่ gotoknow อ่านก่อนครับ
สวัสดีครับ จารุวัจน์
หากได้เริ่มต้นทำ ก็เท่ากับว่าเราได้เรียนรู้ จะเรียนรู้ได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ การรักการเรียนรู้ และมุมมองต่อสิ่งนั้น..
ให้กำลังใจนะครับ
สวัสดีครับ น้องครูโย่ง
น่าเสียดายครับ เห็นภาพบรรยากาศดีๆแล้ว ผมกลับไม่ได้ไปพบ พี่ น้อง น่าตาดีทั้งหลาย ได้ยินแต่เสียง แต่ไม่วายมีบางคนอำผม เวลาผมโทรศัพท์ไป...ช่างทำกันได้
สวัสดีค่ะคุณเอก
สวัสดีครับคนพลัดถิ่น
ผมเองก็ยินดีเช่นเดียวกันครับ ที่ผมพบคุณคนพลัดถิ่น ข้างในนี้ ยินดีครับสำหรับการเรียนรู้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
สวัสดีครับ บังหีม ยินดีต้อนรับครับผม มีโอกาสคงได้ไปทักทายบังถึงพัทลุงนะครับ พอดีได้คุยกับเพื่อนดิเรกแล้วบอกว่ารู้จัก บังด้วย
สวัสดีครับ อ.Thawatchai Netinitiwattanapong
ยินดีอย่างยิ่งครับที่มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ครับ เรื่องราวสุนทรพจน์ หลายเรื่องราวมีความหมายที่เป้นสากล นำมาขบคิด และเรียนรุ็กับชีวิตเราได้
สวัสดีครับ อ.สุรชัย เพชรวงษ์
ยินดีมากครับ ที่ทราบว่าได้ติดตามบันทึกผมมาโดยตลอด ผมก็พยายามจะเค้นเอา tacit K บ้าง หรือไม่ก็ ประสบการณ์จากสนาม มาเขียนเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
มีอะไรสามารถแลกเปลี่ยนกันได้เสมอๆครับ
ยินดีมากๆครับ มีโอกาสไปนครฯ ทักทายผมด้วยนะครับ
สวัสดีครับ คุณปรีด์ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม
ตื่นมาหิว ก็ไปทานข้าว หรือไม่ก็อ่านบันทึกผมก็อิ่มแล้วนะครับ :)
ขอบคุณกำลังใจที่ดีจาก ท่าน ผอ. นายประจักษ์~natadee มากๆครับ
ขอบคุณพี่ เกศนี บุณยวัฒนางกุล สุนทรพจน์บางตอน บางประโยค ใช้เป็นแรงบันดาลใจได้ดีมากครับ
ฝากไว้ก่อนเถอะ ครูปู~natadee t'ซู๊ด มาเยาะเย้ย อิอิ...t who t it (ทีใครทีมัน)
กราบนมัสการท่าน tukkatummo ครับ
บันทึกนี้เป็นต้นฉบับที่ผมเขียนเพื่อส่ง สนพ. ครับ พอดีผมรับผิดชอบคอลัมภ์ที่เกี่ยวกับการแนะนำหนังสือ
เลยนำสิ่งดีๆมาให้คนใน โกทูโนว์ อ่านก่อนใครๆครับผม
กราบครับ
กำลังอ่าน เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากหนังสือชื่อ "การปล่อยวาง-ข้อคิดจากการดำรงชีวิตขณะเผชิญความตาย" ของ มอรืรี ชวอตซ์
แปลโดย ดร.วัลลี สุวจิตตานนท์อยู่ค่ะ
ไว้จะเล่ามาให้ฟังบ้าง ;p
ฝาก บันทึกเก่า ๆ ประทับใจ(เราเอง) ให้อ่านเวลาว่าง ๆ ค่ะ
ขอบคุณพี่ ภูสุภา
มากครับ ขอให้พี่มีความสุขในวันชื่นนะครับผม
รออ่านการเก็บเกี่ยวผลึกความรู้จากพี่หมอเล็กครับผม
เข้ามาเยี่ยมค่ะ หนังสือน่าสนใจดีค่ะ
สวัสดีครับ คุณหมอพ.ญ. อัจฉรา เชาวะวณิช
หนังสือเล่มนี้ อ่านไม่ยากครับ รูปเล่มน่ารักดี มีประโยคหลายๆประโยคข้างใน มีความหมายแบบสากล ให้ได้คิดต่อ ครับ
ลองหามาอ่านดูนะครับผม
ขอบคุณมากคุณจตุพร คิดถึงอยู่ วันก่อนพวกเราสาขาส่งเสริมสุขภาพประมาณ6-7คนไปเคารพศพคุณแม่คุณนพดลกัน ท่านเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งลำไส้ที่โบสถ์โรงเรียนพระหฤทัย และอีกวันหนึ่ง(วันจันทร์ที่1ธค ลานักศึกษา 1ชั่วโมงไปทำหน้าที่ให้กำลังใจคนดี ศรีส่งเสริมสุขภาพ)ชวนดุ๊กบัณฑิตสาขาส่งเสริมสุขภาพ คุณรุ้งลาวัลย์ นักศึกษาป.เอก(ทั้งสองคนเคยไปงานสร้างสุขที่แพร่ด้วย) ไปร่วมงานปลงศพ ทำให้มีโอกาสเรียนหลักคำสอนของศาสนาคริสต์ที่ล้วนแล้วแต่สอนให้คนเป็นคนดี ว่างๆแวะมาบ้างนะกำลังจะหาประเด็นให้พานักศึกษาป.โทไปเก็บข้อมูลภาคสนามว่างบ้างไหมคะ
ขอบคุณอาจารย์นิ่มอนงค์ มากๆ
ผมจะรีบเรียนให้จบ และกลับไปอยู่ มช.ครับ ;)